ตอนที่ 431 ต้องเป็นของดีแน่ๆ
นางต้องดูให้ได้ว่าข้างในนั้นเป็นอะไร หากเป็นข้าวสาร ไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องนำกลับไปสักหน่อยให้ได้
จางซื่อแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ไม่จำเป็น นี่ล้วนเป็นซาลาเปาไส้เนื้อ หากมอบมันให้สุนัขแล้ว ข้ายังจะได้อะไรกลับมาอีกเล่า”
ซาลาเปาไส้เนื้อ? ให้สุนัข? ในชามกระเบื้องใบนั้นใส่ซาลาเปาไส้เนื้อเอาไว้หรือ แล้วให้สุนัขหมายความว่าอย่างไร
หลิวซื่อกำลังจะเอ่ยถาม สมองก็พลันกระจ่างแจ้ง อีกฝ่ายกำลังด่านางอยู่นี่นา ด่าว่านางเป็นสุนัข มอบซาลาเปาไส้เนื้อกับสุนัข ย่อมไม่มีทางได้อะไรกลับคืน!
แต่กว่านางจะคิดได้ เมื่อคิดจะไปเอาความ จางซื่อกับเจ้ารองก็เดินไปถึงหน้าประตูบ้านของจางซานสุ่ยแล้ว เจ้าบ้านกำลังผ่าฟืนอยู่พอดี เมื่อเห็นพี่สาวและพี่เขยของตนมาถึง เขาก็หยุดงานในมือลงทันที เพื่อออกไปต้อนรับทั้งสองคน
หลิวซื่อไม่กล้าเดินหน้าเข้าไปอีก แม้จางซานสุ่ยผู้นั้นจะเป็นน้องชายของจางซื่อ แต่เขากลับดูแลจางซื่อราวกับตนเองเป็นพี่ใหญ่ หากเขารู้ว่านางขโมยเสบียงอาหารของจางซื่อไป นั่นไม่เท่ากับนางหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ
กระนั้น นางก็ไม่อยากจะจากไปเช่นนี้ จึงยืนแอบฟังอยู่ไม่ไกล
จางซานสุ่ยถาม “พวกท่านมาแล้ว เจินจูกับฟู่กุ้ยรออยู่ได้พักหนึ่งแล้ว ข้าถามพวกเขาว่ามีเรื่องอะไร พวกเขาก็ไม่ยอมบอก แท้จริงแล้วมีเรื่องอะไรกันแน่รึ”
จางซื่อยิ้มกล่าว “จื่อยาโถวให้อาหารพวกข้ามาจำนวนหนึ่ง พวกข้าจึงนำมากินร่วมกันกับพวกเจ้า”
ครั้นจางซานสุ่ยได้ยินก็ดีใจยกใหญ่ เขาเคยช่วยเหลือพี่สาวคนนี้อยู่ไม่น้อย พี่สาวมีอะไรก็นำมาให้พวกเขากินเช่นนี้ เขาย่อมดีใจอยู่แล้ว ทั้งยังคิดว่าสมเหตุสมผลดี ถึงอย่างไรเสียก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
เจ้ารองพูดต่อ “ข้าขอเชื่อข้าวมาจากจื่อยาโถวด้วย อีกทั้งนางยังห่อขนมไหว้พระจันทร์ให้พวกข้าอีกหลายชิ้น สองสามวันนี้พวกข้าจะกินข้าวที่บ้านของพวกเจ้าไปก่อน เจ้าจะอนุญาตหรือไม่
จางซานสุ่ยรีบตอบ “ได้สิ จะไม่ได้ได้อย่างไร อย่าว่าแต่ท่านนำข้าวมาเลย ถึงแม้ไม่ได้นำอะไรมา อยากฝากท้องที่บ้านพวกข้าก็ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน มีข้าก็ต้องมีท่าน”
มารดาของจางซื่อจากโลกนี้ไปนานแล้ว จางซานซื่ออายุน้อยกว่านางถึงแปดปี นางเป็นคนเลี้ยงน้องชายคนนี้ตั้งแต่เล็กจนโต จางซื่อจึงเป็นญาติที่เหมือนกับแม่แท้ๆ สำหรับจางซานสุ่ยแล้ว
จางซื่อก็ใกล้ชิดกับน้องชายคนนี้เป็นอย่างยิ่ง เรื่องบางเรื่องที่นางไม่บอกพี่น้องคนอื่น นางล้วนบอกกับน้องชายคนนี้ทั้งสิ้น
น้องสะใภ้ก็เป็นคนตรงไปตรงมา ก่อนหน้านี้นางพักค้างคืนอยู่ที่นี่นานทีเดียว แต่น้องสะใภ้ก็ไม่เคยบ่นอะไร
เมื่อเห็นจางซื่อและเจ้ารองตามจางซานสุ่ยเข้าไปในเรือน หลิวซื่อก็โมโหจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน พวกเขาได้ข้าวของมาจากนางเด็กน่าตายไป๋จื่อตั้งมากมาย กลับไม่นำกลับมาที่บ้าน หนำซ้ำยังมอบให้กับคนนอก ช่างอกตัญญูยิ่งนัก ไม่ได้การแล้ว นางต้องไปบอกเรื่องนี้กับแม่สามี ให้อีกฝ่ายมาจัดการกับพวกเขา
หลิวซื่อรีบร้อนกลับไปที่สกุลไป๋ ทั้งวันนี้หญิงชราได้กินเพียงโจ๊กใสๆ เพียงครึ่งถ้วย ขณะนี้จึงหิวจนทรมาน พร้อมกับนั่งถอนหายใจเสียงดังอยู่ในลานบ้าน ได้แต่หวนคิดถึงวันเวลาที่ดีก่อนหน้านี้ เพราะครั้นคิดถึงช่วงเวลาอันยากลำบากในปัจจุบันแล้ว นางก็ยิ่งมีไฟสุมอยู่ในทรวง!
ทันทีที่หลิวซื่อกลับถึงบ้าน นางเห็นแม่สามีกำลังนั่งอยู่ในลานบ้าน จึงรีบเข้าไปรายงานว่า “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าตอนนี้พวกน้องรองอยู่ที่ใด”
หญิงชราชำเลืองมองนางด้วยสายตาเย็นชา “เจ้านำเสบียงอาหารสุดท้ายของพวกเขามากินแล้ว หากพวกเขาไม่ไปกินข้าวที่บ้านจางซานสุ่ย กลับมาที่นี่ไม่เท่ากับหิวตายหรือไร”
หลิวซื่อบ่นเสียงเบา “ข้าไม่ได้กินคนเดียวสักหน่อย ท่านเองก็กินด้วยไม่ใช่หรือ” จากนั้นนางก็ลอบถอนใจ แม้หญิงชราจะอายุมาก ทว่าความคิดของนางยังคงโลดแล่น นางยังไม่ได้ทันได้พูดอะไร ก็รู้เสียแล้วว่าเจ้ารองไปที่ใด
“แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าพวกเขานำข้าวของอะไรไปที่นั่นบ้าง” หลิวซื่อมีสีหน้าเสียดาย พลันดึงดูดความสนใจของหญิงชราได้สำเร็จ
“นำข้าวของไปด้วย? ตกปลาได้อีกแล้วหรือ” หญิงชราถาม
หลิวซื่อโบกมือ “ไม่ใช่ปลาเจ้าค่ะ ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้ความสามารถอะไร ถึงได้ข้าวมาจากนางเด็กน่าตายไป๋จื่อนั่น รวมถึงขนมไหว้พระจันทร์ แล้วยังมีอาหารที่ข้าไม่รู้จักอีกหนึ่งชามใหญ่ ใส่ลงในชามคุณภาพดีเช่นนั้น ต้องเป็นของดีแน่ๆ”
……….
ตอนที่ 432 มีจดหมายตอบกลับ
เมื่อหญิงชราได้ฟังดังนั้น นางก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้ไผ่ทันที พร้อมทั้งขึ้นเสียงถาม “เจ้าบอกว่าพวกเขานำข้าวของไปที่บ้านจางซานสุ่ยรึ”
หลิวซื่อพยักหน้า “ถูกจ้องเจ้าค่ะ ข้าเห็นเองกับตา ทั้งยังบอกอีกว่าจะกินด้วยกันที่บ้านของพวกเขาด้วย”
ไฟในอกยิ่งลุกโหมในใจของหญิงชรา นางเลี้ยงลูกชายคนนี้มาเสียเปล่าจริงๆ มีอาหารก็ไม่นำกลับบ้าน กลับนำไปให้คนอื่น เขาเป็นคนโง่หรือไร ไม่รู้หรือว่าท้องของแม่แก่ๆ คนนี้ยังคงหิวอยู่
สะใภ้ใหญ่เห็นสีหน้าของหญิงชรามีแต่โทสะ จึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน นางเองก็รู้สึกร้อนใจเช่นกัน ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะกินอาหารเหล่านั้นจนหมด ไปหาพวกเขาเสียตอนนี้อาจจะยังพอนำกลับมาได้บ้าง
“ท่านแม่ ท่านยังตะลึงอะไรอยู่หรือ รีบไปเถอะเจ้าค่ะ!”
หญิงชรามองตาขวางใส่จางซื่อ “ไป? ไปที่ใดกัน!”
“แน่นอนว่าต้องเป็นบ้านของจางซานสุ่ยเจ้าค่ะ ของของน้องรอง จะให้จางซานสุ่ยเอาเปรียบไปได้อย่างไร ครอบครัวของพวกเรายังหิวอยู่เลยนะเจ้าคะ” หลิวซื่อพูดพลางทำหน้าตาว่าควรจะเป็นเช่นที่ตนพูด
แม่สามีแค่นหัวเราะอย่างเย็นชา “หิว? ข้าว่ามีเพียงยายแก่ๆ อย่างข้าที่หิวกระมัง เมื่อกลางวันพวกเจ้าไม่ใช่ว่ากินจนอิ่มท้องแล้วหรือ”
หลิวซื่อยิ้มแหง “ท่านก็กินด้วยไม่ใช่หรือเจ้าคะ พวกข้าก็ไม่ได้กินมากไปกว่าท่านเท่าไร เพราะตักให้เสี่ยวเฟิงกินมากกว่าสองคำ ข้ากับเจ้าใหญ่สองคนกินยังไม่ถึงหนึ่งถ้วยเลย”
สองคนกินหนึ่งถ้วย? เห็นว่ายายแก่อย่างนางเป็นคนโง่หรือไร เจ้าใหญ่เรอออกมาเสียงดังขนาดนั้น กินโจ๊กไปแค่ครึ่งถ้วยจะเรอออกมาได้อย่างไร
หญิงชราคร้านจะโต้เถียงกับนาง จึงกลับหลังหันอย่างเชื่องช้า “หากเจ้าไม่ขโมยข้าวของบ้านรอง พวกเขาจะนำอาหารไปที่บ้านของจางซานสุ่ยหรือไม่ พวกเขาทำเช่นนั้นเพราะต้องการหลบเลี่ยงใคร เจ้าไม่รู้อยู่แก่ใจเลยหรือ ตอนกินอะไรไม่นึกถึงยายแก่อย่างข้า ตอนนี้คิดจะไปต่อสู้กับคนอื่นแล้ว ถึงค่อยคิดถึงข้าอย่างนั้นสินะ”
ตอนนี้ไม่ว่าหลิวซื่อจะพูดอะไร นางก็ไม่อยากจะเชื่อแล้ว สตรีนางนี้ต่อหน้าอย่าง ลับหลังอย่าง ไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด
น่าเสียดายจริงๆ หากบ้านรองยังไม่ได้แยกบ้าน ชีวิตของหญิงชราอย่างนางคงจะไม่น่าเวทนาถึงเพียงนี้ ตอนนี้สิ เงินที่เก็บมาทั้งชีวิตล้วนให้เจ้าใหญ่ถลุงเล่น เสบียงอาหารที่ใช้สำหรับฤดูหนาวก็หมดไปแล้ว แล้วนางจะยังมีชีวิตต่อไปได้อีกหรือนี่
…
จวนสกุลเมิ่ง เมืองหลวง
“คุณชายๆ” จินเสี่ยวอันถลันเข้าไปในห้องหนังสือที่เมิ่งหนานอยู่ด้วยความตื่นเต้น
เมิ่งหนานกำลังอ่านหนังสือ เขาถามทั้งที่ไม่เงยหน้าขึ้น “มีอะไรอีก”
จินเสี่ยวอันยกจดหมายในมือขึ้น “คุณชาย แม่นางไป๋ตอบจดหมายแล้วขอรับ”
เมิ่งหนานเงยหน้าขึ้นโดยพลัน ก่อนจะมองเห็นจดหมายฉบับหนึ่งในมือของจินเสี่ยวอันจริงๆ เขาจึงโยนหนังสือในมือทิ้งไป แล้วปรี่ไปแย่งมากจากจินเสี่ยวอัน
“ดูท่าทางเหมือนลิงของท่านสิ หากนายท่านเห็นเข้า เขาต้องต่อว่า…”
เมิงหนานเปิดซองจดหมายอย่างรวดเร็ว พลางยิ้มกว้าง “พูดต่อไปสิ เขาจะต่อว่าว่าอย่างไร”
จินเสี่ยวอันรีบกระแอมสองเสียง พยายามขยิบตาให้เมิ่งหนาน
ไหนเลยตอนนี้เมิ่งหนานจะสนใจมองสีหน้าของอีกฝ่าย สองตาของเขาแทบจะแนบชิดอยู่บนจนหมาย ทว่าเขายังไม่ทันได้อ่านจดหมายที่เพิ่งดึงออกมาจากในซอง จดหมายก็ถูกใครบางคนแย่งไปแล้ว
“ข้าอยากจะเห็นนัก ว่าจดหมายที่ทำให้ลูกชายของข้ากระสับกระส่ายในทุกวัน ทั้งยังวิ่งออกจากห้องวันหนึ่งเสียแปดรอบ แท้จริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่”
ฮูหยินสกุลเมิ่ง สวี่ซื่อถือจะหมายไว้ในมือ แต่ดวงตากลับจับจ้องเมิ่งหนานที่กำลังมีสีหน้าตะลึงลาน
เมิ่งหนานข่มความต้องการแย่งจดหมายกลับมาเอาไว้ ทว่าจู่ๆ สวี่ซื่อก็นำมือไปไพล่หลัง “เป็นอะไรไป แม่ดูไม่ได้เลยหรือไร”
“ท่านแม่ นี่เป็นจดหมายของข้า ท่านจะอ่านจดหมายของข้าตามใจชอบได้อย่างไร ข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าเองก็มีชีวิตและสหายของตัวข้าเองเช่นเดียวกัน” เมิ่งหนานกล่าวพลางมุ่นคิ้ว
สวี่ซื่อยิ้มเย็น “ดูท่าทางร้อนใจของเจ้าสิ คงจะเป็นแม่นางคนหนึ่งกระมัง เพราะนางผู้นี้ เจ้าถึงไม่ยอมแต่งกับเสวี่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่”