ตอนที่ 439 จะเอาชนะทั้งที่คนน้อยกว่าได้อย่างไร
บุรุษอ้วนเตี้ยย่อมขอให้เป็นเช่นนั้น บวกกับกองเสบียงยังจัดอาหารไม่เสร็จ อีกทั้งเขาแน่ใจแล้วว่าก้าวเข้าสนามรบไปครั้งนี้ไม่อาจจะรอดชีวิตกลับไปได้อีก จึงอยากปลดปล่อยไฟที่สุมอยู่ในอกมาเนิ่นนานออกไปเสียบ้าง เขากล่าวกับจูซื่อและหูเฟิงว่า “แผนยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว เป็นแผนที่พวกเขาวางไว้นานแล้ว รอใช้มันในวันนี้นี่แหละ”
“ตั้งแต่จิ้นอ๋องหายตัวไป พวกเขาก็จับทหารคนสนิทของจิ้นอ๋องไปรับโทษฐานเป็นจารชน ทั้งหมดถูกส่งไปอยู่ที่ค่ายบูรพาที่เจ็ด ได้รับความทรมานในทุกวัน รวมถึงถูกบีบบังคับให้ยอมรับว่าจิ้นอ๋องเป็นจารชนด้วย แต่พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าเหล่าแม่ทัพพวกนั้นล้วนกล้าหาญ ไม่ยอมสยบต่อการบีบเค้นง่ายๆ เพราะเช่นนั้นเอง เหล่าแม่ทัพทุกคนจึงถูกพวกเขาตีจนตายทั้งเป็น พวกเขาไม่ปล่อยแม้กระทั่งนายทหารเล็กๆ ในกองทหารของพวกเราไปสักคน คิดหาทุกวิถีทางให้จิ้นอ๋องรับโทษกบฏติดต่อกับศัตรู แต่น่าเสียดายที่พวกเขาทำไม่สำเร็จ”
“พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามปีแล้ว พวกแม่ทัพหูทั้งเกลียด ทั้งกลัวกองทหารม้าหุ้มเกราะและกองทหารเกราะดำของพวกข้า อยากจะหาหนทางกำจัดพวกข้าไปอยู่เสมอ แต่นายทหารทั้งสองกองรวมกันแล้วมีทั้งหมดสองหมื่นนาย อยากจะทำให้คนมากมายถึงเพียงนั้นตาย หนทางเดียวก็คือให้พวกข้าไปสนามรบเสีย ให้พวกข้าตายในกำมือของกองทัพศัตรู พวกเขาจะได้รายงานต่อราชสำนักเช่นนั้น”
“ไม่ได้กล่าวกันว่ากองทหารเกราะดำและกองทหารม้าหุ้มเกราะของพวกเจ้าล้วนองอาจมากความสามารถหรอกหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเจ้ารบให้ชนะก็สิ้นเรื่องแล้วนี่” จูซื่อกล่าว
บุรุษอ้วนเตี้ยโบกมือ “รบชนะไม่ได้ง่ายเช่นที่เจ้าพูดเสียหน่อย ตอนที่จิ้นอ๋องยังอยู่ ทุกคนล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน จิ้นอ๋องเองก็รอบคอบยิ่ง ก่อนจะออกรบทุกครั้ง เขาล้วนวางแผนก่อนล่วงหน้า ส่วนแม่ทัพก็นำนายทหารอย่างพวกข้าดำเนินการตามแผนก็มีทั้งบุก มีทั้งตั้งรับ หลายส่วนสอดประสานกัน ก่อนหน้านี้ล้วนได้รับชัยชนะครั้งใหญ่เสมอ ทว่าวันนี้พวกข้าไม่มีจิ้นอ๋องแล้ว และไม่มีแม่ทัพของพวกข้าคอยชี้นำแล้วเช่นกัน กองทหารจำนวนสองหมื่นนายจึงเหมือนเม็ดทราย ครั้นเผชิญหน้ากับนายทหารฝีมือดีหนึ่งแสนนาย พวกข้าจะเอาชนะได้อย่างไร จะใช้อะไรไปชนะอีกฝ่าย”
“หนึ่งแสน? พวกเจ้าสองหมื่น สู้กับอีกฝ่ายหนึ่งแสนเนี่ยนะ? นั้นไม่เท่ากับการส่งตัวเองไปตายหรือไร” จูซื่อมีสีหน้าตกใจจนตะลึงลาน
บุรุษผู้นั้นถอนใจอีกครั้ง สีหน้าจนใจยิ่ง ในดวงตามีน้ำตารื้น ใครไม่มีพ่อแม่ ใครไม่มีครอบครัว ใครไม่ต้องการมีชีวิตรอด แล้วใครจะอยากตายบ้างเล่า
หูเฟิงกล่าวกับจูซื่อ “ไม่ต้องถามมากความแล้ว รีบไปดูเถอะว่าเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
จูซื่อตอบรับเสียงหนึ่ง ก่อนจะรีบเดินไป
จากนั้นหูเฟิงยื่นมือไปรั้งบุรุษที่กำลังจะหมุนกายจากไป ก่อนจะกดเสียงถามว่า “ข้าขอถือวิสาสะพูดสักหน่อยได้หรือไม่”
อีกฝ่ายไม่ได้ตอบรับในทันที แต่หูเฟิงเดินออกจากกองเสบียง มุ่งหน้าไปยังใต้ต้นไม้ใหญ่ด้านหลังกระโจมแล้ว
เขามองรถเข็นล้อเดียวที่ยังว่างอยู่ ดูท่าทางต้องรออีกสักพัก เหลียวซ้ายแลขวาแล้วไม่รู้จะทำอะไร จึงออกจากกระโจมตามหูเฟิงไป
“น้องชาย เจ้ามีอะไรจะพูดกับข้าหรือ” บุรุษอ้วนเตี้ยมีสีหน้าอยากรู้อยากเห็น เพราะเขาไม่รู้จักชายหนุ่มหล่อเหลาที่อยู่เบื้องหน้าเลย
หูเฟิงมองไปรอบๆ เห็นบริเวณนี้ไม่มีใคร จึงพูดเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากมีชีวิตรอดกลับมาจากสนามรบ เช่นนั้นก็ฟังข้า”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ” อีกฝ่ายตะลึงงัน
หูเฟิงพลันพูดต่อ “เจ้าบอกว่าพวกเจ้าจะเดินทัพกันพรุ่งนี้ เช่นนั้นยามสาม ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าพาผู้นำของกองทหารเกราะดำและกองทหารม้าหุ้มเกราะสักสองสามคนมาด้วย
ผู้นำกองทหารเกราะดำอาจจะไม่รู้จักเขา แต่ผู้นำของกองทหารม้าหุ้มเกราะต้องรู้จักเขาแน่
“เพราะเหตุใดกัน เจ้าคิดจะทำอะไร” บุรุษอ้วนเตี้ยมีสีหน้าประหลาดใจ
“ข้าเคยอ่านตำรายุทธ์มากมาย รู้ว่าควรจะเอาชนะทั้งที่คนน้อยกว่าได้อย่างไร ยิ่งรู้ว่าควรจะวางแผนรบอย่างไรด้วย ช่วยพวกเจ้าเอาชนะนายทหารฝีมือดีหนึ่งแสนนายของแคว้นซีเยี่ยได้” หูเฟิงกล่าว
……….
ตอนที่ 440 ปักษาตื่นจากไปด้วยความชัง!
บุรุษอ้วนเตี้ยมีสีหน้าสงสัย “เจ้าเป็นใครกันแน่ หากเจ้ามีความสามารถจริงดังว่า เหตุใดถึงยังเป็นพ่อครัวอยู่ที่ค่ายแห่งนี้กัน” ชัดเจนว่าเขาไม่เชื่อ แค่พ่อครัวธรรมดาคนเดียว กล้าพูดโม้ว่าตนเองเชี่ยวชาญการสู้รบได้อย่างไร ทั้งยังมีแผนการรบเอาชนะทหารฝีมือดีหนึ่งแสนนายด้วยคนสองหมื่นคนอีก นี่ไม่เท่ากับล้อเล่นหรือไร
“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ทว่าเจ้าจงจำไว้ หากอยากมีชีวิตรอดกลับมาจากสมรภูมิก็ฟังข้า หากอยากไปตายในสมรภูมิ เช่นนั้นก็ถือเสียข้าไม่ได้พูดอะไร แต่ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าก็อยากขอให้เจ้าช่วยข้าสักครั้ง ฝากคำพูดหนึ่งไปถึงมู่หยางแห่งกองทหารม้าหุ้มเกราะทีเถอะ” หูเฟิงกล่าว
อีกฝ่ายถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้ารู้จักนายกองมู่ด้วยหรือ” นายกองมู่เป็นหัวใจสำคัญของกองทหารม้าหุ้มเกราะในปัจจุบัน แม้กระทั่งเคยช่วยเหลือกองทหารเกราะดำไว้ไม่น้อย ไม่เช่นนั้นกองทหารเกราะดำคงจะไม่รอดจนทุกวันนี้
“เจ้าบอกเขา ว่ายามสามคืนนี้ ปักษาตื่นจากไปด้วยความชัง!” หูเฟิงไม่ได้อธิบายมาก เพราะสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมาะจะพูดมากความจริงๆ
“หมายความว่าอย่างไร” บุรุษผู้นั้นไม่เข้าใจ
“เจ้าไม่ต้องสนใจว่าหมายความว่าอย่างไร ช่วยข้าไปบอกมู่หยางก็พอ เขาได้ยินแล้วจะเข้าใจเอง” หูเฟิงกล่าว คำพูดนี้เป็นสัญญาณลับที่ใช้ยามบุกจู่โจมกองเสบียงของฝ่ายศัตรู มีเพียงสิบกว่าคนเท่านั้นที่รู้ หนึ่งในนั้นย่อมมีมู่หยาง ในปีนั้นมู่หยางมีตำแหน่งต่ำที่สุดในบรรดาคนทั้งหมด และเพราะตำแหน่งต่ำต้อยของเขานี้ เขาถึงได้รอดมาจนถึงตอนนี้ ไม่เช่นนั้นแล้วเกรงว่าชีวิตของเขาคงจะได้รับความทุกข์ทรมานจนตายทั้งเป็น เฉกเช่นเดียวกับเหล่าแม่ทัพคนอื่นๆ
อีกฝ่ายยังอยากถามอีก ทว่าหูเฟิงเห็นจูซื่อกำลังตามหาคนไปทั่ว เขาจึงดันหลังบุรุษจากกองทหารเกราะดำผู้นี้กลับไป ทั้งยังกล่าวเสียงเบาอีกว่า “อย่ากระโตกกระตากไป ข้ากับพวกเจ้าเป็นคนกันเอง จำคำของข้าไว้”
บุรุษอ้วนเตี้ยจากไปด้วยความสงสัยคับอก เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลย ว่าโชคชะตาจะพลิกผันได้ด้วยชั่วพริบตานี้
วันไหว้พระจันทร์ผ่านไปแล้ว ลมยามค่ำคืนจึงหนาวเหน็บเป็นพิเศษ ยามลมตะวันออกพัดใบไม้ในป่าเขา ก็มีเสียงซ่าๆ ที่ชวนให้คนขนลุกขนพองดังมาด้วย
พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่กลางหาว บางครั้งมีเมฆบางๆ ลอยมาบดบัง บรรยากาศเงียบเหงานัก แต่ก็มีเงาร่างสูงใหญ่ยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ใต้ต้นไม้
ยามสามผ่านไปแล้ว คนที่เขารอกลับยังไม่มา เรียวคิ้วที่เดิมไร้พันธนาการก็พันเกี่ยวเข้าหากันในที่สุด
ขณะที่เขากำลังเตรียมใช้แผนการที่สอง เสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาทว่าเจือความสับสนระลอกหนึ่งก็ดังมาแต่ไกล เขาถอยร่างหลบเข้าไปในเงา จนกระทั่งเงาคนเหล่านั้นปรากฏอยู่ใต้แสงจันทร์ และเขามองเห็นทุกคนจนครบถ้วนแล้ว เขาถึงจะปรากฏตัวออกมาบ้าง
ผู้มาเยือนมีทั้งหมดเจ็ดคน หนึ่งในนั้นมีบุรุษอ้วนเตี้ยที่เขาพบเมื่อตอนกลางวันด้วย
ที่นำอยู่ด้านหน้าก็คือมู่หยาง คนที่เขาเอ่ยปากว่าอยากพบ
ครั้นมู่หยางเห็นเขา บนใบหน้ามีความดีใจฉายชัดอย่างบ้าคลั่ง ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาโดยพลัน
มู่หยางอ้าปาก หมายจะเอ่ยชื่อที่ไม่ได้ยินใครเรียกมาแล้วสามปี แต่หูเฟิงรีบยกมือขึ้นห้ามไว้ ก่อนจะก้าวเข้าไปหามู่หยางอีกก้าวหนึ่ง “ข้าชื่อหูเฟิง เป็นพ่อครัวที่มาใหม่ในกองเสบียง ได้ยินมาว่าพรุ่งนี้พวกเจ้าต้องไปที่สมรภูมิแล้ว ใช้จำนวนคนสองหมื่นปะทะกับทหารฝีมือดีหนึ่งแสนของฝ่ายศัตรู ทุกคนคงรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลวไหลมาก ทั้งยังคิดว่าพวกเจ้าต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย เป็นการส่งตัวเองไปตายเป็นแน่แท้ แต่ข้ากลับไม่คิดเช่นนั้น”
มู่หยางกดความรู้สึกตื้นตันและปีติให้สงบลงอย่างสุดความสามารถ ขณะเดียวกันก็กลืนคำว่าจิ้นอ๋อง สองคำนั้นกลับไป ในเมื่อจิ้นอ๋องไม่อยากเปิดเผยฐานะ นั่นก็ย่อมต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน ขอเพียงเขาให้ความร่วมมืออย่างดีก็พอแล้ว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ รอบรับว่า “ถูกต้อง เป็นเช่นที่เจ้าว่า ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว เจ้ามีวิธีเอาชนะทหารหนึ่งแสนนายของอีกฝ่าย ด้วยทหารสองหมื่นนายของพวกข้าหรือ”
หากคนอื่นพูดจาเช่นนี้ มู่หยางต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน แต่คำพูดนี้ออกมาจากปากของจิ้นอ๋อง เขาจึงเชื่อเต็มหัวใจ ในปีนั้นจิ้นอ๋องนำทัพกองทหารม้าหุ้มเกราะแปดพันนาย เอาชนะทัพใหญ่จำนวนห้าหมื่นคนของแคว้นซีเยี่ยได้ คร่าชีวิตอีกฝ่ายราวกับดอกไม้ร่วง กระแสน้ำไหล ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่เลยทีเดียว