คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา – ตอนที่ 443 ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ ตอนที่ 444 ละเมอ

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 443 ได้รับชัยชนะครั้งใหญ่

เปรียบกับแม่ทัพหูและแม่ทัพสื่อที่ชนแก้วหัวเราะเบิกบานอยู่ตลอดเวลา จู้หยวนรู้สึกไม่สบายใจมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขาจงใจดื่มสุราไปครึ่งถ้วย แสร้งทำเป็นเมามายอยู่หลายส่วน แล้วกล่าวกับแม่ทัพหูว่า “ได้ยินมาว่ากองทัพที่ราชสำนักส่งมา เป็นจอมพลหวังแห่งจวนแม่ทัพเมืองเป่ยต้ามานำทัพใช่หรือไม่”

แม่ทัพหูหรี่ตาลงพลางพยักหน้า “ถูกต้อง เป็นเขา”

จู้หยวนค่อยๆ วางถ้วยสุราลง กล่าวด้วยท่าทางสบายอารมณ์ “ในปีนั้น จอมพลหวังผู้นี้ได้รับคุณงามความดีเพราะจิ้นอ๋อง หากให้เขารู้ว่ากองทหารเกราะดำและกองทหารม้าหุ้มเกราะจบเห่แล้ว เขาจะคาดโทษจากพวกเราหรือไม่”

แม่ทัพหูโบกมือ “ไม่หรอกๆ เขาจะคาดโทษอะไรได้ การเคลื่อนทัพเป็นหน้าที่ที่พวกเราต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่ากองทหารม้าหุ้มเกราะและกองทหารม้าเกราะดำแข็งแกร่งมากหรือ ไม่ใช่ว่าไร้คู่ต่อสู้หรือไร พวกข้าให้พวกเขาเข้าสมรภูมิเข่นฆ่าศัตรู ก็นับว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้วกระมัง หากพวกเขากลับมาได้ นั่นเป็นเพราะพวกเขาเก่งกาจจริง หากกลับมาไม่ได้ ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความสามารถ อีกอย่าง เมื่อจอมพลหวังมาถึงที่นี่แล้ว คนจากทั้งสองกองทหารก็ไม่อยู่แล้ว ถึงแม้เขาคิดจะคาดโทษ เขาจะคาดโทษกับใครได้กัน”

แม่ทัพหูหัวเราะขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาแม่ทัพสื่อที่อยู่ข้างๆ พลอยหัวเราะตามไปด้วย ส่วนรอยยิ้มของจู้หยวนกลับฝืนยิ่งนัก สีหน้าก็แข็งค้าง

ทันใดนั้นเอง นายพันคนหนึ่งก็เข้ามาจากข้างนอก กล่าวเสียงดังให้ทั้งสามคนได้ยินว่า “รายงาน!”

แม่ทัพหูตั้งสติได้ในทันที เขาถามนายพลหนุ่มว่า “สถานการณ์รบเป็นอย่างไรบ้าง”

นายพันกล่าวเสียงดัง “เรียนท่านแม่ทัพ เหล่าทหารจากกองทหารเกราะดำและกองทหารม้าหุ้มเกราะมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม อันดับแรกส่งกองทหารเล็กๆ แฝงเข้าไปในค่ายทหารของฝ่ายตรงข้ามก่อน เพื่อเผาเสบียงอาหารของอีกฝ่ายทั้งหมด ทำให้พวกเขาแตกฮือ จากนั้นก็ส่งยอดฝีมือบุกจู่โจมบริเวณที่ศัตรูวางกำลังป้องกันไว้น้อย พวกศัตรูหมดแรงสู้ต่อ ก่อนจะถูกเข่นฆ่าทั้งหมดกองย่อย ทัพซีเยี่ยวุ่นวายยกใหญ่ บาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน เวลานี้ถอนทัพกลับไปไกลถึงสามสิบลี้แล้วขอรับ”

แม่ทัพหูโยนจอกสุราในมือทิ้งลงพื้น อ้าปากค้างอยู่นาน “เจ้าว่าอะไรนะ ซีเยี่ยถอนทัพ?”

นายพันพยักหน้า “เรียนท่านนายพล ทัพใหญ่ของซีเยี่ยถอยไปไกลถึงสามสิบลี้ทั้งหมด กองทหารม้าหุ้มเกราะกลับมาก่อนแล้วก้าวหนึ่ง ทั้งยังนำเชลยศึกกลับมาด้วยไม่น้อย และส่งไปที่ค่ายบูรพาที่เจ็ดแล้วขอรับ”

จู้หยวนเองก็ตะลึงลานอยู่ที่เดิม แทบจะคิดว่าหูของตนเองเกิดปัญหาเสียแล้ว “กองทหารเกราะดำและกองทหารม้าหุ้มเกราะเป็นอย่างไรบ้าง” เขาถาม

นายหลหูดึงสติกลับมาได้แล้ว รีบพูดขึ้นมาบ้าง “ใช่ๆๆ พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บล้มตายมากหรือไม่”

นายพันรีบตอบ “เรียนท่านนายพลทั้งสอง ตามที่นายกองมู่แห่งกองทหารม้าหุ้มเกราะกล่าว บาดเจ็บและล้มตายไม่เกินห้าร้อยขอรับ”

แม่ทัพหูลุกขึ้นยืนในทันที “อะไรนะ? บาดเจ็บล้มตายไม่เกินห้าร้อย ปะ เป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปได้ด้วยหรือ”

นายพันหนุ่มมีสีหน้าสงสัย แม่ทัพหูควรจะดีใจไม่ใช่หรือ ไยถึงได้มีโทสะไปได้ บาดเจ็บล้มตายน้อยไม่ใช่เรื่องดีหรือไร

แม่ทัพหูรู้อยู่แก่ใจว่าเผอเรอ จึงโบกมือไล่นายพลหนุ่มที่กำลังชะงักงัน “ออกไปเถอะ หมดธุระของเจ้าแล้ว”

เมื่อผู้มาเยือนจากไปแล้ว แม่ทัพหูก็หันไปมองจู้หยวนในทันที “จู้หยวน เจ้าว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ด้วยหรือ กองหทารเกราะดำและกองทหารม้าหุ้มเกราะ รวมกันแล้วมีคนเพียงสองหมื่น ทว่าแคว้นซีเยี่ยส่งยอดฝีมือมาถึงหนึ่งแสนนาย นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้นะ!”

จู้หยวนกดความรู้สึกตื่นเต้นในแววตาเอาไว้ แสร้งทำสีหน้าซับซ้อน “หรือเพื่อให้มีชีวิตรอดกลับมา พวกเราเข่นฆ่าศัตรูอย่างสุดชีวิต ถึงได้ทำให้อีกฝ่าบรับมือไม่ทัน และได้รับชัยชนะครั้งใหญ่เช่นนี้”

แม่ทัพหูส่ายหน้า “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็เข้าสนามรบอยู่บ่อยครั้ง ไยไม่เคยเห็นพวกเขาแกร่งกล้าเช่นนี้มาก่อนเลย”

“ข้าว่าไม่ใช่ความแกร่งกล้า แต่เป็นเพราะกลยุทธ์ต่างหาก หากใช้แข็งชนแข็ง พวกเขาไม่มีทางได้ชัยชนะ ชัยชนะครั้งนี้เป็นการใช้เล่ห์เหลี่ยม ทั้งยังเป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ผิดธรรมดาอีกด้วย” แม่ทัพสื่อที่อยู่ข้างกล่าวขึ้นมา

“หมายความว่าอย่างไร พูดให้ชัดเจน!” แม่ทัพหูถาม

……….

ตอนที่ 444 ละเมอ

ใบหน้าของแม่ทัพสื่อดำทะมืน แววตาดุดันและเย็นชานัก “ต้องมีคนระดับสูงคอยชี้นำอยู่เบื้องหลังแน่ ขอเพียงพวกเราค้นหาคนระดับสูงที่ชักใยพวกเขาได้ ความจริงย่อมปรากฏแน่นอน”

แม่ทัพหูรู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง “คนระดับสูง? คนระดับสูงจากที่ไหนกัน แล้วคนระดับสูงจะชี้นำพวกเขาง่ายๆ ได้อย่างไร พึ่งพิงพวกเราไม่ดีเสียกว่าหรือ”

แม่ทัพสื่อตวัดสายตาเฉยชามองไปทางแม่ทัพหู ก่นด่าในใจว่าช่างเขลานัก ก่อนจะกล่าวว่า “หากคนผู้นั้นเป็นคนของจิ้นอ๋อง หรือเป็นตัวจิ้นอ๋องเองเล่า เขาจะมาหาพวกเราหรือไร”

สีหน้าของแม่ทัพหูเปลี่ยนไปในทันที หัวใจเต้นโครมครามไม่เป็นจังหวะ แม้แต่มือก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ “น่ะ นี่มันเป็นไปไม่ได้กระมัง จิ้นอ๋องเขา…จะยังมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เขา…”

“มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ว่ากันว่าเกิดต้องเห็นร่าง ตายต้องเห็นศพ แล้วเจ้าเห็นศพของเขาบ้างหรือไม่” แม่ทัพสื่อแค่นหัวเราะ

แม่ทัพหูส่ายหน้า “ไม่เห็น”

“จะพูดให้ถูกก็คือ เจ้ายังไม่เคยเห็นศพของเขา แล้วเจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่าเขาตายแล้ว”

“หากว่าเขายังไม่ตาย ไยเพิ่งกลับมาเอาตอนนี้ ด้วยนิสัยของจิ้นอ๋องแล้ว นี่เป็นไปไม่ได้หรอก!”

แม่ทัพสื่อแค่นหัวเราะอีกครั้ง “จะโทษก็ต้องโทษที่ตรงนี้ พวกเราจึงต้องค้นหาคนที่ให้คำแนะนำอยู่เบื้องหลังออกมา ไม่เช่นนั้น ต่อไปเขาอาจจะชี้แนะให้ทำเรื่องอะไรอีกก็ได้”

“แล้วจะค้นหาอย่างไร” ขณะนี้แม่ทัพหูรู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างยิ่งแล้ว

แม่ทัพสื่อมองไปยังจู้หยวน “นี่ต้องถามแม่ทัพจู้แล้ว หากพูดเรื่องความคุ้นเคยกับจิ้นอ๋อง พวกเราจะเทียบกับแม่ทัพจู้ได้อย่างไร อีกทั้งแม่ทัพจู้อาจจะรู้จักกับผู้นำกองทหารม้าหุ้มเกราะคนปัจจุบัน แม่ทัพจู้เข้าไปถามความให้กระจ่างดีหรือไม่”

แม่ทัพหูรีบพยักหน้า “ใช่ๆๆ เรื่องนี้แม่ทัพจู้ไปทำย่อมเหมาะสมที่สุด”

จู้หยวนก็ไม่ปฏิเสธ เขาตอบรับเรียบๆ ว่า “ตกลง เช่นนั้นข้าไปเอง พวกเจ้ารอฟังข่าวดีจากข้าแล้วกัน!”

เขาออกไปจากค่ายกลางโดยเร็ว แม่ทัพสื่อมองเงาหลังของจู้หยวน สีหน้ายิ่งดำทะมึนยิ่งกว่าเก่า

วันขึ้นสามค่ำ เดือนเก้า วันเกิดของไป๋จื่อ

ไป๋จื่อมองจ้าวหลานที่ยุ่งไม่ได้หยุดพัก พลางถามว่า “ท่านแม่ ท่านกำลังทำอะไรอยู่ เหตุใดถึงเตรียมกับข้าวมากมายถึงเพียงนั้น”

จ้าวหลานยิ้ม “วันนี้เป็นวันเกิดของเจ้า เมื่อก่อนไม่เคยได้อวยพรวันเกิดของเจ้า วันนี้พวกเรามีเงินทอง ย่อมต้องจัดการให้เจ้าอย่างดีสักครั้ง”

“วันนี้เป็นวันเกิดของข้าหรือ ไม่ใช่ว่าท่านแม่เก็บข้ามาหรือเจ้าคะ แล้วท่านจะรู้วันเกิดของข้าได้อย่างไร” ไป๋จื่อถามพร้อมรอยยิ้ม

“ข้าไม่รู้วันเกิดของเจ้าหรอก แต่วันขึ้นสามค่ำในเดือนเก้า เป็นวันที่ข้าเก็บเจ้ามาเลี้ยง สำหรับข้าแล้ว วันนี้แหละคือวันเกิดของเจ้า” จ้าวหลานกล่าว

ไป๋จื่อชะงัก ขึ้นสามค่ำเดือนเก้า? เป็นวันที่พวกเขาเก็บนางได้หรือ

ถึงแม้จะผ่านมายี่สิบปีแล้ว แต่นางยังคงจำวันที่ตนเองถูกพ่อแม่ทิ้งได้ วันขึ้นสามค่ำเดือนเก้า เป็นวันขึ้นสามค่ำเดือนเก้าเหมือนกัน!

บนโลกนี้มีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ด้วยหรือนี่

หรืออาจจะเป็นเพราะพรมลิขิตบางอย่างที่ไม่อาจหยั่งรู้ นางในยุคปัจจุบันชื่อไป๋จื่อ เป็นชื่อที่บ้านเด็กกำพร้าที่เลี้ยงนางตั้งให้ ส่วนไป๋จื่อในโลกนี้ ก็เป็นชื่อที่พ่อแม่ที่เก็บนางมาเลี้ยงตั้งให้

นางไม่มีทางเชื่อว่านี่เป็นเพียงเรื่องบังเอิญ แต่หากไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เช่นนั้นแล้วเป็นเพราะอะไร เหตุใดนางถึงได้มาที่นี่ แล้วเหตุใดถึงยังกลับไปยังยุคปัจจุบันในวันพระจันทร์เต็มดวงได้ด้วย

“กำลังคิดอะไรอยู่” จ้าวหลานตบไหล่ของบุตรสาว สีหน้าเป๋นห่วง

ไป๋จื่อรีบส่ายหน้า “ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ ไม่ได้คิดอะไร เพียงแค่เหม่อลอยเท่านั้น”

“จื่อเอ๋อร์ ช่วงนี้เจ้าดูแปลกๆ ไปนะ มักจะเหม่อลอยอยู่เสมอ เมื่อคืนตอนนอนหลับ เจ้าก็พูดละเมอตลอดเวลาเลย” จ้าวหลานพูดขึ้นมา

เด็กสาวชะงักอีกครั้ง “ละเมอ? ข้าละเมออะไรหรือ”

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

Status: Ongoing
จู่ๆ แพทย์หญิงยอดฝีมือจากยุคปัจจุบัน ดันตื่นขึ้นมาในร่างของเด็กสาวชาวบ้านยุคโบราณที่ถูกย่าและป้าสะใภ้ตีจนตายทั้งเป็นครั้นรอดชีวิตมาได้ ก็ถูกโขกสับไม่ต่างกับสาวใช้ในบ้าน ทั้งยังจะถูกจับขายแลกเงินให้แต่งกับบุรุษอายุคราวพ่อแต่ไป๋จื่อคนใหม่นี้จะไม่ปล่อยให้พวกนางใช้งานข่มเหงรังแกได้ตามใจชอบอีกต่อไปแล้วให้ตายอย่างไรก็ต้องออกจากบ้านที่เหมือนกับขุมนรกแห่งนี้ไปให้ได้ จึงตัดสินใจสร้างอุบายทำให้ตนเองเสียชื่อเพื่อแยกบ้านกับเหล่าคนสกุลไป๋ได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ เพื่อให้มีข้าวกินอิ่มท้องสักมื้อหญิงสาวที่เคยมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งประเทศในยุคปัจจุบันต้องถกแขนเสื้อทำไร่ทำนา ใช้วิชาแพทย์แผนปัจจุบันรักษาคนไข้และจัดการกับเหล่าคนในหมู่บ้านที่เข้ามาเอารัดเอาเปรียบนางด้วยแต่ขณะเดียวกัน… ก็ต้องรักษาโรคความจำเสื่อมให้ชายหนุ่มกล้ามโตขี้น้อยใจอีก!เดิมทีคิดจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หาเช้ากินค่ำ เลี้ยงชีพให้ตนและท่านแม่มีชีวิตที่ดีแต่ความหวังพรรค์นั้นน่าจะไม่มีทางเป็นจริงได้ หนทางข้างหน้าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเอาเสียเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท