ตอนที่ 449 ทำดีหวังผล
ในใจของหญิงชรารู้สึกลังเลอยู่บ้าง เพราะเรื่องเข้าร่วมกองทัพและเรื่องแยกบ้านก่อนหน้านี้ ครอบครัวของเจ้ารองโมโหนางเป็นอย่างหนัก จะให้ไปยืมเงินจากพวกเขาเกรงว่าจะไม่ได้
“ท่านแม่ ท่านอย่าทำเป็นไม่สนใจสิเจ้าคะ เรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือเรื่องการเรียนหนังสือของเสี่ยวเฟิง ไม่อาจล่าช้าไปได้”
ในที่สุดหญิงชราก็พยักหน้า “เอาล่ะ เย็นนี้ข้าจะหน้าด้านไปปรึกษากับเจ้ารองดูสักตั้ง” ตอนนี้นางรู้สึกเสียใจในภายหลังอย่างมาก หากตอนนั้นไม่ได้แยกบ้าน วันนี้เงินที่เจ้ารองหามาได้ก็ต้องแบ่งกันอย่างเท่าเทียม ไหนเลยนางจะต้องไปทำเสียงอ่อนหวานขอยืมเงินเจ้ารองด้วย
เพื่อให้ได้ยืมเงิน หญิงชราและหลิวซื่อเก็บผักป่าคุณภาพดีของตนเองไว้หลายใบ วางมันไว้บนโต๊ะในโถง รอพวกเจ้ารองกลับมา
เวลาเย็นย่ำ ครอบครัวของเจ้ารองกลับมาได้เสียที เพิ่งผ่านรั้วบ้านเข้ามาก็เห็นหญิงชราและหลิวซื่อยืนยิ้มให้พวกเขาอยู่แล้ว
“พวกเจ้ากลับมาแล้วหรือ หิวหรือไม่ พวกข้าตั้งใจเก็บผักไว้ให้พวกเจ้าโดยเฉพาะเลยนะ รีบเข้ามากินสิ” หลิวซื่อเดินเข้าไปหาพลางยิ้มกริ่ม ก่อนจะยื่นมือไปรับอุปกรณ์ทำไร่นาจากมือของหลิวซื่อ
จางซื่อหลีกลี้จากฝ่ามือของอีกฝ่าย กล่าวทั้งๆ ที่หน้าบึ้งตึง “บนนั้นมีแต่ดิน เดี๋ยวจะสกปรกเสื้อผ้าของสะใภ้ใหญ่หมด”
หลิวซื่อชักมือกลับในทันที เดิมทีนางก็ไม่ได้อยากจะช่วยนางถือของจากในจริงอยู่แล้ว ก็แค่พูดตามมารยาทไปอย่างนั้นเอง
เจ้ารองกล่าวกับหลิวซื่อ “ขอบคุณสะใภ้ใหญ่ที่หวังดี แต่พวกข้ากินข้าวมาแล้ว”
เขาวางอุปกรณ์การเกษตรในมือลง แล้วมุ่งหน้าเข้าไปในเรือนด้านหลัง โดยที่ไม่มองหลิวซื่อและผู้เป็นมารดาของตนแม้สักครั้ง
ครั้นเดินผ่านโต๊ะอาหารในโถง เขาถือโอกาสกวาดสายตามองผักที่พวกนางพูดถึง ทั้งหมดเป็นเพียงผักป่าไม่กี่ใบเท่านั้น พวกนางก็ตั้งใจเก็บไว้ให้ครอบครัวของพวกเขาแล้วหรือนี่ เก็บผักไว้เล็กน้อยเท่านี้จะพอให้ใครกินกัน
หลิวซื่อเห็นจางซื่อวางข้าวของลงแล้วเช่นกัน จึงรีบถามว่า “น้องสะใภ้ ดูเสื้อผ้าของเจ้าสิ เจ้าก็ลงที่ดินทำงานเหมือนกันหรือ”
“พวกเราอาศัยอยู่ในป่าเขา หากไม่ลงที่ดินทำงานแล้วจะเอาอะไรกิน นั่งรออดตายอยู่ในบ้านหรือ” จางซื่อกล่าว
คำพูดนี้นางตั้งใจพูดกระทบหลิวซื่อและหญิงชรา ฝ่ายหญิงชราฟังเข้าใจตั้งแต่ครั้งแรก แต่หลิวซื่อกลับไม่เข้าใจ
“เจ้านี่นะ เป็นแค่สตรีเท่านั้น ไยไม่นั่งรออยู่ที่บ้าน ต้องลงดินทำงานอะไรด้วยหรือไร งานในที่ดินควรจะให้บุรุษไปทำสิ ตอนนี้เจ้าสกปรกไปทั้งตัวแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็ว พี่สะใภ้จะช่วยเจ้าซักเอง”
ทำดีหวังผลสินะ
จางซื่อยิ้ม “สะใภ้ใหญ่พูดจาน่าขันนัก เมื่อก่อนตอนที่จ้าวหลานยังอยู่ นางวิ่งวุ่นอยู่ในที่ดินทั้งวัน ก็ไม่เห็นเจ้าจะพูดเช่นนี้กับนางบ้านเลย”
หลิวซื่อได้ฟังแล้วก็มีสีหน้าเก้อเขิน ก่อนที่จางซื่อจะกล่าวอีกว่า “สตรีในหมู่บ้านของพวกเราที่ลงดินทำงานมีไม่น้อย ข้าเองก็ไม่ใช่คุณหนูในตระกูลร่ำรวยอะไร ช่วยบุรุษทำงานเล็กน้อยเท่าที่ทำได้นับว่าเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ข้าทำไปเพราะเห็นแก่ครอบครัวของข้าทั้งนั้น หรือสะใภ้ใหญ่ว่าไม่ใช่”
ความเก้อเขินบนใบหน้าของหลิวซื่อยิ่งชัดเจนมากขึ้น คราวนี้นับว่านางฟังเจตนาในคำพูดของอีกฝ่ายออกแล้ว จางซื่อกำลังชี้หน้าต่อว่านางแท้ๆ ต้องการจะบอกว่านางเอาแต่ว่างๆ คุยเล่นอยู่ในบ้าน
หากเป็นในอดีต นางต้องถกแขนเสื้อทะเลาะกับจางซื่อสักยกแล้ว เพราะอย่างไรเสียนางก็เป็นสะใภ้ใหญ่ จะยอมเสียเปรียบสะใภ้รองเช่นนี้ไม่ได้ ขายขี้หน้ายิ่งนัก
แต่วันนี้ต่างออกไป วันนี้นางยังมีเรื่องต้องขอเรื่องพวกบ้านรอง ต่อให้นางโมโหโทโสยิ่งกว่านี้ ก็จำต้องกดข่มความรู้สึกนั้นไว้ให้ได้
“ดูเจ้าพูดเข้าสิสะใภ้รอง เอาล่ะๆ ข้าไม่พูดเรื่องนี้แล้วดีกว่า ข้าได้ยินมาว่าพวกเข้าไปทำงานให้ไป๋จื่อหรือ”
จางซื่อให้ไป๋เจินจูและฟู่กุ้ยเข้าไปในเรือนก่อน ส่วนตัวนางอยู่รับมือกับหลิวซื่อต่อไป ด้วยหัวสมองที่มีแต่ขี้เลื่อยของหลิวซื่อ พูดไม่กี่คำก็รู้เจตนาของนางชัดแจ้งแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีผู้ช่วยอะไร จางซื่อรับมือคนเดียวก็ใช้ได้แล้ว
“สะใภ้ใหญ่รู้ข่าวเร็วเสียจริง เรื่องนี้ก็รู้ด้วยหรือนี่” นางหาเก้าอี้นั่งลง พลางนวดน่องที่ปวดเมื่อย
……….
ตอนที่ 450 วางแผน
“พวกเจ้าทำงานให้ไป๋จื่อ แล้วนางให้เงินพวกเจ้าเท่าไร” หลิวซื่อถามอีก
“พวกข้าพลิกหน้าดินให้นาง หนึ่งหมู่ได้สองเฉียน ทำทั้งหมดสองหมู่ เป็นเงินสี่เฉียน” จางซื่อกล่าว
หญิงชรารีบเดินเข้ามา “สองหมู่? ที่ดินของจ้าวหลานและไป๋จื่อรวมกันแล้วมีสามหมู่ ไฉนถึงเป็นสองหมู่ไปได้”
จางซื่อกวาดสายตามองหญิงชราครั้งหนึ่ง “จื่อยาโถวรีบใช้ที่ดิน มีเวลาพลิกหน้าดินจำกัดเพียงสองวัน พวกข้าทำได้แค่สองหมู่ แล้วให้จางซานสุ่ยทำอีกหนึ่งหมู่”
ฝ่ายแม่สามีพลันมีสีหน้าเสียดาย ก่อนจะถลึงตามองจางซื่อตามความเคยชิน “ให้คนอื่นได้เงินไปสองเฉียนหน้าตาเฉย พวกเจ้าร่วมแรงกันแล้วทำอีกหนึ่งหมู่ก็ใช้ได้แล้วไม่ใช่หรือ ช่างไร้ประโยชน์นัก!”
“ใช่ พวกข้ามันไร้ประโยชน์ ส่วนบุตรชายคนโตของท่านมีประโยชน์นัก หลานชายคนโตหัวแก้วหัวแหวน และหลานชายคนเล็กที่จะเป็นขุนนางของท่านน่ะ ให้พวกเขาไปลองพลิกหน้าดินดูสิ ข้าอยากรู้นักว่าหนึ่งวันพวกเขาจะพลิกหน้าดินหนึ่งหมู่ หาเงินมาให้ท่านสองเฉียนได้หรือไม่” จางซื่อแค่นหัวเราะ
หญิงชราเพิ่งรู้ว่าตนเองหลุดปากพูดออกไป จางซื่อในวันนี้ไม่ใช่จางซื่อในอดีตอีกแล้ว อีกทั้งตอนนี้พวกเขาแยกบ้านกันแล้ว ย่อมไม่จำเป็นต้องไว้หน้านางเช่นเมื่อก่อนอีก ไม่มีทางยอมให้นางต่อว่าตามใจชอบเช่นกัน
“ข้าก็พูดไปอย่างนั้น เจ้าอย่าคิดเป็นจริงเป็นจังหน่อยเลย” หญิงชราฝืนยิ้มออกมา
หลิวซื่อคิดคำนวณอยู่ในใจ พลิกหน้าดินสองหมู่ได้เงินสี่เฉียน เท่ากับว่าพวกเขาได้เงินสี่เฉียนนี้มาไว้ในมือแล้ว ค่าเรียนของเสี่ยวเฟิงเป็นเงินห้าเฉียน ตอนนี้ขาดอีกเพียงเฉียนเดียว จากนั้นนางค่อยไปยืมจางซานสุ่ยอีกสักเฉียนหนึ่ง นั่นไม่เท่ากับว่าเพียงพอแล้วหรือไร
นางพลันรู้สึกเบิกบานใจ รีบเดินถึงข้างกายของแม่สามี กระซิบกระซาบที่ข้างหูเสียยกหนึ่ง
หญิงชราฟังแล้วก็เห็นดีเห็นงามด้วย รู้สึกว่าแผนการของหลิวซื่อไม่เลวทีเดียว ตอนนี้ทำได้เพียงจัดการไปตามนี้แล้ว นางจึงเดินไปถึงเบื้องหน้าของจางซื่อ ปั้นหน้ายิ้มกล่าวว่า “สะใภ้รอง ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับเจ้าพอดี”
ไหนเลยจางซื่อจะไม่รู้ว่าในใจพวกนางมีแผนการอะไรอยู่ ขณะนี้ใกล้จะเปิดเรียนแล้ว พวกนางกำลังหาค่าเรียนให้เสี่ยวเฟิงอยู่ ทั้งยังเห็นพวกนางบ้านรองเป็นเพียงกระต่ายอ้วนสินะ
“มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตามตรง แต่ข้าขอพูดดักไว้ก่อนเลยว่า ข้าไม่ให้ยืมเงินหรือยืมเสบียงอาหารเด็ดขาด เพราะพวกข้าเองก็ยังติดหนี้คนอื่นอยู่ สี่เฉียนนี้ยังใช้หนี้ไม่พอเลยด้วยซ้ำไป”
สีหน้าของหญิงชราและหลิวซื่อเปลี่ยนไปโดยพลัน “พวกเจ้าติดหนี้อะไรกัน เพิ่งจะแยกบ้านไปได้ไม่กี่วัน พวกเข้าก็ไปติดหนี้ผู้อื่นแล้วหรือนี่”
จางซื่อหัวเราะเย้ยอยู่ในใจ พวกนางยังมีหน้ามาพูดเรื่องแยกบ้านต่อหน้านางอีกนะ
“ถูกต้อง เพิ่งจะแยกบ้านได้ไม่กี่วันเท่านั้น แต่ก็เพราะแยกบ้านนี่แหละ พวกข้าถึงได้ต้องไปยืมเงินเพื่อซื้อเสบียง ไปยืมเงินเพื่อซื้อเสื้อผ้ากันหนาวและเสบียงสำหรับใช้ในฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าจะปลูกแตงดิน ก็ไม่ใช่ว่าต้องเก็บเงินไว้ซื้อเมล็ดพันธุ์บ้างหรือไร ตอนแยกบ้าน พวกท่านแบ่งเงินให้พวกข้าบ้านรองเพียงสามสิบเหรียญทองแดง เงินเท่านี้จะไปพอยาไส้อะไร แม้แต่ผ้าห่มที่คิดจะใช้ในฤดูหนาวเหล่านั้น พวกท่านบ้านใหญ่ก็นำเอาไปหมดแล้ว หากพวกข้าไม่ยืมเงิน เช่นนั้นแล้วจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร”
หญิงชราพลันรู้สึกไม่กล้าตีฝีปากอีก จึงยิ้มเจื่อนๆ ว่า “แต่ก็ไม่เห็นพวกเจ้านำข้าวของกลับมา หากยืมเงินมาซื้อของเหล่านั้นแล้ว ไยข้าไม่เห็นสักนิดเลยเล่า”
จางซื่อปัดเศษดินที่อยู่บนร่างกาย แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในเรือน เดินไปพลาง พูดไปพลางว่า “ข้ากลัวว่านำกลับมาแล้วจะมีคนขโมยไปอีก นำไปไว้ที่บ้านคนอื่นยังจะปลอดภัยเสียกว่า ครั้นจะใช้แล้วค่อยไปนำกลับมาก็ยังไม่สาย”
นางตั้งปณิธานกับตนเองว่า หากปีหน้าปลูกแตงดินได้เงินมา เรื่องแรกที่นางจะทำก็คือเลียนแบบไป๋จื่อ ซื้อที่ดินในหมู่บ้านผืนหนึ่ง สร้างบ้านอีกหลังหนึ่ง และไม่ต้องไว้หน้าคนพวกนี้อีกต่อไป
จะได้ไม่ต้องกดเก็บความโกรธเคืองพวกเขาไว้ในจิตใจ ทั้งบ้านใหญ่รู้จักแต่กินกับนอน ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนเป็นเช่นนั้น พวกนางบ้านรองเลี้ยงไม่ไหวอยู่แล้ว