ตอนที่ 469 ยาปลอมตาย (2)
ไป๋จื่อกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “แน่นอนเจ้าค่ะ ก็แค่ส่งยาเท่านั้นเอง ไม่เห็นมีอะไรยากเสียหน่อย อีกอย่าง ที่นี่ห่างจากชายแดนไม่ถึงหนึ่งร้อยลี้ อีกทั้งตอนนี้ภาวะสงครามกำลังตึงเครียด มักจะมีกองทหารเทียวมาเทียวไป โจรตามรายทางจึงหายไปจนเกลี้ยงแล้ว ข้าจะยังกลัวอะไรได้อีกเล่า”
หมอลู่ไม่กลัวเรื่องนั้น เขาพิจารณาเด็กสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ต่อให้เจ้าแต่งกายเหมือนบุรุษมากเพียงใด แต่แท้จริงแล้วเจ้าก็เป็นสตรี ค่ายทหารนั่นมีแต่บุรุษ เจ้าไปแล้วเกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง”
เด็กสาวโบกมือ “มีอะไรไม่เหมาะสมกันเจ้าคะ ข้าไม่สนใจกฎเกณฑ์เหล่านั้นที่ท่านพูดหรอก ข้าเพียงยากทำเรื่องที่อยากทำและควรทำ จึงไม่ได้สนใจอะไรมากมายขนาดนั้น นอกจากนี้ ขอเพียงหูเฟิงไม่ถือสาก็พอแล้ว”
หมอลู่โน้มน้าวนางไม่ได้ จึงปล่อยเลยตามเลย เขารู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว จึงไม่พูดอะไรมากความอีก
ไป๋จื่อกล่าวกับหมอลู่ว่า “ท่านช่วยข้าบอกอาอู่สักหน่อยนะเจ้าคะ ให้เขารออยู่ที่หมู่บ้านหวงถัว อย่าได้ไปที่ไหนเป็นอันขาด”
“ไยพูดเช่นนั้น” หมอลู่ไม่เข้าใจ
ไป๋จื่อพยักหน้า “พูดตามนี้เถอะเจ้าค่ะ เขาเข้าใจแน่”
“ขนของใส่รถเรียบร้อยแล้ว ออกเดินทางได้แล้วละ” พนักงานที่ทำหน้าที่ขนของตะโกนบอกไป๋จื่อ
เด็กสาวตอบรับเสียงหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าให้หมอลู่ แล้วหมุนกายเดินไปทางรถม้า
อาอู่เคยสอนนางบังคับรถม้า นางเองก็เคยบังคับมันแล้วสองครั้ง จึงไม่รู้สึกว่ายากอะไร อย่างน้อยก็ง่ายกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก
หมอลู่มองรถม้าหายไปในควันฝุ่น แล้วรีบร้อนบอกลาผู้ดูแลโถงสมุนไพร เร่งรถเทียมวัวกลับหมู่บ้านหวงถัว
หลังจากกลับถึงหมู่บ้านแล้ว เขาก็ตรงไปที่บ้านของไป๋จื่อ ประตูบ้านของนางปิดแน่นสนิทเหมือนกับตอนที่พวกเขาจากไปไม่มีผิดเพี้ยน ดูท่าทางคนอื่นจะยังไม่กลับมา
เขาทำได้เพียงกลับบ้านไปก่อน เพื่อแบ่งเงินที่ได้รับมาเป็นสองส่วน ขี้ผึ้งยาหนึ่งพันตลับ หนึ่งตลับราคาหนึ่งตำลึง ทั้งหมดจึงเป็นเงินสองพันตำลึง เขามอบเงินให้ผู้ดูแลโถงสมุนไรหนึ่งร้อยตำลึง หักค่าใช้จ่ายจากการซื้อสมุนไพรไปแปดสิบตำลึง และค่าซื้อตลับอีกสิบตำลึง เหลือเงินทั้งหมดเก้าร้อยสิบตำลึง
ทั้งหมดที่เขาได้มาล้วนเป็นตั๋วเงินจากธนาคาร เขาแบ่งตั๋วเงินออกมาสี่ร้อยห้าสิบห้าตำลึงเงิน ใส่มันไว้ในอกเสื้อ แล้วไปที่บ้านของไป๋จื่ออีกครั้ง
ยามนี้รั้วบ้านเปิดแล้ว เขาเห็นอาอู่กำลังรื้อรถ ส่วนจ้าวหลานและจ้าวซู่เอ๋อกำลังสนทนากันอยู่ในลานบ้าน เขาจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
อาอู่เห็นหมอลู่มาเยือน ก็พลันยิ้มทักทาย “ท่านหมอลู่มาหรือนี่ ไป๋จื่อเล่า เหตุใดนางยังไม่กลับมา”
หมอลู่ยิ้มตอบอาอู่ แต่เดินไปหาจ้าวหลานก่อน “จ้าวหลาน ไป๋จื่อต้องไปทำธุระส่งยาที่ค่ายทหาร นางบอกเจ้าไว้แล้วใช่หรือไม่”
จ้าวหลานตะลึงงัน “ท่านว่าอะไรนะ นางไปส่งยาที่ค่ายทหาร? ส่งยาอะไร แล้วนางไปกับใคร”
หมอลู่ถอนใจเสียงหนึ่ง “เจ้าไม่รู้จริงๆ ด้วย นางไปแล้ว ไปเพียงลำพัง นางบอกว่าจะไปหาหูเฟิง เพื่อดูว่าเขาสบายดีหรือไม่ และถือโอกาสนำขี้ผึ้งยาที่ค่ายทหารจองไว้ก่อนหน้านี้กับข้าไปส่งด้วย ข้ากับผู้ดูแลโถงสมุนไพรล้วนโน้มน้าวนางว่าอย่าไป แต่นางไม่ฟัง รั้นจะไปให้ได้”
จ้าวหลานตกใจจนขาอ่อน ค่ายทหารเป็นสถานที่เช่นไร ที่นั่นมีแต่บุรุษเป็นเรื่องรอง ทั้งยังมีการต่อสู้กันอีก ดาบและกระบี่มีอยู่ให้เห็นทั่วไป…
อาอู่ปรี่เข้าไปหาหมอลู่ รีบถามว่า “แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดนางจะไปไม่บอกพวกข้าสักคำ”
“อาจจะเป็นเพราะรู้ว่าพวกเจ้าจะไม่ยินยอม จึงทำก่อนค่อยบอกกล่าวเช่นนี้ อีกอย่าง นางฝากข้ามาบอกเจ้า ให้เจ้ารออยู่ที่หมู่บ้านหวงถัว อย่าได้ไปที่ไหนโดยเด็ดขาด”
อาอู่พลันร้อนใจ เขาเข้าใจความหมายของไป๋จื่อเป็นอย่างดี นางไม่อยากให้เขาตามไป ถึงอย่างไรเสียเขาก็เป็นทหารหนีทัพ หากมีใครจำเขาได้ขึ้นมา เช่นนั้นเขาก็ต้องตายสถานเดียว แม้กระทั่งทำให้จิ้นอ๋องและพวกแม่ทัพฟู่เดือดร้อน
……….
ตอนที่ 470 ยาปลอมตาย (3)
แต่นางเป็นสตรี ไปค่ายทหารคนเดียวเช่นนี้ หากมีคนพบตัวตนที่แท้จริงและเจตนาของนาง ผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไรกัน
อาอู่นั่งยองลงที่ข้างรถม้าด้วยความร้อนใจ ขณะเดียวกันก็ดึงทึ้งผมของตนเองไปด้วย แต่ไม่ว่าเขาจะคิดให้ศีรษะแทบแตกอย่างไร ก็คิดวิธีการที่ดีไม่ออก
…
ไป๋จื่อบังคับรถม้าไปถึงชายแดนตลอดทาง ก่อนหน้านี้นางถามทางผู้อื่นมาเช่นกัน เพียงมุ่งหน้าเลียบถนนหลวงไปยังทิศเหนือ ไม่เปลี่ยนทิศทาง ปลายทางถนนหลวงก็คือชายแดนแล้ว เมื่อถึงปลายทางก็จะพบผู้คุมค่ายทหาร หลังจากแสดงรายการสินค้าที่นำมาส่งแล้ว ย่อมได้พบคนรับสินค้า
ทันทีที่นางถึงปลายทางของถนนหลวง ท้องฟ้าก็มืดลงโดยสมบูรณ์ เป็นอย่างที่คาดไว้ นางถูกผู้คุมค่ายทหารขวางไว้โดยพลัน “เจ้าเป็นใคร ไม่รู้หรือไรว่าที่นี่เป็นค่ายทหาร ยังจะกล้ามาบุกรุกอีกหรือนี่”
เด็กสาวรีบลงจากรถ นำรายการสินค้าออกมา แล้วกล่าวกับผู้คุมทั้งสองคนว่า “นายทหารทั้งสอง ข้าเป็นพนักงานของโถงสมุนไพรในเมืองชิงหยวน หลายวันก่อนมีนายทหารสองคนไปสั่งขี้ผึ้งยาที่โถงสมุนไพรของพวกข้า หลังจากพวกข้าเร่งทำขี้ผึ้งยาให้แล้ว ก็นำมาส่งให้ในทันที นายทหารทั้งสองท่านโปรดอำนวยความสะดวกด้วย”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายมาส่งยา ความดุดันบนใบหน้าของนายทหารทั้งสองก็อ่อนลงหลายส่วนโดยพลัน แล้วรับรายการสินค้าในมือไป๋จื่อ “เจ้ารออยู่ตรงนี้ก่อน ข้าจะไปตามคนมาให้”
ไป๋จื่อพยักหน้าหงึกหงัก ที่ตรงนี้เหลือผู้คุมเพียงหนึ่งคน ส่วนอีกคนหนึ่งนำรายการสินค้ากลับเข้าไปในค่ายทหารแล้ว
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม ผู้คุมคนนั้นก็พาบุรุษร่างผอมสูงคนหนึ่งมา เขาพิจารณาไป๋จื่อตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางลูบเคราน้อยๆ ที่ใต้คางด้วย “วันนั้นข้าไปที่โถงสมุนไพรเช่นกัน แต่ไม่ยักเจอเจ้านะ”
“ข้าทำหน้าที่ส่งสินค้าโดยเฉพาะ ท่านย่อมไม่พบข้า” ไป๋จื่อกล่าวยิ้มๆ
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า แล้วถามอีกว่า “ทำขี้ผึ้งยาเสร็จหมดแล้วหรือ”
ไป๋จื่อนำขี้ผึ้งยาสองตลับมาจากในรถทันที ก่อนจะส่งให้บุรุษเบื้องหน้า “ท่านโปรดดู นี่เป็นขี้ผึ้งยารักษาบาดแผลชั้นดี”
เขาเปิดขี้ผึ้งยาดมดู เป็นกลิ่นที่เขาได้ดมก่อนหน้านี้ แล้วใช้นิ้วก้อยปาดขี้ผึ้งยาออกมาเล็กน้อย เพื่อป้ายลงบนหลังมืออีกข้าง ความข้นเหนียวและสัมผัสที่มือคล้ายกับที่เคยพบ “เจ้าตามข้ามาเถอะ”
ครั้นเขาเดินเข้าไปแล้ว ผู้คุมสองคนก็หลีกทางให้ ไป๋จื่อรีบบังคับรถม้าตามหลังบุรุษผู้นั้นไป แม้ระหว่างทางจะไม่ได้พูดจากัน แต่ตาของนางกลับสอดส่ายไปทั่ว สังเกตสถานการณ์รอบข้างอย่างละเอียด
บุรุษผู้นั้นนำทางไป๋จื่อไปถึงกระโจมแพทย์ทหาร ภายในกระโจมสว่างโร่ มีเสียงร้องโอดโอยไม่ขาดหู กลิ่นคาวเลือดและบาดแผลเน่าเปื่อยปะปนอยู่ด้วยกัน ได้กลิ่นแล้วชวนอาเจียนอย่างบอกไม่ถูก
คนอื่นอาจจะอยากอาเจียน แต่ไป๋จื่อกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น นางได้กลิ่นเช่นนี้ไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง จึงชินชาเสียแล้ว
“ท่านหมอเฉิน ขี้ผึ้งยาที่ท่านบอกว่าต้องการใช้เมื่อคราวก่อนมาถึงแล้ว ท่านตรวจดูเถอะขอรับ” ครั้นบุรุษผู้นั้นเข้าไปในกระโจมแล้ว เขาก็ไปยืนอยู่เบื้องหน้าผู้อาวุโสวัยห้าสิบปีที่กำลังใส่ยาให้ผู้ป่วย มีทีท่าเคารพนบนอบทีเดียว
ผู้อาวุโสหยุดมือเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “นำเข้ามาทั้งหมด ข้ามองดูก็รู้แล้ว”
บุรุษผู้นั้นพยักหน้า แล้วออกไปบอกกับไป๋จื่อที่อยู่นอกกระโจม “ขนขี้ผึ้งยาเข้าไปข้างในให้หมด สำรวมหน่อยนะ อย่าได้รบกวนท่านหมอเฉินกำลังรักษาผู้ป่วยเชียว”
ไป๋จื่อพยักหน้ารับ ก่อนจะเริ่มทำตามคำสั่งอย่างคล่องแคล่ว แม้ขี้ผึ้งยาจะมีทั้งหมดหนึ่งพันตลับ ทว่าทุกตลับมีขนาดเท่ากำปั้นของเด็กเท่านั้น ทั้งยังมีน้ำหนักเบายิ่ง เพียงแต่ขนไปขนมาหลายรอบเข้า ก็ทำเอานางหัวหมุนจนเวียนหัวแล้ว
หลังขากขนขี้ผึ้งยาเสร็จ หมอเฉินก็ไม่ได้มองมาแม้สักครั้ง เอาแต่ทำงานในมือต่อไป ส่วนบุรุษที่นำทางนางมาก็หายไปไม่เห็นเงาแล้ว
นางจึงทำได้แค่รออยู่ในกระโจม
ขณะนี้มีคนอีกผู้หนึ่งส่งผู้บาดเจ็บเข้ามา เป็นชายหนุ่มอายุสิบเจ็ดสิบแปดสองคน พวกเขาเจ็บจนร้องเสียงหลง สีหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ หนึ่งคนในนั้นร้องเสียงดังที่สุด เพราะขาของเขาบวมเป่งจนผิดรูป ชัดเจนว่าเขาขาหักแล้ว