ตอนที่ 473 เย็บแผล
บาดแผลบนขาเหมือนกัน ท่าทางของนางคล่องแคล่วมาก ทำอะไรว่องไว ราวกับว่านางเคยทำเช่นนี้มาแล้วเป็นร้อยเป็นพันครั้ง คุ้นชินอย่างหาใดเปรียบ
หมอเฉินสนอกสนใจเข็มและด้ายในมือของนางมาก หลังจากนางตัดด้ายแล้ว เขาก็หยิบพวกมันมาจากในมือของนางทันที เพราะเขาไม่เคยของพรรค์นี้มากก่อน ด้ายที่นางใช้ไม่เหมือนกับด้ายทั่วๆ ไป “นี่คือด้ายอะไร” เขาถาม
ไป๋จื่อยิ้มเจื่อน ก่อนจะยื่นมือไปฉวยเข็มและด้ายสำหรับเย็บแผลกลับมา “นี่เป็นเข็มและด้ายที่ข้าทำขึ้นโดยเฉพาะ เดิมทีใช้สำหรับทอผ้า วันนี้ข้าไม่ได้นำด้ายมาด้วย จึงใช้มันแก้ขัดไปก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าจะใช้ได้พอดี”
หมอเฉินเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ทุกคนล้วนมีความลับเป็นของตนเอง ไม่อยากให้ผู้อื่นรู้วิชาแพทย์พิเศษบางอย่าง นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพียงแต่ตอนนี้เขาร้อนใจอยากรู้นัก ว่าวิธีการรักษาโดยการเย็บแผลนี้ กับวิธีการรักษาโดยการใส่ยาของเขา วิธีการรักษาใดทำให้ผู้ป่วยหายดีเร็วกว่า และฟื้นตัวได้ดีกว่ากัน
เขาใส่ยาบนบาดแผลของผู้ป่วยที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งต่อ หลังจากจัดการเสร็จถึงจะมีเวลาว่างมาตรวจสอบขี้ผึ้งยาที่ไป๋จื่อนำมา เขาเปิดกระปุกตรวจดู ก่อนจะพยักหน้าระรัว “ขี้ผึ้งยานี่ดีกว่าครั้งก่อนเสียอีก ดูท่าทางร้านขายยาของพวกเจ้าจะใส่ใจทีเดียว”
พนักงานร้านขายยาของทุกร้านล้วนมีความรู้และประสบการณ์ทางการแพทย์เช่นนี้ เขาอยากจะพบหมอของโถงสมุนไพรจริงๆ จะต้องเป็นหมอชื่อดังคนหนึ่งแน่ๆ
ไป๋จื่อยิ้มรับ “ควรจะเป็นเช่นนั้นขอรับ เหล่าทหารเสียเลือดและบาดเจ็บเพราะปกป้องแว่นแคว้น ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกข้าช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้จึงถือว่าควรทำแล้ว”
หมอเฉินพยักหน้า “ดี พูดได้ดี” เขามองสีท้องฟ้าด้านนอกครั้งหนึ่ง ทอดถอนใจว่า “ค่ำป่านนี้แล้ว เจ้ายังไม่ได้กินข้าวใช่หรือไม่”
เด็กสาวลอบกล่าวในใจว่าโอกาสมาถึงแล้ว จึงรีบลูบหน้าท้อง ยิ้มอย่างเหนียมอาย “อย่าว่าแต่ข้าวเย็นเลยขอรับ ข้ายังไม่ได้กินข้าวกลางวันเลยด้วยซ้ำ!”
“เช่นนั้นข้าจะให้คนไปเรียกหน่วยเสบียงมาส่งข้าวให้เดี๋ยวนี้” หมอเฉินรีบกล่าว
ไป๋จื่อรีบโบกมือ “ไม่ต้องหรอกขอรับ ค่ำป่านนี้ เกรงว่าคนของหน่วยเสบียงจะหลับกันหมดแล้ว เอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านบอกข้าว่าหน่วยเสบียงอยู่ที่ใด ข้าจะไปตามหาเอง พบอะไรก็จะกินสิ่งนั้น ขอเพียงเติมท้องให้อิ่มได้ก็พอแล้วขอรับ”
หมอเฉินก็ไม่บีบบังคับ เขาพานางออกไปข้างนอก แล้วชี้ไปยังทางสายหนึ่ง “เจ้าตรงไปทางนั้น เลี้ยวขวาตรงกระโจมที่ติดธงทรงสามเหลี่ยมเอาไว้ ผ่านไปอีกสามกระโจมใหญ่ ตรงนั้นก็จะเป็นหน่วยเสบียงแล้ว ถึงที่นั่นแล้วเจ้าย่อมรู้เอง”
นางรีบกล่าวขอบคุณหมอเฉิน แล้วกลับหลังหันเข้าไปในกระโจม เพื่อสะพายกระเป๋าผ้าของตนมาด้วย
“ในกระเป๋าผ้าใบนี้ใส่ของล้ำค่าอะไรไว้หรือ แม้กระทั่งไปกินข้าวก็ยังต้องแบกไปด้วยเช่นนี้” หมอเฉินถาม
“ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรหรอกขอรับ ระหว่างทางข้าไปส่งสินค้าหลายที่ จึงรับเงินและตั๋วเงินมาจำนวนหนึ่งด้วย” ไป๋จื่อตอบ
หมอเฉินเข้าใจใจทันที ที่แท้ข้างในใส่เงินไว้นี่เอง มิน่าเล่าถึงห่างกายไม่ได้
ไป๋จื่อกำลังจะเดินไป ทว่าหมอเฉินเรียกนางอีกครั้ง เขามอบป้ายไม้ให้นางแผ่นหนึ่ง “นี่เป็นป้ายประจำตัวของข้า หากทหารลาดตระเวนขวางเจ้า เจ้าก็นำสิ่งนี้ออกมา พวกเขาย่อมเปิดทางให้เจ้าแน่”
นางพยักหน้าพลางกล่าวขอบคุณ คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าหมอเฉินที่ภายนอกดูไม่ค่อยเป็นมิตรผู้นี้ จะเป็นคนมีจิตใจเอื้อเฟื้อนัก
เด็กสาวเดินไปยังหน่วยเสบียงตามที่หมอเฉินชี้ ระหว่างทางพบทหารลาดตระเวนจริงๆ ทหารลาดตระเวนเห็นนางถือป้ายประจำตัวของแพทย์ทหาร ก็หลีกทางให้นางโดยไม่พูดอะไร หมอเฉินแห่งแพทย์ทหารไม่ใช่คนที่จะหาเรื่องด้วยได้ ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ของเขาคนหนึ่งมาช่วยงานที่ค่ายทหาร เวลาว่างมักจะออกไปเดินเล่น และเพราะไม่ได้นำป้ายประจำตัวไปด้วย ทำให้ทหารลาดตระเวนหลายคนรังแก หมอเฉินนำเรื่องนี้ไปบอกแก่แม่ทัพหลายๆ คน บีบให้พวกขาโบยทหารลาดตระเวนสองคนที่รังแกนักเรียนของเขาเสียยี่สิบไม้ถึงจะพอใจ ตั้งแต่นั้นเป็นคนมา เมื่อเหล่าทหารลาดตระเวนในค่ายเห็นคนจากหน่วยแพทย์ก็แทบจะเดินเลี่ยงไปทั้งสิ้น
……….
ตอนที่ 474 กระเป๋าผ้าแห่งความลับ
ผ่านกระโจมใหญ่สามหลังไป นางก็มองเห็นกระโจมที่เปิดโล่งทั้งสี่ด้าน แม้ในกระโจมจะมืดสลัวมาก แต่ก็ยังคงมองเห็นหม้อและเตาภายในนั้นจากแสงจันทร์ละมุนที่สาดส่องลงมา
นอกจากอุปกรณ์ที่วางอยู่เกลื่อนกลาดในหน่วยเสบียง รวมถึงผักและข้าวเหลือๆ จำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีวัตถุดิบสดใหม่อย่างอื่นอีก อยากจะทำอาหารสักมื้อเห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ของเหลือเหล่านี้จะทำอะไรได้กัน อีกทั้งยังต้องมีกลิ่นที่หูเฟิงคุ้นเคย ต้องให้หูเฟิงรู้ว่าเป็นฝีมือนางทำทันทีที่ได้กลิ่น
ครั้นนึกถึงตอนที่อยู่ในหมู่บ้านหวงถัว เย็นวันหนึ่งนางทำอาหารมากมาย นางต้มผักเหลือและโจ๊กขาวด้วยกัน มันส่งกลิ่นหอมเป็นพิเศษ และจำได้วันวันนั้นหูเฟิงกินไปทั้งหมดสามถ้วยติดต่อกัน
เมื่อคิดว่าจะทำก็ลงมือ นางถกแขนเสื้อขึ้น จุดไฟที่เตาขนาดเล็กอย่างชำนิชำนาญ จากนั้นก็ตั้งหม้อใบเล็กไว้บนเตา ก่อนจะเทข้าวที่เหลือใส่ลงในหม้อ เติมหมูที่ยังไม่ได้ผัดลงไปสักพัก แล้วจึงใส่ผักเหลือๆ ลงไปทีหลัง ครั้นต้มจนน้ำเดือดไปได้ครู่หนึ่ง นางก็เปิดฝาหม้อ พาให้กลิ่นหอมเข้มข้นตลบอบอวลไปทั่ว
…
หูเฟิงที่กำลังหลับตาพักผ่อนอยู่ในกระโจมพลันเบิกตาโพลง กลิ่นหอมของอาหารเตะจมูกเขาสายแล้วสายเล่า และเขาคุ้นเคยกับกลิ่นหอมเช่นนี้ยิ่งนัก ราวกับว่าเคยได้กลิ่นมาก่อนหน้านี้แล้ว
ค่ำมืดป่านนี้ ใครกำลังทำอาหารอยู่กัน
จูซื่อที่อยู่ข้างๆ เขาก็พลิกตัวเช่นกัน ก่อนจะยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดกายเขา มือก็พาดอยู่บนไหล่ของเขาเช่นกัน ในปากพึมพำอะไรบางอย่าง เขาจึงดันแขนและขานั้นออกอย่างแผ่วเบา แล้วสวมเสื้อลงจากเตียงไป
เมื่อออกจากกระโจม เขาก็ตรงไปยังหน่วยเสบียง มองเห็นทหารลาดตระเวนหลายคนกำลังล้อมวงอยู่ในนั้น และมีหนึ่งคนในนั้นกำลังถือถ้วยกินข้าวอยู่
ที่แท้พวกเขาก็กำลังทำอาหารมื้อดึก ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว เพราะกลิ่นนี้ทำให้เขานึกถึกอาหารที่ไป๋จื่อทำขึ้นมา
ไม่รู้ว่าไป๋จื่อเข้าใจจดหมายของเขาหรือไม่ เพราะจดหมายทุกฉบับที่ส่งออกไปจากในค่ายทหารล้วนมีคนตรวจสอบทั้งสิ้น เขาทำได้เพียงเขียนไปเช่นนั้น
อีกไม่กี่วันจอมพลหวังก็จะนำทหารมาถึงทางตะวันตกเฉียงเหรือ หูจื้อและสื่อลี่หยวนไม่มีทางให้โจวกังและฟู่เจิงมีชีวิตพบใต้เท้าหวังแน่
พวกเขาไว้ชีวิตโจวกังและฟู่เจิงไว้ ไม่ใช่เพื่อบังคับให้ทั้งสองรับโทษที่ไม่มีความจำเป็น เช่น โทษฐานกบฏ แต่เก็บไว้ใช้มัดตัวเขาฉู่เยี่ยนต่างหาก
น่าเสียดายนัก ไม่ว่าทั้งสองจะใช้วิธีการใด โจวกังและฟู่เจิงก็ไม่ยอมจำนนง่ายๆ พวกเขาไม่อาจโยนโทษที่ปั้นขึ้นมาให้อีกฝ่ายรับได้ ยามนี้ใต้เท้าหวังใกล้จะมาถึงแล้ว ย่อมต้องกำจัดความยุ่งยากทั้งสองนี้ทิ้งไปเสีย
เมื่อคิดถึงความลำบากที่โจวกังและฟู่เจิงได้รับ คิดถึงพี่น้องที่ต้องตายตกไปเพราะปกป้องเขาเหล่านั้น หัวใจของเขาก็คลายกับมีไฟร้อนระอุแผดเผา ร้อนลวกเสียจนหัวใจของเขาเกิดความรู้สึกรวดร้าว
เขาค่อยๆ หมุนกายเดินกลับไป ทว่าเพิ่งเดินไปไม่ได้กี่ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงคนในหน่วยเสบียงกล่าวเสียงดังว่า “น้องไป๋ เจ้าไปร่ำเรียนวิธีการทำโจ๊กผักมาจากที่ใด อร่อยอย่าบอกใครเชียว”
“อร่อยก็กินอีกถ้วยเถอะ ยังมีอีกเยอะเลย”
เสียงนี้ราวกับเสียงฟ้าผ่า ดังสนั่นจนศีรษะของเขาแทบจะระเบิด แม้เสียงนี้จะพยายามกดให้ดูทุ้มต่ำ เจือความเป็นบุรุษอยู่หลายส่วน ทว่าเขาก็ยังคงฟังออกว่านี่เป็นเสียงของไป๋จื่ออย่างชัดเจน
เขาหมุนกายกลับ เห็นเงาร่างผอมบางที่กำลังง่วนอยู่ในหน่วยเสบียง แม้เขาจะมองไม่เห็นใบหน้าของนางในตอนนี้ ทั้งยังมองไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่เพียงมองเห็นเงาร่างนี้ เขาก็แน่ใจว่านั่นคือไป๋จื่อแน่นอน
นางมาที่นี่ นางมาที่นี่จริงๆ!
หูเฟิงเดินไปถึงหน้าหน่วยเสบียง เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พยายามข่มความรู้สึกภายในใจให้สงบนิ่ง เขานึกภาพที่พวกเขาจะได้พบกันอีกครั้งไว้หลายรูปแบบมาก ทว่ารูปแบบเดียวที่ไม่เคยคาดคิด ก็เขาพวกเขาพบกันที่นี่ พบกันด้วยวิธีการเช่นนี้