ตอนที่ 477 วิธีมหัศจรรย์
หมอเฉินมองท่าทางลนลานของนาง ถามพลางขมวดคิ้ว “เจ้าไปที่ไหนมา”
ไป๋จื่อเกาศีรษะ ยิ้มเจื่อน “น่าจะเป็นเพราะกินโจ๊กมากไป ท้องอืด เลยไปถ่ายหนักมาขอรับ”
อีกฝ่ายพยักหน้า ก่อนจะไอแห้งสองเสียง ทั้งยังถามว่า “เมื่อครู่เสี่ยวเฉียนพูดว่า โจ๊กผักที่เจ้าทำอร่อยมาก ยังมีอยู่หรือไม่” วันนี้เขาไม่ค่อยอยากอาหาร เมื่อเย็นก็กินข้าวไปเพียงครึ่งถ้วย เดิมทีไม่หิวเท่าไร ทว่าเมื่อครู่เสี่ยวเฉียนไปรับขี้ผึ้งยาจากเขา อีกฝ่ายคุยโวเรื่องโจ๊กผักที่นางทำไว้เสียมากมาย ทำเอาเขาหิวขึ้นมาในทันที เขาถึงได้มาที่นี่ในตอนนี้
ไป๋จื่อชี้ไปยังหม้อที่ว่างเปล่าข้างกายเขา “หมดแล้วขอรับ ไม่เหลือแม้สักนิด ทีแรกข้าจะนำไปให้ท่านด้วยหนึ่งถ้วย แต่ทหารลาดตระเวนเหล่านั้นหิวเหมือนกับเพิ่งออกมาจากคุกไม่มีผิด ไม่รอข้าเติมให้อีกถ้วย ไม่นานนักพวกเขาก็กินโจ๊กในหม้อจนเกลี้ยงแล้ว”
หมอเฉินแค่นหัวเราะเสียงเย็น “ผีที่หิวโหยเหล่านั้น จะกินอะไรไม่หมดบ้างเล่า ช่างเถอะๆ เจ้าเอาใจใส่ข้าก็พอแล้ว ครั้งหน้าทำของอร่อยอะไร ก็อย่าลืมเหลือให้ข้าส่วนหนึ่งด้วยล่ะ”
นางพยักหน้ารับ ก่อนที่ทั้งสองคนจะตามกันออกจากกระโจมหน่วยเสบียง กลับไปยังกระโจมหน่วยแพทย์
หูเฟิงซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด ลอบสังเกตพวกเขาอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นว่าหมอเฉินไม่สงสัยในตัวไป๋จื่อ เขาถึงสบายใจได้ หลังจากพวกเขาจากไป เขาก็กลับไปพักผ่อนที่กระโจมเช่นกัน
หมอเฉินนำไปจื่อไปยังที่พักของตนเอง เป็นกระโจมขนาดเล็กข้างๆ กระโจมหน่วนแพทย์ ภายในกระโจมจัดวางเตียงเอาไว้ไม่กี่หลัง รวมถึงผ้าห่มไม่กี่ผืนเท่านั้น
มีคนผู้หนึ่งนอนอยู่ที่มุมกระโจมอยู่แล้ว หลับสนิทดีทีเดียว แม้กระทั่งพวกเขาเข้ามาแล้วก็ไม่ได้ตื่นขึ้นมา
หมอเฉินเดินไปมองคนผู้นั้นทันทีที่เข้ามาในกระโจม ตรวจสอบอุณหภูมิบนหน้าผากของเขา แล้วจับชีพจรให้เขาด้วย “เด็กคนนี้นี่ เมื่อกลางวันบอกว่าท้องเสีย หน้ามืดตาลาย ข้าถึงได้ให้เขากลับมาพักผ่อน หรือว่าเขาจะหลอกข้า”
ไป๋จื่อไม่มีเวลาสนใจเรื่องนั้น นางรีบหอบผ้าห่มไปนอนลงที่มุมกระโจมอีกด้านหนึ่ง “ข้าง่วงมาก ข้าขอนอนก่อนนะขอรับ” นางไม่ได้นอนติดต่อกันมาหลายวันแล้ว ตอนนี้เห็นเตียงเข้าจึงเหมือนกับได้พบโชคดี
หมอเฉินก็นอนลงบนเตียงเช่นกัน ปีนี้เขาอายุห้าสิบกว่าแล้ว วุ่นวายทั้งวันเช่นนี้ ย่อมเหนื่อยสายตัวแทบขาดเป็นธรรมดา ต้องรีบเข้านอนพักผ่อน เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะต้องรักษาผู้ป่วยอีกมากมายเท่าไร
…
วันรุ่งขึ้น ไป๋จื่อตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ หมอเฉินกับชายหนุ่มผู้นั้นไม่รู้ว่าหายไปที่ไหน นางคิดว่าตนเองตื่นเช้าแล้ว แต่พวกเขาตื่นเช้ากว่านางอีกหรือนี่
ในกระโจมมีถังน้ำสะอาดและผ้าสะอาดอยู่ผืนหนึ่ง นางล้างหน้าล้างตาอย่างง่ายๆ แล้วรีบสะพายกระเป๋าผ้าออกไปยังกระโจมหลังใหญ่ข้างๆ
ยังเช้าตรู่อยู่แท้ๆ ทว่าในกระโจมใหญ่กลับมีผู้ป่วยถูกส่งตัวมามากมาย หลายคนที่ได้รับการรักษาไปเมื่อวาน วันนี้ขยับตัวได้บ้าง และออกไปจากที่นี่กันหมดแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นผู้ป่วยที่ยังขยับตัวเองตามใจชอบไม่ได้ สองคนในนั้นก็คือคนที่นางเชื่อมกระดูกและเย็บแผลให้เมื่อวานนี้
ชายหนุ่มสวมชุดสีดำกำลังนั่งยองอยู่เบื้องหน้าผู้ป่วยที่นางเคยเย็บแผลให้ ดวงตาจ้องเขม็งไปยังบาดแผลนั่น
“อาจารย์ เด็กหนุ่มในกระโจมคนนั้นเป็นคนเย็บแผลนี้จริงหรือ”
หมอเฉินกำลังทำแผลให้ผู้ป่วยคนหนึ่ง เขากล่าวตอบโดยที่ไม่เงยหน้า “ไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใคร จะเป็นข้าไปได้หรือไร”
“เฮอะ เขาคิดได้อย่างไร เกิดความคิดดีๆ เช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ทั้งยังใจกล้าทำออกมาได้อีกต่างหาก ข้าละนับถือเขาจริงๆ” ชายหนุ่มมองปากแผลที่เย็บสนิทบนหน้าท้องของผู้ป่วยแล้ว จากนั้นก็มองไปทางปากแผลบนขาของเขา มองกลับไปกลับมาไม่ยอมหยุด จนกระทั่งชายหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บผู้นั้นรู้สึกกระอักกระอ่วนเพราะสายตาของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว หมอเฉินก็หยุดมือไปเล็กน้อย ถามว่า “เจ้าว่าวิธีนี้มหัศจรรย์หรือไม่”
……….
ตอนที่ 478 โรคกลัวเลือด (1)
ชายหนุ่มรีบพยักหน้า “แน่นอนว่ามหัศจรรย์ ตอนนั้นท่านเคยพูดกับข้าไม่ใช่หรือ ว่าบาดแผลจากดาบและกระบี่ขนาดใหญ่ไม่อาจสมานกันได้ง่ายๆ เพราะหลังจากปากแผลฉีกขาดแล้ว พวกเขาไม่สามารถสร้างเนื้อขึ้นมาได้อีก ดังนั้นจึงสมานยากมาก ใส่ยาเพื่อป้องกันแผลเน่าเปื่อยก็เพียงพอแล้ว คิดอยากให้แผลหายดี ก็จำเป็นต้องบำรุงรักษาเป็นเวลานานมาก หากไม่ระวังแม้เพียงสักนิดจนปากแผลเน่าเสียขึ้นมา ก็จะทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนอย่างอื่น เช่นนั้นยิ่งรักษายากแล้ว”
“ส่วนการเย็บแผลเช่นนี้ แม้ตอนที่เย็บแผลจะเจ็บมาก แต่หลังจากเย็บแล้ว ปากแผลที่เปิดออกจะสมานกันเร็วมาก เนื้อหนังจะสมานกันเองด้วย เช่นนี้ย่อมร่นระยะเวลาฟื้นตัวได้มาก ทั้งยังป้องกันการเน่าเปื่อยได้อีก ช่างเป็นวิธีที่มหัศจรรย์นัก” เขาตื่นเต้นมาก นี่ไม่น่าจะเป็นเรื่องง่ายเหมือนกับการเย็บผ้ากระมัง
มุมปากของหมอเฉินยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “นับว่าข้าสอนเจ้ามาเนิ่นนานไม่เสียเปล่า เจ้าจำคำพูดของข้าได้เป็นอย่างดีเลย ไม่เลวๆ!”
ผู้ป่วยที่ถูกชายหนุ่มจ้องมองคนนั้นเห็นไป๋จื่อเข้ามา เขาก็รีบทักทาย “หมอไป๋มาแล้วหรือ”
ชายหนุ่มชุดดำหันไปมองร่างผอมบางที่เดินมาจากข้างนอก สีหน้าของผู้มาเยือนสดใสและอ่อนโยน ตัวเตี้ยกว่าเขามากกว่าหนึ่งช่วงศีรษะเสียอีก
เขาแย้มยิ้ม เผยให้เห็นฟันขาวน่ามอง “เจ้าตื่นแล้วหรือ ข้าเห็นเจ้าหลับสบายจึงไม่ได้ปลุก”
ไป๋จื่อพิจารณาชายหนุ่มเบื้องหน้า เขาอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปี รูปร่างกำยำ ส่วนสูงใกล้เคียงกับหูเฟิงเลยทีเดียว หน้าตาท่าทางนับว่าหล่อเหลาเอาการ ครั้นยิ้มขึ้นมาแล้วก็เหมือนเจ้าชายพระอาทิตย์ที่สมบูรณ์แบบ
นางยิ้มจางๆ ตอบ “เมื่อวานข้าเหนื่อยนัก จึงหลับลึกไปหน่อย ข้าชื่อว่าไป๋จื่อ ไป๋ที่มาจากสีขาวดำ ส่วนจื่อแปลว่าหยุด”
ชายหนุ่มตอบรับ “ข้าชื่อต้วนเฉิง ท่านหมอเฉินเป็นอาจารย์ของข้า”
ไป๋จื่อพยักหน้า ก่อนจะมองบนตัวผู้ป่วยที่รอการรักษาคนหนึ่ง นางชี้ไปที่อีกฝ่ายพลางถามว่า “เจ้าไม่รักษาเขาหรือ”
ต้วนเฉิงส่ายหน้า “ข้าไม่กล้ารักษา ปกติข้าทำได้แค่เป็นลูกมือของอาจารย์ แม้ข้าจะร่ำเรียนวิชาแพทย์มาหลายปี แต่ก็เรียนไม่ได้เรื่องเสียที จึงไม่อาจออกห่างจากอาจารย์ ทั้งยังไม่กล้าทำการทดสอบฝีมือด้วยชีวิตคนด้วย”
นางกวาดสายตามองผู้ป่วยครั้งหนึ่ง “เขาบาดเจ็บที่ภายนอก เจ้าทำไม่เป็นแม้กระทั่งใส่ยาหรือ”
อีกฝ่ายเข้าไปใกล้ผู้ป่วย เห็นเสื้อผ้าบนกายเขาชุ่มไปด้วยเลือด “เลือดมากมายขนาดนี้ ไม่มีทางเป็นแค่บาดแผลภายนอกกระมัง”
ไป๋จื่อยักไหล่ “จะใช่บาดแผลภายนอกหรือไม่ เจ้าลองดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
บาดแผลภายนอกต่างหากถึงจะมีเลือดออกมา หากบาดแผลภายในมีเลือดออกมากเช่นนี้ได้ เกรงว่าคงจะหมดลมหายใจไปนานแล้ว ยังต้องส่งมาที่นี่อีกหรือไร
ต้วนเฉิงทำตามที่ไป๋จื่อบอก เขากำจัดเสื้อผ้าของผู้ป่วยทิ้ง และเป็นอย่างที่ไป๋จื่อว่าจริงๆ บนกายของผู้ป่วยมีบาดแผลภายนอกอยู่มากมาย ถึงได้มีเลือดออกมามากเช่นนี้ ทั้งหมดไม่นับว่าบาดเจ็บหนัก ที่ผู้ป่วยหน้าซีดเผือดเช่นนี้ก็เป็นเพราะเลือดออกมากจนเกินไป กลับไปแล้วบำรุงร่างกายให้ดีก็ใช้ได้แล้ว
ทว่าต้วนเฉิงยังคงยืนนิ่ง ไป๋จื่อจึงถามด้วยความสงสัย “เจ้าไม่ใส่ยาให้เขาหรือ”
“เจ้าเพิ่งมาคงจะไม่รู้ แท้จริงแล้วข้าใส่ยาไม่เป็นหรอก” ต้วนเฉิงหัวเราะแหะๆ
ไป๋จื่อพลันมีสีหน้าประหลาดใจ เขาร่ำเรียนกับหมอเฉินอยู่หลายปี แต่ทำไม่เป็นแม้กระทั่งใส่ยาหรือนี่ เช่นนั่นเขาได้ความรู้อะไรบ้าง
หมอเฉินลุกขึ้นหลังจากพันแผลให้ผู้ป่วยเสร็จ เขาถอนหายใจยาวๆ เสียงหนึ่ง แล้วพูดกับไป๋จื่อ “เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอะไร พอเห็นเลือดเข้าก็จะเป็นลมล้มพับ ปลุกอย่างไรก็ไม่ฟื้น หลายปีมานี้ที่เขาติดตามข้า นับว่าเขาฝึกความกล้าขึ้นได้บ้างแล้ว ตอนนี้เห็นเลือดแล้วอย่างน้อยก็ไม่เป็นลม แต่จะให้เขาลงมือทำการรักษา นั่นเป็นเรื่องยากเสียยิ่งกว่ายาก เขาทำไม่ได้หรอก”
“โรคกลัวเลือด?” นางพูดโพล่งออกมา