ตอนที่ 491 ดีงูผสมยา
ท่าทางของเขาหวาดกลัวอย่างชัดเจน ฝังเข็มไม่เจ็บสักหน่อย เหตุใดเขาถึงกลัวกัน
หรือว่านอกจากโรคกลัวเลือดแล้ว เขายังเป็นโรคกลัวเข็มด้วย?
ตอนนี้ไม่มีเวลาถามอะไรมากนัก นางแทงเข็มลงไปเข็มแล้วเข็มเล่าโดยตรง เริ่มจากจุดเจียนเหลียว[1] ไปจนถึงจุดน่าวฮุ่ย[2] แล้วจึงไปที่จุดเซียวลั่ว[3] จุดชิงเหลิ่งเยวียน[4] จุดโส่วซานหลี่[5] ลงไปถึงจุดซานหยางลั่ว[6] นับเวลาแล้วก็ฝังเข็มต่อ โดยใช้วิชาฝังเข็มขับพิษ แทงเข็มไปยังจุดที่สามารถขับพิษได้ ครั้นเห็นเลือดพิษสีแดงคล้ำค่อยๆ ไหลออกมา นางถึงจะถอนใจโล่งอก เพราะหลังจากนางเรียนวิชาฝังเข็มขับพิษชนิดนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยลองวิชากับใครมาก่อน วันนี้ถือเป็นการใช้ความรู้ครั้งแรก ทีแรกนางรู้สึกกระวนกระวายใจทีเดียว ด้วยกลัวว่าจะไม่สำเร็จ
เมื่อขับเลือดพิษออกมาจนหมดแล้ว นางถึงจะถอนเข็ม แล้วกล่าวกับต้วนเฉิงว่า “เอาละ ลืมตาได้แล้ว”
ต้วนเฉิงมีเหงื่อเย็นๆ ผุดเต็มหน้าผากตั้งแต่แรก ครั้นได้ยินเสียงของไป๋จื่อ เขาถึงจะลืมตาเป็นซอกเล็กๆ และเห็นว่าตรงหน้าไม่มีเข็มอีกแม้แต่ครึ่งด้าม
“เจ้ากลัวเข็ม?” นางถาม
อีกฝ่ายยกมือขึ้นปาดเหงื่อ “อาจจะเป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อเห็นเข็มทีไร ข้าจะเวียนหัวคลื่นไส้ ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นลมล้มพับมาก่อน หลายปีนี้อาการดีขึ้นมาก แต่มองเห็นมันเมื่อไรก็รู้สึกไม่สบายใจทุกทีไป”
ไป๋จื่อพยักหน้า ก่อนจะไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงลุกขึ้นเดินไปหางูลายดอก แล้วหยิบร่างไร้ชีวิตของมันขึ้นมา
“เจ้าเก็บศพงูมาทำอะไร น่าขยะแขยงจะตายไป” ต้วนเฉิงถาม
นางหยิบถุงพลาสติกใบหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าผ้า มันเป็นถุงที่ใส่ท่อส่งของเหลวสำหรับใช้แล้วทิ้งก่อนหน้านี้ นางไม่ได้ทิ้งมัน ไม่คิดเลยว่าจะถึงคราวได้ใช้มันรวดเร็วขนาดนี้
ครั้นใส่งูลงไปในถุงพลาสติกแล้ว นางถึงจะตอบต้วนเฉิง “ดีงูลายดอกถือเป็นตัวยาหลักชนิดหนึ่ง ข้าต้องการผสมดีงูลงไปในยา กำลังต้องการมันอยู่พอดี”
นางเขย่าถุงพลาสติกอีกครั้ง พลางยิ้มแป้น “เนื้องูก็เป็นของดีเช่นกัน ต้มน้ำแกงงูข้นสักหม้อ คงจะอร่อยดีทีเดียว เจ้าอยากกินอาหารที่ข้าทำไม่ใช่หรือ กลับไปข้าจะทำให้เจ้ากิน”
ต้วนเฉิงไม่เคยกินน้ำแกงงูข้นมาก่อน เขาจึงจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าสิ่งที่มีพิษร้ายและน่ากลัวเช่นนี้จะเป็นของที่กินได้ แค่คิดเขาก็คลื่นไส้แล้ว
“ข้าไม่อยากกินแล้ว เจ้าเก็บไว้กินเองเถอะ!” เขารีบโบกมือ
ไป๋จื่อยัดงูลงไปในกระเป๋าผ้า แล้วก้าวขึ้นไปประคองต้วนเฉิง บนพื้นมีโสมที่เขาเพิ่งขุดมาได้กระจายอยู่ “ดูท่าทางเจ้าจะชนะข้าแล้วนะ โสมนี่นับเป็นของดีทีเดียว”
ต้วนเฉิงเลิกคิ้วขึ้นอย่างลำพองใจ “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ข้าเชี่ยวชาญเรื่องการหาสมุนไร หากไม่ได้รีบร้อนตามาหาเจ้า ข้าน่าจะได้สมุนไพรชนิดอื่นมาเพิ่มอีก”
“ใช่แล้ว เจ้าเก่งมาก พอใจแล้วกระมัง” ไป๋จื่อประคองเขากลับไป
หลังจากทั้งสองคนออกจากป่า ก็นั่งรถม้ากลับค่ายทหารทันที
ทันทีที่กลับถึงกระโจมหน่วยแพทย์ทหาร ต้วนเฉิงก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในป่าอย่างละเอียด หมอเฉินได้ฟังแล้วก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวน
“งูลายดอก? งูนั่นมีพิษร้ายแรงมากนะ!” หมอเฉินกล่าวด้วยความตกใจ
“ถูกต้องขอรับ เมื่อครู่ข้าถูกมันกัดจนเป็นลมไป ขณะนั้นไม่รู้เรื่องราวอะไรทั้งนั้น ต่อมาข้าตื่นขึ้นมาได้ เห็นไป๋จื่อกำลังดูเลือดพิษให้ข้า หากไม่มีเขาอยู่ด้วย วันนี้ข้าคงไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตแล้วขอรับ” ต้วนเฉิงกล่าว
“ดูดเลือดพิษอันตรายมาก ไป๋จื่อเล่า เขาไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” หมอเฉินรีบถาม
ต้วนเฉิงโบกมือ “เขาไม่เป็นอะไร ตอนนี้กำลังผ่าท้องงูลายดอกอยู่ในกระโจมพักผ่อน บอกว่าต้องการดีงูใส่ลงไปในยา แล้วก็จะนำเนื้องูไปทำน้ำแกงข้น ข้าเห็นแล้วรู้สึกอยากอาเจียน ถึงได้รีบมาที่นี่”
หมอเฉินถอนใจ ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองต้วนเฉิง ยิ้มเอ่ยว่า “น้ำแกงงูข้นเป็นของดี เจ้าไม่กินก็ดียิ่งนัก ข้าจะได้กินมากขึ้นสักถ้วยหนึ่ง”
ต้วนเฉิงโบกมืออย่างไร้อารมณ์ “ตามแต่ใจท่านเถอะขอรับ ข้าจะไม่กิน เห็นแล้วมีแต่จะคลื่นไส้”
……….
ตอนที่ 492 หลอมยา
หลังจากไป๋จื่อตัดดีงูออกมาแล้ว นางก็ใส่มันลงในถุงอย่างดี แล้วนำเนื้องูไปล้างน้ำจนสะอาด แขวนมันไว้ที่ด้านหนึ่ง ก่อนที่นางจะนำดีงูไปที่กระโจมหลังใหญ่
หมอเฉินเห็นนางมามือเปล่า จึงรีบถาม “น้ำแกงงูข้นเล่า”
“ยังไม่ได้ทำขอรับ หน่วยเสบียงยังไม่มีเตาว่าง ตกเย็นพวกเขาไปแล้วข้าจะไปทำให้ ไม่เช่นนั้นถึงแม้จะทำเสร็จแล้ว ก็ตกไม่ถึงท้องของพวกท่านหรอกขอรับ” ไป๋จื่อกล่าว
คิดดูแล้วก็จริงดังนั้น ครั้งก่อนเขายังไม่ได้กินโจ๊กผักเลยด้วยซ้ำ หากต้มน้ำแกงงูข้นสักหม้อ วิญญาณที่หิวโหยเหล่านั้นจะไม่บ้าคลั่งเข้ามาแย่งกันเลยหรือ
หมอเฉินพยักหน้า แล้วมองไปยังดีงูในมือนาง “นี่คือดีงูลายดอกหรือ”
“ใช่อรับ ข้าตั้งใจจะใช้มันหลอมยา ท่านให้ข้ายืมใช้อุปกรณ์สักหน่อยจะได้หรือไม่” ไป๋จื่อถาม
เขาโบกมืออย่างองอาจ “ย่อมได้ เจ้าใช้ได้ตามสบาย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สิ่งที่ข้าใช้เงินซื้อมาอยู่แล้ว อยากใช้เท่าไรก็เท่านั้น ใช้เสร็จแล้วข้าให้คนนำไปขายที่โถงสมุนไพรของพวกเจ้าก็ได้”
นางยินดีนักที่จะได้ใช้ของหลวง ไม่จำเป็นต้องคิดใคร่ครวญเรื่องเงิน และไม่ต้องกังวลว่าใช้เสร็จแล้วจะจัดการอย่างไร
ครั้นไป๋จื่อเจียดยา หมอเฉินยืนมองอยู่ข้างๆ นาง เขาเองก็นับเป็นผู้มีความสามารถในการหลอมยาเช่นกัน ทว่าวัตถุดิบยาที่ไป๋จื่อนำมาผสมกันเหล่านั้น เขาคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นส่วนผสมของยาอะไร ทว่าในนั้นมีตัวยาที่เป็นส่วนประกอบของยาขับพิษและบำรุงเลือดอยู่หลายชนิด หรือว่า…
“เจ้าคงไม่ได้ถูกพิษตอนดูดเลือดพิษให้ต้วนเฉิงกระมัง” หมอเฉินถาม
ไป๋จื่อยิ้มเจื่อน ดีนักที่เขาทักขึ้นมา นางถึงได้มีข้ออ้างดีๆ ทีเดียว
“ใช่ขอรับ ตอนนั้นข้ากลืนเลือดพิษลงไปบ้าง แม้ตอนนี้จะยังไม่เป็นอะไรมาก แต่ข้ากลัวว่าหากเลือดพิษสะสมอยู่ในร่างกาย เช่นนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดีแน่ จึงอยากหลอมยาขับพิษ ล้างเลือดให้สะอาดก็ใช้ได้”
หมอเฉินพยักหน้า “ควรจะเป็นเช่นนั้น เพียงแต่สูตรของเจ้านี้ ข้านับว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก”
ไป๋จื่อชี้ไปยังวัตถุดิบยาที่วางอยู่บนพื้น “นี่เป็นสูตรยาที่อาจารย์ของข้าคิดค้นขึ้นเอง หากท่านสนใจ ข้าเขียนสูตรยาให้ท่านได้นะขอรับ”
หมอเฉินทั้งแปลกใจ ทั้งดีใจ แน่นอนว่าเขาอยากตอบรับ แต่ภายในใจของเขารู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงรีบโบกมือขึ้นมา “ไม่ได้ๆ ทำเช่นนั้นได้อย่างไรกัน สูตรยานี้เป็นสูตรยาลับของอาจารย์เจ้า จะถ่ายทอดให้คนอื่นง่ายๆ ได้ยอ่างไร”
หากเป็นในยุคปัจจุบัน นางไม่มีทางถ่ายทอดให้แน่ นางรับปากอาจารย์เว่ยไว้แล้ว สูตรยาที่เรียนจากพวกเขาสกุลเว่ย นางถ่ายทอดให้ชั่วลูกชั่วหลานได้ แต่ไม่ใช่ถ่ายทอดให้ผู้อื่น
แต่ตอนนี้ บนโลกใบนี้ หากยังติดอยู่กับกฎเกณฑ์เดิม ไม่ยอมแบ่งปันความรู้ แล้ววิชาแพทย์จะพัฒนาได้อย่างไร เช่นนั้นแล้วความลำบากที่เหล่าชาวบ้านได้รับก็มีแต่จะมากขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ที่นี่เป็นโลกอีกใบหนึ่ง อาจารย์เว่ยเอาเรื่องนางที่โลกใบนี้ไม่ได้
“อาจารย์ของข้าจากไปแล้ว เขาไม่ได้บอกว่าห้ามถ่ายทอดให้ผู้ใด หากท่านหมอเฉินต้องการจะเรียนรู้ ข้าสามารถสอนท่านได้ สำหรับข้าแล้ว นี่ไม่ใช่สูตรยาลับอะไร แต่เป็นสูตรยาที่พวกเราควรแบ่งปันกัน ต่อไปหากมีคนได้รับประโยชน์จากการกระทำของข้ามากยิ่งขึ้น เช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้วขอรับ”
หมอเฉินรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก เด็กหนุ่มอายุน้อยเช่นนี้ กลับมีจิตใจที่เปิดกว้างยิ่งนัก เขาใช้ชีวิตมาหลายสิบปีแล้ว ยังมีศีลธรรมและไร้ความเห็นแก่ตัวได้ไม่เท่าไป๋จื่อเลย
เขาสาวเท้าก้าวใหญ่ไปข้างหน้า ประสานมือคารวะไป๋จื่อ “ขอบคุณมาก!”
นางรีบวางสิ่งของในมือลง แล้วคารวะเขาบ้าง “เกรงใจแล้ว!”
“พวกท่านทำอะไรกันอยู่ ไยถึงต้องคารวะกันด้วย” ต้วนเฉินเข้ามาจากข้างนอก เห็นท่าทางของทั้งสองคนแล้วก็รู้สึกว่าน่าขันทีเดียว
หมอเฉินหยัดตัวตรง แล้วพูดกับต้วนเฉิงบ้าง “เจ้าน่ะ วันๆ เอาแต่เตร็ดเตร่ ไม่ฝักใฝ่หาความรู้เสียเลย ต่อไปก็เรียนรู้จากไป๋จื่อให้มากหน่อยเถอะ” เขาแม้กระทั่งไม่รู้ว่าควรจะบรรยายไป๋จื่อเป็นคำพูดอย่างไร เพราะคำพูดที่สวยหรูเหล่านั้น ไม่สามารถอธิบายเนื้อแท้ของนางได้เลย
[1] จุดเจียนเหลียว (肩髎) คือ รอยบุ๋มหลังของไหล่ ขณะกางแขนออกไปด้านข้าง
[2] จุดน่าวฮุ่ย (臑会) อยู่บนแขนด้านหลัง ใต้จุดเจียนเหลียว 3 นิ้ว
[3] จุดเซียนลั่ว (消泺) อยู่บนแขนด้านหลัง เหนือปลายศอก 5 นิ้ว บนเส้นที่เชื่อมระหว่างปลายศอกและจุดเจียนเหลียว
[4] จุดชิงเหลิ่งเยวียน (清冷渊) อยู่บริเวณแขนด้านนอก เหนือปลายศอก 2 นิ้ว บนเส้นที่เชื่อมระหว่างปลายศอกและจุดเจียนเหลียว
[5] จุดโส่วซานหลี่ (手三里) อยู่บริเวณปลายแขนด้านนอก ใต้รอยพับข้อศอก 2 นิ้ว บนเส้นที่เชื่อมระหว่างจุดหยางซีและจุดชวีฉือ
[6] จุดซานหยางลั่ว (三阳络) บริเวณแขนด้านนอก อยู่เหนือแนวเส้นข้อมือ 4 ชุ่น ตรงกึ่งกลางระหว่างกระดูก ulna กับ radius