ตอนที่ 511 นั่งมองดาวเต็มท้องฟ้า
หูเฟิงยักไหล่ “วันนี้เจ้าไปกระโจมของจอมพลมา ข้าเดาว่าเจ้าอยากพูดเรื่องของจอมพลหวังกระมัง”
รอยยิ้มภูมิใจบนใบหน้าของไป๋จื่อพลันแข็งค้าง “แปลกจริงเชียว ดูท่าเจ้าต่างหากถึงจะเป็นพยาธิไส้เดือนในท้องของข้า!”
เขายื่นมือไปจับมือนางไว้ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าจะพาเจ้าไปที่หนึ่ง”
“ที่ใดหรือ”
นางเพิ่งพูดประโยคนี้ออกไป ก็พลันรู้สึกอึดอัดที่เอว เพราะเอวบางของนางถูกแขนข้างหนึ่งโอบเอาไว้ ร่างกายลอยขึ้นทันที ทำเอานางตกใจจนต้องหลับตาปี๋ ได้ยินเพียงเสียงลมหวีดหวิวที่ข้างหู ในใจนางรู้สึกกลัว จึงยื่นมือไปโอบรอบร่างกายของเขาตามสัญชาตญาณ พิงตัวไว้บนร่างของอีกฝ่าย
ใครบางคนยกยิ้มจางที่มุมปาก ในแววตาเผยความประหลาดใจออกมา
ครั้นหยุดลงแล้ว นางก็ยังคงไม่กล้าลืมตา จนกระทั่งรู้สึกได้ว่าร่างกายของนางลอยสูง เท้าไม่แตะพื้น มีเพียงก้นที่สัมผัสบนไม้กลมๆ ท่อนหนึ่ง
“ถึงแล้ว ลืมตาดูสิ”
นางยังคงหลับตา ส่ายหน้าน้อยๆ “ไม่มอง ข้าไม่มอง พาข้าลงไปเร็ว” อาจจะเป็นความกลัวจากการตกจากต้นหงกั่วเมื่อครั้งก่อน ตอนนี้นางเห็นต้นไม้สูงๆ ก็ขาอ่อนแล้ว ราวกับว่าเป็นโรคกลัวความสูงก็ไม่ปาน
หูเฟิงหัวเราะเบาๆ เพราะไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางมาก่อน
“ที่แท้เจ้าก็มีเวลาที่หวาดกลัวเหมือนกัน ข้ายังคิดว่าเจ้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ที่ไหนก็กล้าบุกไป เป็นสตรีอาจหาญที่กล้าทำได้ทุกอย่าง!”
ไป๋จื่อหลับตากล่าวว่า “สตรีอาจหาญก็เป็นคน เป็นคนย่อมมีเรื่องที่ตนเองกลัว ตอนนี้ข้ากลัวความสูง เจ้ารีบพาข้าลงไปเถอะ”
หูเฟิงจะยอมได้อย่างไร กว่าจะหลอกล่อนางมาที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เขาปล่อยนางไปไม่ได้
“ขืนเจ้ายังไม่ลืมตา ข้าจะจูบเจ้า”
เด็กสาวพลันหน้าร้อนฉ่า เบิกตาโพลงในทันที ก่อนจะถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ เหมือนสตรีขี้อายที่กำลังตกอยู่ในห้วงความรักเหล่านั้น
จากนั้นนางก็ต้องตกตะลึงกับความงดงามที่อยู่เบื้องหน้า พวกเขานั่งอยู่บนต้นเฉียงที่สูงที่สุดในป่า ด้านหน้าเป็นแม่น้ำใสสะอาดสายหนึ่ง สองฝั่งแม่น้ำมีแต่ป่าแน่นขนัดไปทั่วทั้งผืน ดวงดาวดารดาษสะท้อนอยู่บนผิวแม่น้ำ ครั้นลมโชยมา แสงดาวบนนั้นก็ระยิบระยับ ราวกับผ้าคาดเอวผืนยาวโรยกากเพชรสีทอง
หูเฟิงชี้ไปด้านบน “ดูข้างบนสิ!”
ท้องฟ้ากว้างไกลไร้ที่สิ้นสุด ก้อนเมฆและดวงดาวผลัดกันโผล่ออกมาอวดโฉมเคียงข้างทางช้างเผือก เคียงข้างจันทร์กระจ่าง ที่นั่นเหมือนกับเป็นโลกอีกใบหนึ่ง โลกที่งดงามจนทำให้คนลืมหายใจ
ได้มองดวงดาวบนท้องฟ้าเช่นนี้ ยิ่งสวยงามและชวนฝันยิ่งกว่าเดินทางระหว่างดวงดาวต่างๆ ขณะเดินทางด้วยจิตเสียอีก
เพราะในอวกาศนั้น ดาวตระการตาที่มองแล้วตาพร่าเลือนเหล่านี้ ก็เป็นเพียงก้อนหินขนาดยักษ์ ไม่มีชีวิตชีวาเท่านั้นเอง
ทว่าเมื่ออยู่บนโลก สิ่งที่เห็นกลับเป็นภาพที่ต้องตาต้องใจฉากหนึ่ง
นี่เป็นเหตุให้มนุษย์ริเริ่มการถ่ายรูปสินะ!
หากได้เห็นทิวทัศน์ที่ไม่น่ามอง พบคนที่ไม่น่าพบในสถานที่เช่นนี้ ก็อาจจะมีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป
ในยุคปัจจุบันนั้น นางเสียใจในหลายๆ เรื่อง ทว่าก็ได้รับการเติมเต็มอยู่ที่นี่ นี่เป็นเหตุผลที่นางมีความรู้สึกที่ต่างออกไปกระมัง
“ยังอยากลงไปอีกหรือไม่” เขาโอบเอวบางของนางไว้ไม่ยอมปล่อย แม้กระทั่งโอบเข้าไปหาตัวเองมากขึ้นด้วย ทั้งสองคนอิงแอบอยู่ด้วยกัน มองฟ้าดินที่งดงาม ทิวทัศน์เบื้องหน้า แม้จะไม่ใช่สุรา แต่มองแล้วก็ทำให้เมามายได้เช่นกัน
ไป๋จื่อเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเต็มท้องฟ้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าดาวพวกนี้เป็นอะไร”
“ก็เป็นแค่ดาวน่ะสิ ยังจะเป็นอะไรไปได้อีก หรือเจ้าเชื่อตำนานหลอกเด็กเหล่านั้น ที่คนตายไปแล้วจะกลายเป็นดาว เจ้าเชื่ออย่างนั้นหรือ” หูเฟิงย้อนถาม
เด็กสาวหัวเราะออกมา ก่อนจะหันไปมองเขา ยิ้มกล่าวว่า “ข้าย่อมไม่เชื่ออยู่แล้ว เรื่องโกหกพรรค์นั้นมีไว้หลอกเด็กๆ เท่านั้นแหละ”
……….
ตอนที่ 512 ไม่ใช่เวลาตกใจกลัว
หูเฟิงมองนาง มองดวงตาคู่สวยที่สะท้อนดาวนับพันนับหมื่น ในแววตาที่สุกสกาวส่องสว่างความงามหมดจดออกมา
ภายใต้แสงจันทรน์ ผิวขาวละเอียดของนางคล้ายกับมีแสงหยกปกคลุมชั้นหนึ่ง ทำให้มันดูเนียนนุ่มอย่างยิ่ง จมูกโด่ง ริมฝีปากสีแดงดอกท้อ พวงแก้มละมุนที่มีสีแดงระเรื่อ ทั้งหมดงดงามจนทำให้เขาไม่อาจละสายตาไปได้
เขาก้มลงประทับจุมพิตลงบนพวงแก้มระเรื่อของนาง สัมผัสนี้แผ่วเบา ทว่ากลับเหมือนสายฟ้าฟาดลงมาก็ไม่ปาน ทำเอาเด็กสาวชาหนึบไปทั้งตัว
ใบหน้าของนางยิ่งร้อนลวก นางยื่นมือดันเขาออกไป ทว่าออกแรงเยอะเกินไป ทั้งยังลืมไปว่าตนเองอยู่บนที่สูง สองเท้ายังลอยคว้างอยู่กลางกาศ ทำให้ร่างกายของนางไม่มั่นคง ร่างกายตกลงจากลำต้นไม้นทันที
ครั้งนี้นางกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว อย่างน้อยก็ไม่ได้กลัวเหมือนตอนที่ตกลงจากต้นหงกั่วเมื่อครั้งก่อน
อาจจะเป็นเพราะมีเขาอยู่ข้างกาย และนางรู้ว่านางไม่มีทางเป็นอะไร เขาจะต้องรับนางไว้ได้อย่างมั่นคง
หูเฟิงกระโจนลงจากลำต้นท่อนบน มือข้างหนึ่งคว้านางเอาไว้ เขาพลิกตัวกลางอากาศโดยพลัน ฝ่ายไป๋จื่อถูกพลิกตัวจึงเวียนหัว หลังตกลงบนพื้นแล้วก็รู้สึกว่าโลกหมุนอยู่พักหนึ่ง
ริมฝีปากอุ่นของเขาแนบอยู่ข้างหูนาง เอ่ยเสียงทุ้มต่ำและนุ่มนวลว่า “เจ้าต้องจงใจแน่ๆ วีรบุรุษช่วยหญิงงามเป็นเช่นนี้แหละ”
ไป๋จื่อทุบกำปั้นเล็กๆ บนหน้าอกของเขา ตะโกนว่า “เจ้าต่างหากจงใจทำ หากเจ้าไม่…แล้วข้าจะตกลงมาได้อย่างไร”
“หากข้าไม่อะไร ฟังไม่รู้เรื่อง…” บนใบหน้าหล่อเหลาที่มีรอยยิ้มขบขัน บัดนี้ปรากฏแววหยอกเย้าอยู่ส่วนหนึ่ง
เด็กสาวรู้สึกหัวเสีย เพราะนางมักจะใจเย็นและสุขุมต่อหน้าคนอื่น ไม่เคยรู้สึกตกใจกับอะไรง่ายๆ จัดการเรื่องทุกอย่างได้อย่างเยือกเย็น
แต่เมื่ออยู่กับเขาผู้นี้ นางมักจะเสียเปรียบอยู่เสมอ และเขาก็เอาเปรียบนางอยู่เรื่อยเช่นกัน
และที่น่าโมโหที่สุดก็คือ นางไม่รู้สึกโกรธเขาเลยสักนิด…
“เอาละ จริงจังหน่อย” เขาเก็บความรู้สึกตกใจไว้ ตอนนี้เหมือนจะไม่ใช่เวลาตกใจเท่าไรนัก
หูเฟิงยักไหล่ “ข้าจริงจังมากอยู่เสมอ หรือว่าเจ้าไม่เป็นเช่นนั้น”
ไป๋จื่อหมดคำพูด นางมองตาขวางใส่เขา ไม่สนใจวาจาเย้าแหย่ของเขา พูดเข้าประเด็นว่า “วันนี้ข้าพบจอมพลหวังแล้ว เขาอายุมากถึงเพียงนี้ ร่างกายก็ยังไม่ค่อยแข็งแรง แต่ยังเดินทางไกลพันลี้มาถึงที่นี่ เจ้าเดาสิว่าเพราะเหตุใด”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มหายไปสามส่วน ในดวงตาปรากฏความทุกข์ใจเพิ่มขึ้นมา “ย่อมเป็นเพราะข้า หากไม่ใช่เพราะเรื่องของข้า ตอนนี้เขาก็สามารถใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่เมืองหลวงได้อย่างสมบูรณ์ มีความสุขโดยมีลูกหลานห้อมล้อม ไยจะต้องมาที่นี่” แม่ทัพใหญ่ในราชสำนักไม่ได้มีเพียงจอมพลหวังคนเดียว แต่เขาก็ยังคงมาที่นี่ เป้าหมายชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ
เด็กสาวพยักหน้า “เจ้าเดาถูกต้อง แต่เจ้าต้องไม่รู้แน่ ว่าข้างกายของจอมพลหวังมีหมอแซ่กงคนหนึ่ง เขาดูแลอาการป่วยของจอมพลหวังในหลายปีมานี้อย่างมีนัยยะสำคัญ คนอื่นเรียกเขาว่าหมอผู้มีฝีมือ แต่ใครจะรู้ว่าเขาเป็นหมอวางยาพิษคนหนึ่ง”
สีหน้าของหูเฟิงเข้มขึ้นหลายส่วน รีบถามว่า “พูดมาให้ชัดเจน แท้จริงแล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ไป๋จื่อเล่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เขาฟังอย่างละเอียด หูเฟิงยิ่งฟังก็ยิ่งมีสีหน้าเขียวคล้ำ โมโหจนทุบกำปั้นบนลำต้นไม้ “สารเลวนัก เก่งจริงก็มาหาข้าเลยเถอะ!”
นางกลั้นหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปจับข้อมือของเขา ดึงมือข้างนั้นลงจากลำต้นไม้ เอ่ยเสียงอ่อน “เจ้าต้องเดาได้แน่ๆ ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเขาเป็นใคร ใช่หรือไม่”
หูเฟิงพยักหน้า “นอกจากเขาแล้วยังจะมีใครอีก หลายปีนี้เขาพุ่งเป้ามาที่ข้าเสมอ หมายจะกำจัดข้า ข้าอยู่ไกลถึงทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ส่วนตัวเขาอยู่ที่เมืองหลวง แต่กลับบอกกล่าวสถานการณ์ของข้าต่อหน้าเสด็จพ่ออยู่ตลอดเวลา กล่าวหาข้าในเรื่องที่ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่เคยคิดจะคิดบัญชีกับเขา ข้าไม่เคยเห็นเขา หรือบัลลังก์นั้นอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ”