เมื่อหลานลั่วเฟิ่งสัมผัสได้ถึงการกระทำของหลิงหลาน อารมณ์ที่เดิมทีโกรธเกรี้ยวสุดขีดก็สงบลงเล็กน้อย เธอรู้ว่าสถานที่ตรงนี้ยังมีตัวแทนที่ฝ่ายกลาโหมและรัฐบาลสหพันธรัฐส่งมา เธอไม่สามารถหุนหันพลันแล่นทำลายพิธีสืบทอดตำแหน่งของหลิงหลานได้ชั่วคราว
หลานลั่วเฟิ่งสะกดกลั้นความโกรธของตัวเองและเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า “คุณอาเหรินหมายความว่ายังไงคะ”
หลิงซู่เหรินส่งสายตาจ้องเขม็งมา แต่เขาก็ยังเอ่ยแผนการของพวกเขาออกมาว่า “เลือกเด็กหนึ่งคนที่มีสติปัญญาและศักยภาพที่ดีที่สุดจากในหมู่เด็กอายุต่ำกว่าสามขวบของตระกูลหลิง”
เด็กที่เพิ่งเกิดจนถึงอายุสามขวบคือช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการบ่มเพาะและสร้างร่างกายรวมถึงจิตใจให้แข็งแกร่ง หากเกินช่วงเวลานี้ไป ประสิทธิภาพในการบ่มเพาะก็จะด้อยลง อายุเพิ่มมากขึ้นประสิทธิภาพก็จะยิ่งลดลง
หลานลั่วเฟิ่งเอ่ยเหน็บแนมว่า “พวกคุณคิดว่าเด็กคนอื่นๆ ในตระกูลหลิงจะเหนือกว่าลูกของหลิงเซียวหรือคะ หลิงเซียวเขาเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะนะคะ” ยีนแทบจะตัดสินทุกอย่างในสหพันธรัฐ หายากที่จะมีเด็กฐานะธรรมดาเกิดมาพร้อมกับคุณสมบัติร่างกายที่ฝืนธรรมชาติอย่างยิ่งยวด มันต้องฝึกฝนอบรมบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น
“ในเมื่อตระกูลให้กำเนิดหลิงเซียวได้ ก็จะต้องให้กำเนิดอีกคนได้” หลิงซู่เหรินกล่าวด้วยความมุ่งมั่นเด็ดขาด เขามีความมั่นใจโดยสิ้นเชิงขนาดนี้เพราะว่าในมือพวกเขามีเด็กคนหนึ่งที่มีคุณสมบัติร่างกายใกล้เคียงกับหลิงเซียวอย่างหาใดเปรียบ ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นเรื่องยากมากที่จะมีระดับขั้นเทวะโผล่ขึ้นมาสักคนในผู้ควบคุมขั้นเทวะรุ่นหลัง นี่ถูกทางกองทัพทำการวิจัยพิสูจน์มาแล้ว ต่อให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน กองทัพก็จะเลือกตระกูลสายรองมาสืบทอด นี่ก็คือสาเหตุที่เขาหักหน้าต้องการได้บำเหน็จความชอบของหลิงเซียว
ตระกูลหลิงต้องผลิตหลิงเซียวออกมาอีกคนถึงจะมีคุณสมบัติอยู่ในดาวโดฮาศูนย์กลางของสหพันธรัฐต่อไป
ถึงแม้ว่าสหพันธรัฐในตอนนี้จะประกาศว่าทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกันต่อสาธารณชน ทว่าความจริงแล้ว มันกลับมีการแบ่งแยกระดับอย่างชัดเจนว่าตอนนี้คุณสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ที่ดาวดวงไหน
ดาวโดฮาคือดาวชั้นพิเศษ และก็เป็นดาวศูนย์กลางเมืองหลวงของสหพันธรัฐ นี่หมายถึงว่าคนที่สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในดาวโดฮาได้จะต้องเป็นพวกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ คนใหญ่คนโตในหน่วยกองทัพที่มีอิทธิพลมีอำนาจ รวมไปถึงพวกตระกูลเก่าแก่ชั้นสูงที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานและอิทธิพลมหาศาล
เดิมทีตระกูลหลิงเป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ที่ได้แต่ตั้งรกรากอยู่ในดาวระดับสามเท่านั้น ทว่าเป็นเพราะหลิงซู่เจิ้ง บิดาของหลิงเซียวถึงได้เข้าไปอยู่อาศัยในดาวโดฮาได้สำเร็จ
หลิงซู่เจิ้งเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชา ถึงแม้ว่าน่าเสียดายที่เขาไม่สามารถกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะซึ่งเป็นอาวุธขั้นสุดยอดของประเทศชาติได้ แต่ความสามารถของเขาก็ไปถึงระดับผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาที่ไร้คู่ต่อกร เขาสังหารผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาของฝ่ายตรงข้ามหลายครั้งในสนามรบ มีความชอบในการรบครั้งแล้วครั้งเล่า ท้ายที่สุดกองทัพจึงให้รางวัลพิเศษ อนุญาตให้หลิงซู่เจิ้งพาคนในครอบครัวเข้ามาอาศัยที่ดาวโดฮา กลายเป็นดาวสงครามคนใหม่ของหน่วยกองทัพ
เวลานั้นเจ้าบ้านตระกูลหลิงกับเหล่าผู้อาวุโสให้คำมั่นสัญญาว่าตระกูลหลิงจะเห็นหลิงซู่เจิ้งเป็นตระกูลสายตรง เพื่อให้หลิงซู่เจิ้งยินยอมพาตระกูลหลิงเข้ามาที่โดฮาทั้งตระกูล ทรัพยากรทุกอย่างของตระกูลจะมอบให้เขาใช้ ไม่เพียงเท่านี้ ตำแหน่งเจ้าบ้านในภายหลังก็จะเป็นทายาทรุ่นหลังของหลิงซู่เจิ้งรับตำแหน่ง
หลิงซู่เจิ้งคิดว่ายังต้องอาศัยการสนับสนุนของคนในตระกูลเพื่อจะตั้งมั่นอยู่ในโดฮาด้วยความมั่นคง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบรับให้ตระกูลหลิงให้เข้ามาในโดฮาทั้งตระกูล
เป็นเพราะการตัดสินใจของหลิงซู่เจิ้งในครั้งนี้เองถึงได้สร้างปัญหาไม่รู้จบให้กับหลิงเซียวรวมไปถึงหลิงหลานในเวลานี้ ถึงขนาดที่ทำให้คนอื่นๆ ในตระกูลมีโอกาสเข้ามาสอดมือในบำเหน็จความชอบของหลิงเซียว ถ้าหากหลิงซู่เจิ้งรู้เข้าละก็ เกรงว่าเขาจะต้องเสียใจที่ตอนนั้นชักศึกเข้าบ้านเป็นแน่
หลังจากที่ตระกูลหลิงเข้ามาที่ดาวโดฮาเกือบจะหลายสิบปีแล้วและได้รับผลประโยชน์มากมายนับไม่ถ้วน พวกเขาก็ไม่อยากกลับไปเหมือนเก่าอีก พวกเขารู้ดีมากๆ ว่าอีกยี่สิบปีให้หลัง ถ้าหากผู้สืบทอดตามกฎหมายของหลิงเซียวไม่สามารถไปถึงข้อกำหนดขั้นต่ำสุดของประเทศชาติได้ละก็ ตระกูลหลิงก็จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้ไปและกลับไปสู่จุดเดิม นั่นหมายความว่าตระกูลหลิงของพวกเขาจะเปลี่ยนจากตระกูลชั้นสูงกลายเป็นตระกูลชั้นกลางแทน ไม่สิ บางทีอาจจะตกลงไปสู่ตระกูลชั้นล่างก็ได้…นี่จะต้องส่งผลต่อรายรับของตระกูลหลิง และการแต่งงานของเด็กทุกคนในตระกูล รวมไปถึงโอกาสต่างๆ ในอนาคต พวกเขาไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
หลิงซู่เหรินไม่ให้โอกาสหลานลั่วเฟิ่งเอ่ยคำพูด และให้ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายซึ่งกำลังอุ้มเด็กอายุประมาณหนึ่งขวบออกมา เขาชี้ไปที่เด็กและกล่าวว่า “นี่เป็นคนที่ตระกูลหลิงของพวกเราคัดสรรออกมา ถ้าหากสถานะร่างกายของคุณชายหลาน เหนือกว่าเขา พวกเราก็ไม่มีความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับสิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งของคุณชายหลาน”
เขาหันหน้ามองไปที่ตัวแทนของฝ่ายกองทัพ “ฉันเชื่อว่ากองทัพเองก็คาดหวังให้ผู้ที่ได้รับการทุ่มกำลังอบรมบ่มเพาะจะเป็นคนที่มีพรสวรรค์ ไม่ใช่เศษสวะ”
ตัวแทนของทางกองทัพยิ้มน้อยๆ และไม่พูดอะไรทำให้คนขบคิดถึงจุดยืนของพวกเขาไม่ออก
เดิมทีหลิงซู่เหรินก็ไม่ต้องการให้ตัวแทนของกองทัพเอ่ยปากสนับสนุนหรอก แต่สิ่งที่เขาต้องการก็คือท่าทีคลุมเครือแบบนี้ ความสนใจของเขาตกไปอยู่ที่ตัวหลานลั่วเฟิ่งอีกครั้ง สายตาที่มองไปฉายแววลำพองใจ
มุมปากของหลานลั่วเฟิ่งเผยรอยยิ้มเยาะหยัน ดูเหมือนผลการประเมินผลของหลิงหลานที่เธอตัดสินใจปิดบังไว้ชั่วคราวจะทำให้ตระกูลหลิงเกิดความคิดที่ไม่สมควรคิดขึ้นมา โชคยังดีที่พ่อบ้านหลิงฉินสืบการเคลื่อนไหวของอีกฝ่ายเร็วกว่าก้าวหนึ่งจึงเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว
“กล้ามาแตะบำเหน็จความชอบของหลิงเซียวเหรอ” หลานลั่วเฟิ่งกวาดสายตามองดูแขกรอบหนึ่ง มีคนมากมายที่เหมือนกับกำลังดูเรื่องสนุก แน่นอนว่าก็มีคนที่ดูเป็นห่วงจริงๆ อันที่จริงแล้วครั้งนี้ก็ไม่เลวเลยเหมือนกัน ทำให้เธอมองใบหน้าที่แท้จริงของคนบางกลุ่มออกได้อย่างชัดเจน “ถึงแม้ว่าพลตรีหลิงเซียวจะพลีชีพไปแล้ว แต่ว่าลูกกำพร้าพ่อของเขาจะถูกคนในตระกูลรังแกไม่ได้เด็ดขาด ฉันคิดว่าทางกองทัพน่าจะมีวิธีจัดการบ้างนะคะ”
ตัวแทนของกองทัพคนนั้นแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจความหมายที่อยู่ในคำพูดของหลานลั่วเฟิ่ง เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณนายหลิง วางใจเถอะครับ ไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องบำเหน็จความชอบของพลตรีหลิงเซียวเลย ถึงยังไงสวัสดิการของสมาชิกในครอบครัวผู้เสียสละชีพเพื่อชาติที่หลิงหลานควรได้รับย่อมไม่มีทางน้อยแน่นอน ทางกองทัพจะไม่ปล่อยปละละเลยให้ลูกของวีรบุรุษถูกข่มเหงรังแกหรอกครับ”
คำพูดของตัวแทนฝ่ายกองทัพฟังดูดีมาก แต่เนื้อในยังคงเป็นผลประโยชน์สูงสุด เมื่อเห็นเป้าหมายที่โดดเด่น พวกเขาก็ยอมรับแผนการที่มีประโยชน์กับฝ่ายกองทัพมากกว่าโดยปริยาย
สายตาของหลานลั่วเฟิ่งจับจ้องไปที่ตัวแทนของรัฐบาล คนผู้นั้นก็เพียงแต่ยิ้มไม่พูดจา ราวกับตัดสินใจที่จะเป็นผู้ชม
หลิงเซียวคะ นี่ก็คือกองทัพที่คุณถวายชีวิตรับใช้ ประเทศชาติที่คุณปกป้องโดยไม่คำนึงถึงการเสียสละชีวิต คุณรู้ไหมว่าพวกเขาทอดทิ้งสายเลือดของคุณอย่างไร้หัวจิตหัวใจเพื่อผลประโยชน์ที่มากกว่า ถ้าวิญญาณคุณรับรู้ คุณจะเสียใจกับการตัดสินใจในเวลานั้นหรือเปล่า
หลานลั่วเฟิ่งเอ่ยเหน็บแนมอย่างยากที่จะอดกลั้นอีกต่อไปว่า “ที่แท้นี่ก็คือรัฐบาล นี่ก็คือกองทัพ…ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว”
บางทีคำพูดเหน็บแนมของหลานลั่วเฟิ่งแฝงความหมายที่เข้มข้นมากเกินไป ใบหน้ายิ้มแย้มของตัวแทนของฝ่ายกองทัพและรัฐบาลทั้งสองเลยแข็งทื่ออย่างชัดเจน
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉัน หลานลั่วเฟิ่งก็จะขอให้ทางรัฐบาลและฝ่ายกองทัพรับปากกับฉันเรื่องหนึ่ง ไม่ว่าหลิงหลานลูกของฉันจะสืบทอดบำเหน็จความชอบของพลตรีหลิงเซียวผู้เป็นพ่อของเขาหรือไม่ เขาก็จะหลุดพ้นจากตระกูลโดยสิ้นเชิง และจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลหลิงอีก”
ตัวแทนจากฝ่ายกองทัพและฝ่ายรัฐบาลมองหน้ากันเอง สุดท้ายก็เป็นตัวแทนของฝ่ายกองทัพที่เอ่ยปากถามว่า “ความหมายของคุณคือ?”
หลานลั่วเฟิ่งยิ้มหยัน “ถ้าเกิดหลิงหลานได้สืบทอดตำแหน่ง คนอื่นๆ ในตระกูลหลิงจะต้องออกไปจากโดฮาทันที มาจากไหนก็ไปที่นั่น…ถ้าหากหลิงหลานสืบทอดตำแหน่งไม่ได้ ฉันกับหลิงหลานก็จะออกไปจากโดฮา ไม่ว่าผลจะเป็นแบบไหน พวกเราก็จะไม่ใช่สมาชิกของตระกูลหลิงอีก”
หลานลั่วเฟิ่งอยากแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ของตระกูลหลิงมานานแล้ว ถ้าหากทนลำบากครั้งเดียวแล้วสบายตลอดไป การที่เธอทุ่มเทพยายามวางแผนสร้างสถานการณ์แบบนี้ออกมาก็ไม่เสียเปล่าแล้วเหมือนกัน
สีหน้าของหลิงซู่เหรินเปลี่ยนเป็นเดือดดาลพลางเอ่ยว่า “หลานลั่วเฟิ่ง เธอบ้าไปแล้วหรือไง”
“ทำไมคะ คุณอาเหริน คุณกลัวแล้วเหรอคะ กลัวว่าเด็กที่คุณเลือกจะสู้หลิงหลานไม่ได้?” หลานลั่วเฟิ่งมองหลิงซู่เหรินด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มและบีบมือที่ทั้งเล็กทั้งอวบของหลิงหลานเบาๆ ความแข็งแกร่งของมารดาก็คือเวลานี้เอง หลานลั่วเฟิ่งไม่เคยรู้สึกหนักแน่นขนาดนี้มาก่อนเลย
หลิงซู่เหรินพูดไม่ออก เดิมทีเขามีความมั่นใจอยู่เต็มเปี่ยมก็รู้สึกลังเลอยู่บ้าง ท่าทีเช่นนี้ของหลานลั่วเฟิ่งทำให้เขาไม่กล้าทุ่มเดิมพันในครั้งเดียว
คนแก่ที่อยู่ข้างๆ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหลิงเช่นเดียวกัน เหมือนกับดูออกว่าหลิงซู่เหรินลังเล ก็เลยเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “อย่าให้ฝ่ายตรงข้ามจับเสือมือเปล่า”
หลิงซู่เหรินได้ยินคำพูด จิตใจก็สงบลง ไม่ผิด คำพูดของหลานลั่วเฟิ่งจะต้องเป็นการอยากลองสู้กันสักตั้งแน่นอน คิดดูสิ ถ้าเกิดคุณสมบัติร่างกายของหลิงหลานแข็งแกร่งมากจริงๆ ละก็ ทำไมหลานลั่วเฟิ่งจะต้องปิดข่าวนี้ด้วยล่ะ ควรรู้ไว้ว่าคุณสมบัติร่างกายของหลิงหลานยิ่งแข็งแกร่งเท่าไร สิทธิ์ในการสืบทอดตำแหน่งก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น คนฉลาดจะไม่มีทางปกปิดไว้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นยังจะป่าวประกาศกดดันความละโมบของคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ
………………………………………….