หลิงซู่เหรินยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกใช่ ความลังเลในแววตาของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว เขาเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยันว่า “ในเมื่อหลานสะใภ้หลิงเซียวพูดแบบนี้ ตระกูลหลิงของพวกเราก็ไม่อาจฝืนใจคนได้ หลิงหลานจะเดินไปทางไหน ตระกูลหลิงของพวกเราก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวแล้ว”
“ถ้าเกิดหลิงหลานสืบทอดตำแหน่งแล้ว ตระกูลหลิงจะต้องอพยพออกจากโดฮาภายในหนึ่งเดือน คุณอาเหริน ถึงเวลานั้นอย่าโทษว่าฉันไร้น้ำใจนะคะ?” หลานลั่วเฟิ่งเลิกคิ้วมองดูตัวแทนของฝ่ายกองทัพและรัฐบาลแวบหนึ่ง เตือนหลิงซู่เหรินว่าฝ่ายกองทัพและรัฐบาลเป็นพยานให้กับทั้งสองฝ่าย พวกเขาจะกลับคำไม่ได้
หลิงซู่เหรินเผชิญหน้ากับหลานลั่วเฟิ่งที่พูดจายกตนเหนือกว่า เขาก็เอ่ยด้วยความเดือดดาลว่า “ถ้าหากหลิงหลานไม่สามารถสืบทอดตำแหน่ง ฉันก็สามารถขอให้พวกเธอออกจากโดฮาภายในหนึ่งเดือนได้แบบนี้เหมือนกันใช่ไหม”
หลานลั่วเฟิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันว่า “ฉันกล้าพูดแบบนี้ ฉันก็ต้องทำได้ หรือว่าตระกูลหลิงของพวกคุณจะมีความกล้าสู้ผู้หญิงอย่างฉันคนนี้ไม่ได้? แน่นอนว่าถ้าเกิดพวกคุณยอมสละการสืบทอดตำแหน่งเอง ฉันก็จะทำใจกว้างให้พวกคุณอยู่ที่โดฮาต่อไป”
คำพูดของหลานลั่วเฟิ่ง หนึ่งเป็นการแสดงท่าทีถอยเพื่อรุกเพื่อบีบหลิงซู่เหริน ไม่ให้ตระกูลหลิงมีโอกาสกลับคำ สองคืออยากให้โอกาสสุดท้ายแก่ตระกูลหลิง ถ้าหากพวกเขาละโมบให้น้อยลงหน่อย ภายในยี่สิบปีนี้พวกเขาก็ยังสามารถอาศัยอยู่ในโดฮา รับประกันฐานะของตระกูลหลิง หลานลั่วเฟิ่งเชื่อว่าในระยะเวลายี่สิบปี ถ้าหากตระกูลหลิงทุ่มเทอบรมสั่งสอนลูกหลานที่โดดเด่นสักคน พวกเขาก็ยังมีโอกาสอยู่ในโดฮาต่อได้
หลิงซู่เหรินได้ยินคำพูดของหลานลั่วเฟิ่งในใจก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ตามที่คาดคิดไว้จริงๆ หลานลั่วเฟิ่งอยากดิ้นรนต่อสู้เฮือกสุดท้าย เขาก็ไม่หวั่นกลัวอีกต่อไป ตอบกลับด้วยรอยยิ้มหยันว่า “ในเมื่อเธอดึงดันแบบนี้ ได้ ตระกูลหลิงของเรารับปากเธอ ให้เหมือนกับที่เธอพูดไว้ ถ้าเกิดหลิงหลานสืบทอดตำแหน่ง ตระกูลหลิงของเราก็จะอพยพออกจากโดฮา ถ้าหากเด็กที่พวกเราเลือกได้สืบทอดตำแหน่ง หลิงหลานก็จะต้องออกจากโดฮา ชั่วชีวิตห้ามเข้ามาที่โดฮา รวมถึงเข้าสู่ระบบกองทัพและรัฐบาลของประเทศด้วย” ในเมื่อเป็นแบบนี้ นั่นก็เป็นการทำลายความเป็นไปได้ในการเลื่อนขั้นขึ้นตำแหน่งสูงของหลิงหลานทั้งหมดเลย เขาไม่อยากเห็นหลิงหลานที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ในหลายปีข้างหน้ากลับมาล้างแค้นพวกเขาอีก
หลานลั่วเฟิ่งได้ยินคำกล่าวนี้ ในใจก็ยิ่งรู้สึกแค้นสุดขีด เธอเพิ่งจะรู้สึกใจอ่อนอยากเหลือทางถอยให้กับพวกเขา แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะโหดเหี้ยมจนถึงขั้นไม่ให้โอกาสเธอสักนิดเดียว ถ้าหากหลิงหลานเป็นเด็กผู้ชายจริงๆ ละก็ วิธีการของตระกูลหลิงเป็นการทำลายอนาคตของเขาโดยสิ้นเชิง ทำให้เขากลายเป็นคนธรรมดาสามัญ เวลานี้ความรู้สึกสงสารที่มีอยู่แต่แรกเริ่มเปลี่ยนมาเป็นแข็งกร้าว เธอเอ่ยด้วยสายตาเย็นเยียบว่า “ได้! เอาตามที่พวกคุณต้องการเลย”
หลานลั่วเฟิ่งให้คนจัดเตรียมอุปกรณ์ตรวจวัด หลิงซู่เหรินกลับห้ามไว้ เขาเอ่ยกับตัวแทนของฝ่ายกองทัพว่า “ฝ่ายกองทัพมาครั้งนี้น่าจะเอาอุปกรณ์ตรวจวัดมาด้วยใช่ไหม คราวนี้ต้องรบกวนพวกคุณแล้ว”
หลานลั่วเฟิ่งไม่ได้ขัดขวาง เดิมทีเธอก็ไม่มีความคิดนี้อยู่แล้ว หรือต่อให้มีก็ไม่โง่เง่าพอที่จะเล่นตุกติกต่อหน้าตัวแทนของฝ่ายกองทัพหรอก
ฝ่ายกองทัพได้ยินคำขอของหลิงซู่เหรินก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงอย่างไรพวกเขาก็คาดหวังว่าจะได้รับข้อมูลที่ครอบคลุมแม่นยำ และว่าตามระดับความแม่นยำแล้ว อุปกรณ์ที่ประชาชนใช้จะสู้ของที่กองทัพใช้ได้ที่ไหนกัน
อุปกรณ์ตรวจวัดชิ้นเล็กที่ดูทันสมัยถูกทหารของกองทัพยกเข้ามาอย่างรวดเร็ว
และในเวลานี้เอง หลิงหลานที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของหลานลั่วเฟิ่งก็กำลังหารือกับเสี่ยวซื่ออย่างเร่งด่วน
“เพศของฉันจะถูกพวกเขาตรวจสอบพบหรือเปล่า แล้วยังมีตัวตนของนายอีก?” หลิงหลานร้อนใจอยู่บ้าง ถ้าหากถูกพบขึ้นมา เธอกับแม่ก็จะต้องไปจากที่นี่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าโลกภายนอกเป็นแบบไหน แต่ฟังจากคำพูดของหลิงซู่เหรินกับหลานลั่วเฟิ่งแล้ว ก็รู้ว่ามันเทียบกับตอนนี้ไม่ได้แน่นอน
หลิงหลานไม่ได้กลัวความยากลำบาก แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความดีความชอบที่บิดาของเธอได้รับมา ทำไมลูกของเขาไม่สามารถสืบทอดได้ แต่กลับให้เด็กที่ไม่รู้ออกมาจากมุมไหนเอาไปง่ายๆ ด้วย
ไม่ผิด หลิงหลานที่คุ้นชินกับความคิดเรื่องการสืบทอดของโลกเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนย่อมไม่มีทางเข้าใจความคิดแบบนี้แน่นอน ดังนั้นเธอจึงไม่คิดจะสละทิ้ง เธอจะเอาบำเหน็จความชอบของหลิงเซียวมาให้ได้
เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า “อุปกรณ์ที่ยังไม่ได้พัฒนาให้มีปัญญาประดิษฐ์จะเทียบฉันได้เหรอ วางใจได้เลย ต่อให้ตรวจสอบเพศได้ ฉันก็ทำให้เธอกลายเป็นผู้ชายได้ตามเดิม”
น้ำเสียงอวดดีของเสี่ยวซื่อให้หลินหลานใจกระตุก “เสี่ยวซื่อ นายแก้ไขผลการประเมินได้ใช่ไหม”
เสี่ยวซื่อที่เป็นเด็กซนผู้นี้ก็เอ่ยด้วยท่าทีซึนเดระ[1]ว่า “แน่นอนอยู่แล้ว! ตอนที่เธอตรวจวัดตอนแรกเกิดก็เป็นฉันที่ช่วยเธอปกปิดไว้นะ ไม่อย่างนั้นพลังจิตของเธอคงจะระเบิดอุปกรณ์เครื่องนั้นไปนานแล้ว”
ระเบิด? ทำไมหลิงหลานได้ยินคำนี้แล้วก็รู้สึกไม่เป็นมงคลสุดๆ เลย หลิงหลานยังไม่ทันได้คิดให้แจ่มแจ้งก็ได้ยินตัวแทนของหน่วยกองทัพเอ่ยถามว่า “ไม่ทราบว่าใครจะมาก่อน”
หลานลั่วเฟิ่งกระชับหลิงหลานที่อยู่ในมือแน่นและเอ่ยด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ให้เด็กที่ตระกูลหลิงเลือกมาทดสอบก่อนเถอะ”
หลิงซู่เหรินคิดว่าหลานลั่วเฟิ่งยังไม่ยอมแพ้ ดังนั้นเลยคิดจะยืดเวลาออกไป เขาเองก็ไม่คิดจะเสียเวลาพูดจากับหลานลั่วเฟิ่งให้มากความ เขาพยักหน้าและให้สัญญาณกับผู้หญิงที่อยู่ข้างกาย ให้เธอวางเด็กในอ้อมกอดเข้าไปในอุปกรณ์ตรวจวัด
ไม่นานผลการประเมินของเด็กก็ออกมา
คุณสมบัติร่างกาย: ระดับ S!
พลังจิต: ระดับหนึ่ง!
ศักยภาพ: ระดับ A+!
การประเมินโดยรวม: ดีเลิศ แนะนำให้เน้นการอบรมสั่งสอน
ข้อมูลที่ออกมานี้ทำให้สีหน้าของตัวแทนฝ่ายกองทัพดูระมัดระวังขึ้นมา ถ้าเป็นเด็กคนนี้ก็ควรค่าให้ทางกองทัพทุ่มเทอบรมสั่งสอน ถึงอย่างไรเด็กที่มีศักยภาพ A+ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าความหวังจะเลือนราง แต่มีความหวังก็ดีกว่าไม่มีความหวังมาก
หลิงซู่เหรินพอใจกับสีหน้าของตัวแทนฝ่ายกองทัพ เขารู้ว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่ทางกองทัพไม่มีทางปฏิเสธได้ อย่างไรก็ตามคนที่หลักแหลมเฉียบขาดอย่างเขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีใจ เขาทำหน้านิ่งเฉยและกล่าวกับหลานลั่วเฟิ่งว่า “หลานสะใภ้ ตอนนี้อยากจะคืนคำก็ยังทันนะ ขอเพียงเธอยอมทิ้งการสืบทอด ตระกูลหลิงของเราก็รับปากว่าจะพยายามดูแลหลิงหลานให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างสุดความสามารถ”
ทุ่มเทความคิดแย่งชิงของของคนอื่นและยังจะแสร้งทำตัวเป็นคนดีอีกเหรอ ฝันไปเถอะ!
หลานลั่วเฟิ่งเอ่ยเยาะหยันว่า “ไม่จำเป็นหรอกค่ะ ฉันแค่หวังว่าพวกคุณจะออกไปจากโดฮาเร็วหน่อยเท่านั้น”
เธอกล่าวจบก็เดินไปที่อุปกรณ์ตรวจวัดและวางหลิงหลานเข้าไปข้างในด้วยความระมัดระวัง
เวลานี้หลิงหลานกับเสี่ยวซื่อได้ปรึกษากันดีแล้วว่าจะคงข้อมูลตอนแรกไว้ เดิมทีเสี่ยวซื่อยังคิดว่าข้อมูลของอีกฝ่ายจะดีกว่าของหลิงหลาน ก็เลยสับสนอยู่ว่าจะแอบอัปเกรดข้อมูลของหลิงหลานอย่างไรดี ตอนนี้พอเห็นผลการประเมินนี้แล้ว เสี่ยวซื่อก็ใจเย็นลงมากๆ
ด้วยเหตุนี้เอง ข้อมูลของหลิงหลานที่เดิมทีถูกปิดผนึกไว้ก็ถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน
คุณสมบัติร่างกาย: ระดับ S!
พลังจิต: ระดับสอง!
ศักยภาพ: ระดับ S!
การประเมินโดยรวม: ดีเลิศ แนะนำให้ทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่ออบรมสั่งสอน
เสี่ยวซื่อยังคงแอบเล่นตุกติก เปลี่ยนจากแนะนำให้เน้นการอบรมสั่งสอนให้กลายเป็นทุ่มเทกำลังทั้งหมดเพื่ออบรมสั่งสอน เสี่ยวซื่อภาคภูมิใจมาก นี่ต้องดีกว่าไอ้เด็กคนนั้นมากๆ อยู่แล้ว
อันที่จริงต่อให้เสี่ยวซื่อไม่เปลี่ยนก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลสรุปได้ เมื่อผลการประเมินนี้ปรากฏออกมา ฝ่ายกองทัพและรัฐบาลก็ตัดสินใจได้ทันทีว่าจะให้หลิงหลานสืบทอดบำเหน็จความชอบของหลิงเซียว
สาเหตุที่ฝ่ายกองทัพและรัฐบาลตัดสินอย่างเด็ดขาดแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะพวกเขาเห็นผลการประเมินศักยภาพ ถึงแม้ว่าข้ออื่นๆ ก็สำคัญ แต่ความจริงแล้วมันสามารถเพิ่มเติมในภายภาคหน้าได้ แต่ศักยภาพก็คือพรสวรรค์ นี่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปได้ในพัฒนาในอนาคตของเด็ก ถึงแม้ว่าระดับ A+ กับระดับ S จะดูเหมือนห่างกันนิดเดียว แต่ความจริงแล้วระยะห่างความแตกต่างใหญ่มากๆ ในช่วงหลัง ความเป็นไปได้ที่ระดับ S จะกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นยนต์ขั้นเทวะได้สำเร็จมีมากกว่าระดับ A+ ห้าถึงสิบเปอร์เซ็นต์อย่างชัดเจน
แค่เรื่องนี้ก็ควรค่าให้ฝ่ายกองทัพทุ่มเทกำลังทั้งหมดในการอบรมสั่งสอนแล้ว
หลานลั่วเฟิ่งโล่งอกในที่สุด ถึงแม้ว่าเธอจะเชื่อมั่นในตัวหลิงหลาน แต่ผลสุดท้ายยังไม่ได้ประกาศ เธอก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง
เวลานี้หลิงซู่เหรินจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาตกอยู่ในแผนการของหลานลั่วเฟิ่งแล้ว สีหน้าของเขาแดงก่ำอยากจะฟันหลานลั่วเฟิ่งออกเป็นแปดส่วนใจจะขาด ในทางตรงกันข้าม หลานลั่วเฟิ่งกลับไม่เกรงกลัวเลย ตัวแทนของกองทัพและรัฐบาลยังอยู่ที่นี่ ตระกูลหลิงไม่มีทางกล้าลงมือ
หลานลั่วเฟิ่งเอ่ยด้วยความเย็นชาว่า “หลิงซู่เหริน ฉันไม่ไปส่งนะคะ!” ในเมื่อหลุดพ้นจากตระกูลหลิงแล้ว หลานลั่วเฟิ่งก็ฉีกหน้าพวกเขา และไม่คิดจะทำให้ตัวเองรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอีกต่อไป
“เหอะ พวกเราไป!” หลิงซู่เหรินเห็นแขกมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเย้ยหยันก็รู้แล้วว่าอยู่ต่อไปก็ไม่มีความหมาย จึงได้แต่พาคนจากไปเท่านั้น
……………………………………..
[1] ซึนเดระ ท่าทีภายนอกดูไม่เป็นมิตร ดูเย็นชา หรือว่าฉุนเฉียวง่าย แต่ว่าลึกๆ แล้วมีความอ่อนไหวและอ่อนหวาน