ดาวโดฮา ยามบ่ายของวันนี้ ภายในห้องผู้บัญชาการของกองบัญชาการพลาธิการกองพลสหพันธรัฐที่หนึ่ง ทหารหนุ่มผู้หนึ่งกำลังรายงานเรื่องเร่งด่วนที่ส่งมาในวันนี้ให้กับผู้บัญชาการของกองบัญชาการพลาธิการ
“ท่านผู้บัญชาการครับ ยืนยันแล้วว่ารายงานของหมอมู่ไม่มีปัญหาอะไร ผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาหกนายที่ตามคุ้มกันไปด้วยก็รายงานไม่แตกต่างกันครับ” ทหารหนุ่มพลิกข้อมูลที่อยู่ในมือและยืนตัวตรงรายงานด้วยความเคารพให้กับหัวหน้างานที่กำลังนั่งอยู่
คนที่นั่งพลิกข้อมูลอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานคือนายพลวัยกลางคนที่ดูกระฉับกระเฉง เขาฟังไปพลางพยักหน้าไปพลาง สุดท้ายถึงค่อยเอ่ยถามว่า “มีคนที่รู้เรื่องนี้เยอะหรือเปล่า”
นายทหารหนุ่มอึ้งไปราวกับไม่คาดคิดว่าหัวหน้าของตนจะถามคำถามนี้ อย่างไรก็ตามเขาก็ตอบอย่างรวดเร็วว่า “ผู้บัญชาการครับ ผมเป็นคนรับผิดชอบตรวจสอบเรื่องนี้โดยตรง นอกจากผมกับผู้ช่วยของผม รวมถึงพวกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว ก็ไม่มีคนอื่นในกองทัพรู้รายละเอียดครับ”
“ถ้างั้นก็ดี นายกำหนดข้อมูลผู้สืบทอดของพลตรีหลิงเซียวให้เป็นระดับ S+ ไม่ให้ทหารที่ไม่ได้อยู่ในระดับพลโทขึ้นไปตรวจสอบได้ แล้วอีกอย่าง ออกคำสั่งปิดปากทุกคนที่รู้เรื่องนี้ ส่วนเรื่องการติดตามผู้สืบทอดคนนั้นก็ให้คนพวกนี้รับหน้าที่ไป”
“ครับ! ท่านผู้บัญชาการ” นายทหารหนุ่มรับคำสั่งแล้วก็ออกจากห้องผู้บัญชาการ
เมื่อห้องผู้บัญชาการว่างเปล่าไร้ผู้คน นายพลวัยกลางคนถึงค่อยถอนหายใจเบาๆ และเอ่ยว่า “หลิงเซียว ฉันทำเพื่อลูกของนายได้แค่นี้ หวังว่าเขาจะไม่ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ ที่มักใหญ่ใฝ่สูงในกองทัพนะ”
…………
หลิงหลานโชคดีมาก เธอไม่รู้เลยว่าเนื่องจากมีการคุ้มครองอย่างระมัดระวังของใครบางคน ทำให้เธอรอดพ้นจากการถูกกองทัพควบคุมและกลายเป็นเครื่องจักรต่อสู้โดยไม่ได้ตั้งใจ นี่ทำให้เธอได้รับช่วงเวลาที่ล้ำค่าในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่
อย่างไรก็ตาม เวลานี้หลิงหลานก็ไม่มีใจจะใคร่ครวญว่าคนของหน่วยกองทัพคิดจะปฏิบัติต่อเธออย่างไร ถึงแม้เธอจะกังวลว่าความผิดปกติในการดูดซับยาของเธอจะทำให้กองทัพสนใจในตัวเธอ แต่หลังจากผ่านไปสิบกว่าวันก็พบว่าทุกอย่างสงบเป็นปกติ เธอก็โยนความคิดทิ้งไปและทำเรื่องที่ตัวเองควรทำต่อ
เดิมทีเธอก็เป็นหญิงสาวที่มองโลกในแง่ดี ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่สามารถอดทนต่อความทรมานผิดมนุษย์มนามายี่สิบสี่ปีโดยที่ยังมีสติในชาติที่แล้วได้หรอก
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้หลิงหลานปล่อยวางปัญหาเรื่องกองทัพโดยสิ้นเชิงก็เป็นเพราะว่า จิตใจของเธอในตอนนี้ถูกข่าวดีบางอย่างยึดครองไว้
เช้าตรู่วันนี้ เสี่ยวซื่อบอกเธอด้วยความตื่นเต้นและเอาใจใส่ว่า เธอมีคุณสมบัติเข้าไปเรียนรู้ในมิติแห่งจิตได้แล้ว
ห้องโถงขนาดใหญ่โตที่อยู่ภายในมิติแห่งจิตของเสี่ยวซื่อกลายเป็นจุดทางเข้าของหลิงหลาน รอบด้านต่างก็เป็นห้องที่ปิดสนิท หลิงหลานเคยลองเข้าไปเปิด แต่น่าเสียดายที่ประตูทุกบานต่างปิดเอาไว้อย่างแน่นหนามาก หลิงหลานพยายามคิดหาทางอย่างไรก็เปิดไม่ออก
หลังจากที่เสี่ยวซื่อมองดูด้วยความขบขันมากพอแล้วก็ค่อยบอกเธอว่า ถ้าหากยังไม่ถึงเงื่อนไขในการเรียนรู้ ประตูพวกนี้จะเปิดไม่ออก ส่วนเงื่อนไขคืออะไรนั้น เสี่ยวซื่อปิดปากสนิทมาก ไม่หลุดข้อมูลให้เธอสักนิดเดียว
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานยังคงคาดเดาได้รางๆ ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เงื่อนไขจะเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติร่างกายของเธอ เพราะว่าเสี่ยวซื่อเตือนให้เธอหมั่นฝึกฝน พยายามกำจัดภัยที่แฝงเร้นอยู่ในร่างกายให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้อยู่หลายครั้ง
หลิงหลานที่รู้ว่าไม่มีความโชคดีโดยบังเอิญก็สะกดกลั้นความสงสัยอย่างรุนแรงของตัวเองไว้ เธอฝึกฝนเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายที่ได้เรียนรู้ในชาติที่แล้วอย่างว่านอนสอนง่าย พยายามกำจัดภัยแฝงเร้นให้เร็วที่สุด หลังจากที่บรรลุถึงเงื่อนไขการเรียนรู้แล้วก็จะได้ศึกษาให้ดีว่าสุดท้ายสามารถเรียนรู้อะไรในมิติการเรียนรู้ของเสี่ยวซื่อได้
ความจริงแล้วจุดสำคัญที่เป็นสาเหตุที่ทำให้หลิงหลานเร่งรีบขนาดนี้ก็คือเธอเบื่อแล้ว ทุกวันถ้าเธอไม่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กินอยู่บนเตียง เธอก็เล่นกับตัวเอง วันเวลาที่เป็นกาฝากแบบนี้ยากจะทานทนได้มากเกินไปแล้ว ควรรู้ไว้ว่าถึงแม้ชาติที่แล้ว เธอทำได้แค่นอนอยู่บนเตียงขยับเขยื้อนตัวไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดเธอก็ยังสามารถท่องไปในอินเทอร์เน็ตรู้เรื่องเหตุการณ์บ้านเมือง หรืออ่านนิยายฆ่าเวลา…
แน่นอนว่ายังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หลิงหลานรู้สึกรันทดใจขนาดนี้ นั่นก็คือเนื่องจากมารดาของเธอกลัวว่าความลับของเธอจะรั่วไหล ดังนั้นก็เลยไม่พาเธอออกไปเดินเล่น หรือว่ามีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมอะไรเลย ว่าแล้วก็น่าสงสาร หลิงหลานมาที่โลกนี้เกือบจะเจ็ดเดือนแล้ว ทว่าเธอได้แต่เดินเล่นอยู่ในห้อง ห้องโถง และระเบียงสามที่เท่านั้น เธอไม่มีโอกาสออกไปข้างนอกดูว่าสุดท้ายโลกใบนี้กลายเป็นแบบไหนไปแล้ว
ในตอนที่หลิงหลานคิดว่าตัวเองอึดอัดแทบบ้า เสี่ยวซื่อก็บอกข่าวดีนี้ทำให้เธอดีใจจนคลั่ง
ดังนั้นวันนี้หลิงหลานเลยทำตัวดีมาก เมื่อทานนมเสร็จแล้วก็ไม่ได้รบเร้าให้มารดาอุ้มเธออกไปเดินเล่นสักรอบ และเข้าสู่ห้วงความฝันอย่างรวดเร็ว (อันที่จริงคือเข้าไปในมิติแห่งจิตของเสี่ยวซื่อ)
หลิงหลานเข้าไปที่มิติแห่งจิตอีกครั้งและก็พบว่ามิติดูเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยเมื่อเทียบกับตอนที่มาครั้งก่อน ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ นี้ทำให้หลิงหลานตื่นเต้นยินดีอย่างยิ่ง
ในหมู่ประตูที่เดิมทีปิดสนิทอึมครึมนั้น มีประตูบานหนึ่งส่องแสงสีแดงแยงตา และบนหน้าประตูก็ปรากฏตัวอักษรจีนขนาดใหญ่สองตัวว่า ทักษะการต่อสู้มือเปล่า!
เสี่ยวซื่ออธิบายอยู่ด้านข้างว่า “ฉันอัปเดตระบบภาษาให้แล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ภาษาที่ปรากฏขึ้นจะเป็นภาษาและตัวอักษรของที่นี่ มันจะได้ไม่สร้างความลำบากในการทำความเข้าใจของเธอ”
ในใจหลิงหลานรู้สึกยินดี เธอคว้าเสี่ยวซื่อและหอมแก้มของเขาฟอดใหญ่เพื่อแสดงความขอบคุณ
เสี่ยวซื่อหน้าแดงขึ้นทันใด ปากก็เอ่ยด้วยความแง่งอนว่า “อย่าพยายามใช้กระสุนเคลือบน้ำตาล[1]มาซื้อฉันนะ ฉันคือเสี่ยวซื่อที่มีจุดยืนมั่นคงมาก บรรทัดฐานของฉันจะไม่มีวันสั่นคลอน…”
เสี่ยวซื่อเอ๋ย ตอนที่เธอเอ่ยคำพูดนี้มาก็อย่าบิดก้นได้หรือเปล่า มุมปากก็อย่ายกสูงขนาดนั้นด้วยสิ…มันไม่มีความจูงใจเลยสักนิดจริงๆ
แน่นอนว่าหลิงหลานไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของเสี่ยวซื่อ ความสนใจทั้งหมดของเธอจับจ้องไปที่ประตูทักษะการต่อสู้มือเปล่าบานนั้น เธอค่อยๆ เดินเข้าไปและผลักประตูแรงๆ จากนั้นประตูก็เปิดออก
หลิงหลานเดินเข้าไปโดยไม่ลังเล ประตูที่เดิมทีเปิดออกก็ปิดลงอย่างรุนแรงอีกครั้ง
หลิงหลานรู้สึกว่าเบื้องหน้ามืดสนิท สภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันแบบนี้ทำให้หลิงหลานสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ปากก็ตะโกนเสียงดังว่า “เสี่ยวซื่อ นายอยู่ที่ไหน”
พื้นที่มืดมิดเงียบงัน ไม่มีเสียงตอบรับของเสี่ยวซื่อดังขึ้น มันมืดสนิทและเงียบกริบ ฉากที่ดูประหลาดแห่งนี้ทำให้หัวใจของหลิงหลานเต้นตึกตักอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตามเธอยังคงยืนนิ่งไม่ขยับฝืนข่มกลั้นความหวั่นไหว และอดทนรอต่อไป เนื่องจากเธอเชื่อว่าเสี่ยวซื่อที่น่ารักเฉลียวฉลาดไม่มีทางทำร้ายเธอ
หลิงหลานไม่รู้ว่ารออยู่นานเท่าไรแล้ว บางทีการรอคอยอยู่ท่ามกลางความมืดที่เงียบสนิทอาจจะรู้สึกว่านานมาก อย่างไรก็ตาม ความมืดที่ปิดตายแบบนี้กลับทำให้หลิงหลานรู้สึกเหมือนตอนที่เป็นทารกในครรภ์ หัวใจที่เดิมทีเต้นกระหน่ำก็ค่อยๆ กลับคืนสู่ความปกติ เธอหลับตาลงและหวนนึกถึงความรู้สึกตอนที่อยู่ในร่างกายของมารดา ความรู้สึกสบายใจที่เงียบงันก็ตามมา ความว้าวุ่นในจิตใจค่อยๆ จากไป ทั่วทั้งร่างกายจมสู่ท่ามกลางความมึนงงกึ่งหลับกึ่งตื่น…
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จู่ๆ หลิงหลานก็สัมผัสได้ว่าโลกที่มืดมิดเปลี่ยนเป็นสว่าง แสงสว่างที่ปรากฏขึ้นกะทันหันทำให้หลิงหลานหรี่ดวงตาทั้งสองข้างลงน้อยๆ ทั่วทั้งร่างเธอค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาจากความสับสน
หลิงหลานรู้สึกว่าสายตาของตัวเองกลับคืนเป็นปกติและพบว่าเธอยืนอยู่บนลานที่กว้างโล่งแห่งหนึ่ง พื้นที่มีขนาดใหญ่ประมาณสนามฟุตบอล ไม่สิ มันดูใหญ่กว่า ความโหรงเหรงทำให้หลิงหลานรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กมาก
เวลานี้เองก็มีเสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนเครื่องจักรเล็กน้อยดังขึ้นมาอย่างเย็นเยียบที่ด้านหลังของหลิงหลาน “ผลการทดสอบทางด้านจิตใจอยู่ที่ระดับ SSS อนุญาตให้ทำการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มือเปล่าในระดับสูงสุด”
แท้จริงแล้ว ตั้งแต่เริ่มแรกนี้ก็คือการทดสอบอย่างหนึ่งที่จะประเมินการกระทำของหลิงหลานในช่วงเวลานี้ ถ้าการกระทำของหลิงหลานแย่มากเกินไป ระบบก็จะขับไล่เธออกไปและรอโอกาสครั้งหน้า ถ้าหากการกระทำของเธอเหมาะสม ก็จะเลือกระดับทักษะการต่อสู้มือเปล่าที่ให้ผู้เข้าทดสอบได้ร่ำเรียนตามคะแนนสูงต่ำ
แน่นอนว่าสุดท้ายต่อให้การกระทำของหลิงหลานแย่มาก ระบบก็ยังเปิดให้เธอเรียนรู้ทักษะการต่อสู้มือเปล่าระดับต่ำที่สุดอยู่ดี เพียงแต่ช่วงเวลานี้จะถูกเลื่อนออกไปนานมาก จำเป็นต้องทราบว่ายิ่งเรียนรู้เร็วก็จะยิ่งมีประโยชน์ต่อการเติบโตของผู้ทำสัญญา นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมระบบดาวแมนโดราถึงเลือกให้ทารกที่เพิ่งเกิดใหม่ผูกมัดอยู่กับอุปกรณ์การเรียนรู้
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายความสำเร็จที่เด็กจะได้รับก็ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของร่างกายตัวเองด้วยเหมือนกัน ขอเพียงอัจฉริยะที่แสดงผลงานได้อย่างดีเลิศตั้งใจฝึกฝนตามหลักสูตรที่ระบบให้มาจนสำเร็จ เขาก็จะยิ่งยอดเยี่ยมมากขึ้น ส่วนคนที่มีพรสวรรค์ธรรมดาก็ได้แต่ตามหลังต่อไปเท่านั้น…ถ้าเรียนรู้ช้าเกินไป ถึงจะไล่ตามความแตกต่างของระดับยังไงก็ไล่ไม่ทัน
ต้องบอกว่าประสบการณ์ในช่วงเวลาสองชีวิตของหลิงหลานทำให้เธอได้รับข้อได้เปรียบมาก เธอถูกระบบประเมินว่าเป็นระดับ SSS ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในการทดสอบทางจิตใจครั้งแรก แต่พวกเราก็ต้องร้องไห้ด้วยความสงสารให้กับหลิงหลานเช่นกัน พอเห็นคำว่าทักษะการต่อสู้มือเปล่าระดับสูงสุดก็รู้ความหมายแฝงแล้วว่า มันไม่ใช่ของเรียนรู้ได้ง่ายดายขนาดนั้น…มองเห็นชีวิตอันน่าสงสารของหลิงหลานในอนาคตที่ถูกระบบเคี่ยวกรำได้อย่างชัดเจน
เสียงที่โผล่ขึ้นมากะทันหันนี้ทำให้หลิงหลานหันหน้าไปฉับพลัน เธอมองเห็นนายทหารที่สวมชุดเครื่องแบบคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นขณะจ้องมองเธอด้วยความเย็นชา
อย่าถามว่าทำไมหลิงหลานถึงรู้ว่านั่นเป็นทหาร นี่เป็นลางสังหรณ์ หลิงหลานรู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายเหมือนกับดาบแหลมคมที่ชักออกจากฝัก แค่สายตาเพียงอย่างเดียวก็ทำให้เธอหายใจลำบาก
……………………………………..
[1] กระสุนเคลือบน้ำตาล หมายถึงใช้วิธีการโจมตีโดยเสแสร้งทำให้อีกฝ่ายรู้สึกดีเพื่อทำให้อีกฝ่ายยอมรับด้วยความเต็มใจ