เวลาหนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลิงหลานกำลังจะอายุหกขวบแล้ว หลิงหลานที่ก่อนหน้านี้รังเกียจมาตลอดว่าเวลาผ่านไปช้ามาก เวลานี้เธอเริ่มบ่นแล้วว่าเวลาเดินเร็วมากเกินไปแล้ว
ตั้งแต่ที่หลิงหลานเริ่มฝึกฝนทักษะการต่อสู้มือเปล่าที่สืบทอดกันมาในตระกูลอย่างเป็นทางการเมื่อตอนอายุห้าขวบ เธอก็เริ่มฝึกฝนเก้าท่าหลอมร่างอย่างบ้าบิ่น หนึ่งปีมานี้สิ่งที่เธอได้รับจากการฝึกฝนยังมากกว่าช่วงเวลาสามปีครึ่งที่ผ่านมา ต้องรู้ว่าเธอทำสี่ท่าสำเร็จด้วยความยากลำบากก่อนอายุห้าขวบ แต่ว่าหนึ่งปีมานี้เธอฝึกสามท่าต่อมาได้สำเร็จ ควรทราบว่าเก้าท่าหลอมร่างยิ่งท่าด้านหลังก็ยิ่งฝึกยากขึ้น เวลาที่ใช้ก็ยิ่งมากขึ้น
น่าเสียดายที่หลิงหลานไม่ได้ผ่อนคลายเพราะเหตุนี้ ตรงกันข้ามแรงกดดันยิ่งหนักหน่วงขึ้น เนื่องจากระยะเวลาในการเรียนรู้เก้าท่าหลอมร่างที่มิติการเรียนรู้กำหนดไว้เหลือแค่ครึ่งปีเท่านั้น เมื่อเห็นเส้นตายกำลังจะมาถึง แม้กระทั่งท่าทีแปดเธอก็ยังฝึกไม่สำเร็จ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงท่าที่เก้าที่มีระดับความยากสูงสุดเลย
ดังนั้นเธอเลยแทบอยากจะใช้เวลาทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ แม้กระทั่งตอนทานข้าวก็ใช้ท่วงท่าต่อสู้ ยัดอาหารด้วยความเร็วราวกับสายลมหอบหนึ่ง ทำเอาหลานลั่วเฟิ่งจะเป็นบ้าและร้องไห้คร่ำครวญกับรูปภาพบิดาของหลิงหลาน คิดว่าตัวเองผิดต่อสามีมากเกินไป ลูกถูกเธออบรมสั่งสอนจนบิดเบี้ยวไปแล้ว ไม่มีสิ่งที่เรียกกว่ากิริยาท่าทางของคนในตระกูลใหญ่เลยสักนิดเดียว
ทว่าต่อให้เป็นแบบนี้ ช่วงเวลาเส้นตายยังคงมาตรงเวลา ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะฝึกท่าที่แปดสำเร็จแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ฝึกท่าที่เก้าไม่สำเร็จสักที
หลิงหลานไม่อยากเผชิญหน้ากับอาจารย์หมายเลขหนึ่งจริงๆ น่าเสียดายที่มิติการเรียนรู้ไม่อนุญาตให้หลิงหลานหลบหนี เมื่อเวลานับถอยหลังถึงศูนย์ สติของหลิงหลานก็ถูกมิติการเรียนรู้ลากเข้าไป
เธอมาถึงมิติการเรียนรู้ทักษะทางกายภาพอีกครั้ง เมื่อเข้ามาก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศคล้ายกับเย็นยะเยือกมากกว่าแต่ก่อน และหมายเลขหนึ่งก็ยืนตัวตรงอยู่ด้านในเหมือนกับรอคอยมาเนิ่นนาน
หลิงหลานลูบแขนบรรเทาอาการขนลุกบนตัว เมื่อหลิงหลานเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ทั่วทั้งร่างแผ่ไอเย็นแบบนี้ เธอก็ไม่สามารถรักษาความสงบนิ่งไว้ได้เลย
เวลานี้ไอยะเยือกบนตัวหมายเลขหนึ่งหนาวเหน็บมากกว่าตอนที่เจอหน้ากันเมื่อสองครั้งก่อน ถึงแม้ว่าดวงตาทั้งสองข้างของเขายังคงนิ่งเรียบเหมือนเก่า มองไม่เห็นอารมณ์ความรู้สึกเลยแม้แต่น้อย แต่หลิงหลานยังคงรับรู้อาการไม่พอใจสุดขีดของหมายเลขหนึ่งได้อย่างแม่นยำ
สวรรค์ หมายเลขหนึ่งต้องไม่พอใจกับการกระทำของเธอในครั้งนี้แน่นอน สัมผัสที่หกของหลิงหลานแข็งแกร่งมาก เธอรีบทำท่าจริงจังและเอ่ยด้วยความอ่อนน้อมว่า “อาจารย์หมายเลขหนึ่ง ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้คุณผิดหวัง”
หมายเลขหนึ่งกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไม่เป็นไร พวกเราแค่รับหน้าที่ชี้แนะเท่านั้น จะเห็นคุณค่าหรือไม่ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของเธอเอง ไม่เกี่ยวกับพวกฉัน คำขอโทษนี้ เธอบอกผิดคนแล้ว”
ถึงแม้หมายเลขหนึ่งจะพูดด้วยท่าทีบ่งบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับฉัน แต่หลิงหลานยังคงสัมผัสได้ถึงความไม่พอใจอย่างแรงกล้าในคำพูดเขา
หลิงหลานน้ำตาร่วงแล้ว อาจารย์หมายเลขหนึ่งคะ คุณหมายความว่ายังไง อยากล้อเล่นยังไงกันแน่
ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะแขวะในใจ แต่ใบหน้าก็ไม่กล้าแสดงความไม่เคารพออกมาสักนิด และก็ไม่กล้าแก้ตัวอะไร เธอได้แต่ก้มศีรษะลงเท่านั้น
ว่ากันตามจริง หลิงหลานยังคงใจฝ่อ สามปีก่อนหน้านี้ เธอเสียเวลาไปมากมายโดยไม่ได้ฝึกฝนให้ดีจริงๆ แน่นอนว่าสาเหตุส่วนใหญ่คือพะว้าพะวงกับคนของตระกูลหลิงที่คอยเฝ้าดูแลเธออย่างไม่ขาดสาย ด้วยความที่เธอระมัดระวังตัวก็เลยได้แต่คว้าเวลาฝึกฝนในช่วงที่มารดาของเธอนอนหลับเท่านั้น ทุกวันฝึกได้มากสุดห้าถึงหกชั่วโมง ฉุดรั้งความก้าวหน้าในการเรียนของเธอให้ตกต่ำลงไปมาก ถึงแม้ว่าภายหลังจะได้รับอิสระเนื่องจากฝึกฝนทักษะทางกายภาพที่สืบทอดกันมาของตระกูลหลิง แต่ว่ามันก็ชดเชยเวลาที่เสียไปพวกนั้นให้กลับคืนมาไม่ได้แล้ว
“ฝึกฝนเก้าท่าหลอมร่างสำเร็จแปดท่าแรก ท่าทีเก้ามีความคืบหน้าอยู่ที่หกสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ภารกิจล้มเหลว บทลงโทษที่กำหนด: หนึ่ง หักคะแนนเกียรติยศสองร้อยแต้ม ถ้าหากคะแนนเกียรติยศไม่เพียงพอสามารถเลือกตัวเลือกอื่นได้ สอง บทลงโทษทางกาย ช็อตไฟฟ้าสองร้อยครั้ง! สาม ใช้คะแนนเกียรติยศแลกการเลื่อนเวลาที่กำหนด หากทำภารกิจไม่สำเร็จ บทลงโทษจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว โปรดทำการเลือก!”
ระบบของมิติการเรียนรู้ประกาศตัวเลือกบทลงโทษของหลิงหลานอย่างไร้อารมณ์ นี่ทำให้หลิงหลานทั้งตกใจทั้งยินดี เรื่องที่ตกใจคือ ระบบโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ไม่เพียงแต่จะหักคะแนนเกียรติยศ มันยังมีบทลงโทษทางกายอีก ถ้าไม่ถึงช่วงเวลาสุดท้าย เธอก็ไม่คิดจะเลือกหรอก คะแนนเกียรติยศก็ล้ำค่ามากเกินไป เธอทิ้งไม่ลง แต่บทลงโทษทางกาย…แค่กๆ เธอไม่มีนิสัยชอบทำร้ายตัวเองนะ
เรื่องที่ดีใจก็คือ ระบบยังให้โอกาสชดเชย เพียงแต่ว่าหลิงหลานเห็นคำว่าบทลงโทษเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวที่ด้านหลัง หัวใจดวงน้อยๆ ก็เต้นกระหน่ำไม่หยุด ไอเย็นสายหนึ่งแผ่ขยายจากกระดูกสันหลังจนไปถึงยอดศีรษะ
เวลานี้เอง เสียงเย็นเยียบของหมายเลขหนึ่งก็ดังขึ้น “พูดมา เธอจะเลือกข้อไหน”
หลิงหลานเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “อาจารย์หมายเลขหนึ่งคะ ช่วยอธิบายตัวเลือกที่สามให้ฉันหน่อยได้หรือเปล่า” ถ้าหากเสียคะแนนเกียรติยศไม่เยอะ หลิงหลานก็อยากลองดูมากๆ
หมายเลขหนึ่งปรายตามองเธอแวบหนึ่งและแค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “สามารถใช้คะแนนเกียรติยศสิบแต้มเพื่อแลกเวลาสามสิบวัน เธอสามารถฝึกฝนเก้าท่าหลอมร่างต่อไปในภายในสามสิบวัน ถ้าหากทำสำเร็จในเวลาที่กำหนด บทลงโทษก็จะถูกยกเลิก ถ้าหากทำไม่สำเร็จ บทลงโทษก็จะเพิ่มขึ้นเท่าตัว”
หลิงหลานดีอกดีใจ การสูญเสียคะแนนเกียรติยศสิบแต้มนี้เธอยังรับไหว เพียงแต่เธอต้องฝึกท่าที่เก้าซึ่งเป็นท่าสุดท้ายให้ได้ภายในสามสิบวัน เรื่องนี้ค่อนข้างยาก พูดตามตรง หลิงหลานไม่มั่นใจเลย เธอไม่แน่ใจว่าจะใช้เวลากี่วันถึงจะฝึกสำเร็จ บางทีอาจจะเป็นหนึ่งเดือน หรืออาจจะเป็นสองเดือนสามเดือน หรือว่าหนึ่งปีก็ยังทำไม่ได้ หลิงหลานยังจำคำพูดที่อาจารย์หมายเลขเก้าเคยบอกไว้ตอนที่สอนเธอฝึกฝนเก้าท่าหลอมร่าง การจะเชี่ยวชาญเข้าใจเก้าท่านี้อย่างทะลุปรุโปร่งจำเป็นต้องมีจังหวะและการตระหนักรับรู้ในระดับหนึ่ง ขาดไม่ได้สักอย่าง
ควรจะลองดูสักครั้งดีไหมนะ หลิงหลานลังเลมากๆ ทว่าสุดท้ายเธอก็ยังทิ้งคะแนนเกียรติยศที่ล้ำค่าพวกนั้นไม่ลง และก็ทำร้ายตัวเองอย่างโหดเหี้ยมไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงเลือกวิธีหักดิบเอาคะแนนเกียรติยศแลกกับเวลา
เมื่อหลิงหลานบอกตัวเลือกของเธอออกไป หลิงหลานก็สัมผัสได้ทันทีว่าบรรยากาศของมิติการเรียนรู้อบอุ่นขึ้นมานิดหน่อย ไม่ได้หนาวขนาดนั้นแล้ว หมายเลขหนึ่งช่วยเธอเลือกข้อสามโดยไม่ลังเล ก่อนจะเตะเธอออกจากมิติการเรียนรู้ทักษะการต่อสู้มือเปล่าโดยไม่รอให้หลิงหลานสอบถามเรื่องราว
หลิงหลานจำได้เพียงสายตาเย็นยะเยือกที่หมายเลขหนึ่งจ้องมองเธอในตอนท้ายสุดนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความคุกคาม เตือนเธออย่างชัดเจนว่าภารกิจครั้งนี้จะต้องทำให้สำเร็จ
เมื่อหลิงหลานกลับมาถึงมิติแห่งจิตแล้ว เธอไม่ทันได้ทักทายเสี่ยวซื่อที่อยู่ตรงนั้นก็พุ่งกลับไปฝึกฝนอย่างหนักด้วยความเร็วจี๋
ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่รู้ว่าสายตาที่เต็มไปด้วยความคุกคามในช่วงเวลาสุดท้ายของหมายเลขหนึ่งต้องการจะบอกอะไรกับเธอกันแน่ แต่ส่วนลึกของเธอรู้ดีว่า ถ้าหากฝึกฝนเก้าท่าหลอมร่างไม่สำเร็จละก็ เธอจะต้องตายอย่างน่าอนาถแน่นอน…
หลังจากนั้นในช่วงหนึ่งเดือนนี้หลิงหลานก็ฝึกฝนราวกับวัวเหลืองแก่[1] ทุกวันเธอฝึกฝนจนสุดท้ายเหลือเรี่ยวแรงแค่หายใจเท่านั้นถึงค่อยกล้าหยุดมือ หลิงหลานก็ฝึกฝนท่าที่เก้าสำเร็จภายใต้วิธีการที่โหดร้ายกับตัวเองสุดขีดเช่นนี้เอง
เมื่อหลิงหลานเข้าไปในมิติการเรียนรู้ทักษะการต่อสู้มือเปล่าก็เห็นว่าเวลาเส้นตายเหลืออยู่ไม่กี่สิบวินาที เธอหลั่งเหงื่อเย็นๆ ทันที ความจริงแล้วช่วงเวลาสุดท้ายเธอก็ไม่รู้ว่าจะสำเร็จทันเวลาหรือเปล่า เพียงแต่เธอโคจรกำลังภายในตามจิตใต้สำนึกและควบคุมให้ตัวเองฝึกฝนเก้าท่าหลอมร่างซ้ำไปซ้ำมา
บางทีอาจเป็นเพราะปล่อยมือจากหม้อแตก[2] ตอนที่หลิงหลานฝึกฝนจนท้ายที่สุดสติของเธอก็เลือนรางไปเล็กน้อย เธอรู้สึกได้แค่มีของบางอย่างที่ขวางกั้นในจิตใจถูกอะไรบางอย่างทุบแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างกายของเธอทำเก้าท่าหลอมร่างเองโดยไม่ได้ตั้งใจ ให้ร่างกายจดจำฝังลึกเก้าท่าหลอมร่างที่ฝึกฝนมาอย่างยากลำบากมากกว่าห้าปี
หลิงหลานจึงจัดการดาบแหลมคมที่แขวนอยู่เหนือหัวเธอเล่มนี้ได้เช่นนี้เอง ในที่สุดเธอก็กลับมาเริ่มต้นชีวิตแบบตัวเบาสบายไร้ภาระได้แล้ว
……………………………..
[1] วัวเหลืองแก่ เปรียบเหมือนคนที่ทำงานด้วยความมุมานะซื่อสัตย์
[2] ปล่อยมือจากหม้อแตก หมายถึงไม่มีทางเลือกแล้ว ได้แต่เผชิญหน้ายอมรับชะตากรรม