“คุณชายน้อย คุณเตรียมพร้อมดีแล้วหรือยังครับ” หลิงฉินที่ยืนอยู่หน้าห้องทดสอบพลังแสดงสีหน้าที่ดูเหมือนจะเคร่งเครียดกว่าหลิงหลานที่รอการสอบอยู่ด้านข้าง
หลิงหลานเบ้ปาก ตั้งแต่ที่คุณปู่พ่อบ้านคนนี้เข้ามาข้างในสถาบันลูกเสือ เขาก็สูญเสียความสงบนิ่งไปแล้ว ไม่เชื่อใจเธอขนาดนี้เลยเหรอ
เอ่อ…แน่นอนว่ามีของบางอย่างที่เธอไม่สามารถควบคุมได้ นี่จะโทษเธอก็ไม่ได้ ใครจะไปรู้ว่าการสอบด้านสติปัญญาจะเข้าใจยากขนาดนั้น…
เมื่อหลิงหลานนึกถึงความอัปยศอดสูของเธอ ทั่วทั้งใบหน้าก็เปลี่ยนเป็นดำมืด อย่างไรก็ตาม เธอจำเป็นต้องเอ่ยปากเพื่อปลอบใจคุณปู่พ่อบ้านที่รักเธอเข้ากระดูกว่า “ใจเย็นครับ คูณปู่ฉิน ฉันรับรองว่าจะต้องทำภารกิจให้สำเร็จได้แน่นอน”
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาให้ความสำคัญกับเธอเป็นห่วงเธอจริงๆ ละก็ คุณปู่ฉินจะสูญเสียความเยือกเย็นได้อย่างไร ควรรู้ไว้ว่าเขาเป็นยอดฝีมือด้านการต่อสู้นะ
หลิงฉินค่อยผ่อนคลายจิตใจลงและกล่าวต่อว่า “นี่ก็ดี นี่ก็ดีแล้ว”
เหตุผลที่หลิงหลานยืนอยู่ที่นี่เป็นเพราะว่า ในที่สุดหลิงหลานเด็กน้อยของพวกเราก็ถึงช่วงเวลาเข้าเรียนที่สถาบันลูกเสือแล้ว กฎหมายของสหพันธรัฐกำหนดไว้ว่าเด็กอายุหกขวบทุกคนจะต้องเข้าเรียนที่สถาบันลูกเสือของสหพันธรัฐ ได้รับการศึกษาภาคบังคับเป็นเวลาสิบปี
ดังนั้นต่อให้หลานลั่วเฟิ่งไม่ยินยอมอีกเพียงใด ก็จำเป็นต้องพาหลิงหลานมาที่สถาบันลูกเสือเพื่อทำการสอบเข้าโรงเรียน
การสอบเข้าโรงเรียนมีทั้งหมดสี่หัวข้อ แบ่งออกเป็นสติปัญญา พละกำลัง ความอดทน และความเร็ว
การสอบสติปัญญาหัวข้อแรกง่ายมาก มันง่ายจนทำให้คนนึกว่ามันไม่ใช่การสอบโดยสิ้นเชิง พวกเขาแต่ให้เด็กคุยกับคนทดสอบสามถึงห้านาที หลังจากนั้นคะแนนก็ออกมา
หลิงหลานได้แค่แปดสิบคะแนนในหัวข้อนี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางเด็กส่วนใหญ่ที่ได้รับคะแนนเก้าสิบขึ้นไป คะแนนนี้ช่างน่าขายหน้าจริงๆ นั่นแหละ แล้วทำให้เธอพูดไม่ออกมากๆ จนถึงตอนนี้เธอยังคิดไม่ออกว่า สติปัญญาของผู้ใหญ่ที่มีชีวิตอยู่มาสามสิบกว่าปีอย่างเธอ จะเทียบกับเด็กเมื่อวานซืนอายุหกขวบพวกนั้นไม่ได้อย่างไร นี่ยังมีกฎธรรมชาติอยู่หรือเปล่า ไม่รู้จริงๆ ว่าคนทดสอบพวกนี้เขาคิดคะแนนนี้ออกมาอย่างไร ไม่มีหลักเกณฑ์เลยสักนิดเดียว
ไม่ว่าหลิงหลานรู้สึกอึดอัดใจอีกแค่ไหน เธอก็จำต้องยอมรับผลคะแนนนี้อยู่ดี กฎระบุไว้ว่าถ้าอยากจะคัดค้านก็ต้องให้การสอบทั้งหมดเสร็จสิ้นลงก่อนถึงจะยื่นเรื่องได้
การสอบข้อที่สองคือพละกำลัง หลิงหลานตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าเธอจะต้องล้างอายให้ได้ เธอไม่เชื่อว่าจะสู้พวกเด็กเปรตเหล่านี้ไม่ได้ ในหัวข้ออีกหลายอันที่อยู่ถัดไป เห็นมิติการเรียนรู้ของเธอเป็นของเก๊หรือไง
ในที่สุดก็ขานถึงชื่อของหลิงหลาน ให้เธอเตรียมตัวเข้าไปสอบ หลิงฉินกดบ่าน้อยๆ ของหลิงหลานเบาๆ “ยังจำคำพูดที่คุณนายกล่าวกับคุณได้หรือเปล่าครับ จะให้คุณนายผิดหวังไม่ได้เด็ดขาดนะครับ!”
หลานลั่วเฟิ่งกำลังรอข่าวของพวกเขาอยู่ด้านนอก บางทีเธอกลัวว่าความกังวลสับสนวุ่นวายของเธอจะส่งผลต่อการแสดงความสามารถของหลิงหลาน ดังนั้นก็เลยเฝ้าอยู่ด้านนอกรอคอยผลลัพธ์สุดท้ายของการสอบ
หลิงหลานพยักหน้าอย่างน่ารักพลางกล่าวว่า “อื้อ หลิงหลานจะต้องทำให้ได้ คุณแม่โปรดวางใจเถอะครับ คุณปู่ฉินเองก็โปรดวางใจด้วยเหมือนกัน” ทำตัวแอ๊บแบ๊วเป็นเรื่องน่าอับอายมาก แต่ถ้าไม่แอ๊บแบ๊วก็ไม่มีทางปลอบพวกคนที่รักเอ็นดูเธอได้เลย หลิงหลานได้แต่ทำหน้าหนาเข้าไว้
หลิงหลานย่ำเท้าเข้าไปในห้องสอบท่ามกลางสายตาปลื้มอกปลื้มใจของหลิงฉิน
ในเขตพื้นที่ทดสอบพละกำลัง มีทหารสองคนที่สวมชุดเครื่องแบบกำลังนั่งอยู่ภายในห้องแห่งหนึ่ง ทหารคนหนึ่งกำลังพลิกอ่านผลคะแนนการสอบสติปัญญาของหลิงหลานรวมไปถึงคำวิจารณ์ของผู้คุมสอบที่รับหน้าที่ทดสอบด้วย เวลานี้แปดสิบคะแนนที่ดูไม่ได้มากๆ นี้ปรากฏขึ้นสู่สายตา ทำให้เขานิ่วหน้าโดยไม่ตั้งใจ แต่เมื่อเห็นคำวิจารณ์ของผู้คุมสอบที่อยู่ด้านล่างแล้ว เขาก็อดส่งเสียงร้องด้วยความประหลาดใจไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น” ทหารอีกคนเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เยือกเย็น ไม่มีความคิดก้าวกระโดด ขาดพื้นที่จินตนาการ…พวกเรารับหน้าที่ทดสอบเด็กมาเกือบสามปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นคำวิจารณ์แบบนี้มาก่อน”
ทหารอีกคนได้ยินคำวิจารณ์พวกนี้ก็กล่าวด้วยความไม่พอใจอย่างมาก “ฉันจะไม่พูดถึงคำพูดประโยคอื่นนะ แต่ว่าเยือกเย็นไม่ดีเหรอ ในสงครามมีแค่คนที่เยือกเย็นเท่านั้นถึงจะมีชีวิตรอดต่อไปได้ คะแนนนี้ไม่คิดออกมาเลยเถิดไปหน่อยเหรอ”
“คนที่รับหน้าที่ทดสอบสติปัญญาคือใคร พวกเขาจะให้เด็กที่ล้างสมองซื้อตัวยากแบบนี้เข้าไปในห้องเรียนพิเศษ สิ้นเปลืองทรัพยากรของพวกเขาได้ยังไง” ทหารที่อ่านคำวิจารณ์ได้ยินคำพูดก็เบะปาก เหมือนกับดูถูกผู้คุมสอบที่รับหน้าที่ทดสอบสติปัญญาพวกนั้นมาก
“เหอะๆ ก็จริง ในสมองของคนตระกูลใหญ่พวกนั้นต่างก็สนใจเพียงรับคนที่มีพรสวรรค์เพื่อผลประโยชน์ของตระกูล ลืมไปนานแล้วว่ายังมีผลประโยชน์ของสหพันธรัฐด้วย เพราะแบบนี้หน่ออ่อน[1] ที่ดีไม่น้อยเลยถูกสับไปอยู่ห้องเรียนทั่วไป ทำให้พวกเขาสูญเสียทรัพยากรในการบ่มเพาะที่ดีมากขึ้น และทำให้บุคลากรที่มีความสามารถโดดเด่นของสหพันธรัฐลดลงไปมาก” ทหารอีกนายกล่าวด้วยความทอดถอนใจ น่าเสียดายที่คนพวกนั้นมีอำนาจมีอิทธิพลควบคุมอำนาจส่วนใหญ่เอาไว้ ยกตัวอย่างเช่น การรับคนเข้าห้องเรียนของสถาบันลูกเสือก็ถูกพวกเขายึดอำนาจไปจนหมด ต่อให้อยากจะปกป้องคนที่มีควาสามารถโดดเด่นสักกี่คน ทหารธรรมดาทั่วไปอย่างพวกเขาไม่มีความสามารถเพียงพอ
“หวังว่าเด็กคนนี้จะแสดงความสามารถในหัวข้อต่อมาได้ดีขึ้นบ้างนะ ไม่อย่างนั้นเขาไม่มีความหวังในห้องสเปเชียลเอ แล้ว”
“ห้องเอ? เข้าห้องสเปเชียลบีได้ก็อมิตาภพุทธแล้ว น่ากลัวว่าเขาจะถูกส่งไปที่ห้องเรียนทั่วไปน่ะสิ” ทหารอีกคนไม่มองผลคะแนนสติปัญญาในแง่ดี คะแนนต่ำขนาดนี้ยังจะมีโอกาสเข้าไปห้องพิเศษได้อย่างไร
……..
“สวัสดีครับผู้คุมสอบทั้งสองท่าน หลิงหลานมาเข้าสอบแล้วครับ” หลิงหลานเข้ามาในห้องก็เห็นทหารสองนายกำลังพุดคุยอะไรบางอย่างเสียงเบา เธอเดินไปที่ตรงหน้าห่างจากพวกเขาประมาณสองเมตร ก่อนจะยืนตรงเอ่ยเตือนเสียงดัง
“มีมาดดี” ทหารหนึ่งในนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม พวกเขาเห็นเด็กที่ดูระมัดระวังจิตใจว้าวุ่นจนชินแล้ว ดังนั้นจู่ๆ พอมีเด็กที่กล้าหาญไม่เกรงกลัวอะไรโผล่มา พวกเขาจึงรู้สึกสนใจมาก
เดิมทีหลิงหลานก็เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง บวกกับทนรับรัศมีความน่ากลัวที่สามารถฆ่าคนได้ของอาจารย์หมายเลขหนึ่งมาก่อนแล้ว ทหารตัวเล็กๆ สองคนตรงหน้าที่แทบจะดูไม่มีอำนาจอะไร ทำให้เธอไม่รู้สึกถึงแรงกดดันอะไรเลยจริงๆ
ทหารอีกคนหัวเราะและชี้ไปที่บาร์เบลแถวหนึ่งที่อยู่ชิดมุมกำแพง “ยกบาร์เบลที่เธอสามารถยกขึ้นมาได้ อย่าฝืนมากเกินไป พวกเราแค่ทดสอบ ไม่ใช่การแข่งขัน”
หลิงหลานได้ยินแล้วก็ผงกศีรษะ เธอเดินไปที่ตรงหน้าบาร์เบลก่อนจะเห็นว่าด้านหน้าบาร์เบลแต่ละอันต่างมีป้ายซึ่งเขียนน้ำหนักของบาร์เบลเอาไว้ หลิงหลานเข้าใจร่างกายของตัวเองดี ควรรู้ไว้ว่าเธอฝึกฝนขั้นพื้นฐานของทักษะการต่อสู้มือเปล่าที่สืบทอดกันมาในตระกูลหลิงสำเร็จแล้ว ตอนนี้เธอเข้าสู่การฝึกฝนทักษะการต่อสู้ เธอย่อมเข้าใจพละกำลังของตัวเองดีว่าอยู่ตรงจุดไหน
หลิงหลานไม่ได้เลือกทันที หากแต่หันหน้ากลับไปถามว่า “บอกผมได้ไหมครับว่าคะแนนเต็มอยู่ที่น้ำหนักเท่าไร” คะแนนสติปัญญาต่ำแล้ว ทำให้หลิงหลานจำเป็นต้องไขว่คว้าคะแนนในสามหัวข้อหลังอย่างสุดชีวิต เนื่องจากเธอจำเป็นต้องเข้าห้องพิเศษให้ได้ นี่ก็คือภารกิจที่มารดามอบให้เธอ
ไม่ใช่ว่าหลานลั่วเฟิ่งหลงใหลในเกียรติยศนะ แต่ว่ามีแค่นักเรียนที่เข้าห้องพิเศษเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติเรียนหลักสูตรที่ตัวเองอยากเรียน เลือกอาจารย์ที่ตัวเองชอบ รวมถึงกลับไปอยู่ที่บ้านได้ ถ้าหากหลิงหลานต้องการรักษาความลับของตัวเองไว้ ก็มีแต่ทางเลือกนี้ทางเดียว
ทหารสองนายมองหน้ากันเอง เด็กคนนี้จองหองจริงๆ ควรทราบว่าขนาดพวกเขาในตอนนี้ยังไม่กล้าพูดว่าสามารถยกน้ำหนักได้ห้าร้อยจิน[2] เลย ไม่นึกเลยว่าเด็กคนนี้จะกล้าท้าทายหนึ่งร้อยคะแนน
“ห้าร้อยจิน!” ทหารหนึ่งในนั้นก็ตอบกลับมาในที่สุด
หลิงหลานเดินไปที่ด้านหน้าบาร์เบลห้าร้อยจินด้วยความสงบนิ่ง เธอใช้มือกุมมันก่อน สำหรับเธอแล้ว น้ำหนักห้าร้อยจินเกินกว่าผลคะแนนที่ดีที่สุดที่เธอเคยทดสอบมาก่อนหน้านี้เล็กน้อย ถ้าหากอาศัยการออกแรงหนักหน่วง โชคร้ายก็อาจจะได้รับบาดเจ็บได้ อย่างไรก็ตาม หลิงหลานก็ยังอยากลองดู ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ บวกกับเธอมีเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายด้วย เธอไม่กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บจนเกิดผลร้ายแรง
แน่นอนว่าหลิงหลานอยากลอง แล้วยังมีอีกผลเหตุหนึ่งนั่นก็คือพละกำลังเป็นหัวข้อการสอบที่คว้าคะแนนมาได้ง่ายที่สุด เนื่องจากคะแนนนี้เป็นคะแนนตายตัว หนักเท่าไรก็ได้คะแนนเท่านั้น ไม่เหมือนกับหัวข้อความอดทนและความเร็วที่การให้คะแนนจะมีความยืดหยุ่นในระดับหนึ่ง ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะมีความมั่นใจกับสองหัวข้อหลังเช่นกัน แต่เธอก็กลัวว่าจะเจอการเสียคะแนนที่อธิบายไม่ได้เหมือนกับการสอบสติปัญญาอีก
หลิงหลานไม่ได้เข้าไปยกบาร์เบลอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน เธออยากดูแลรักษาร่างกายของตัวเองไว้ก่อน ดังนั้นก็เลยแอบโคจรลมปราณบำรุงร่างกายเงียบๆ เมื่อสัมผัสได้ว่าร่างกายเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง เธอก็ตะโกนเสียงดัง ยกบาร์เบลขึ้นมา
รอจนกระทั่งได้ยินเสียงแจ้งเตือนของมอนิเตอร์ว่าสำเร็จแล้ว เธอถึงค่อยวางบาร์เบลลง เสียง ‘ปัง’ ดังลั่นเรียกสติของทหารสองนายที่มองฉากนี้ด้วยความตะลึงงัน
“สำเร็จแล้วจริงๆ…” ทหารสองนายทำหน้าเหมือนไม่กล้าเชื่อ ยิ่งไปกว่านั้นหนึ่งในทหารสองคนนั้นยังวิ่งพุ่งไปที่ด้านหน้ามอนิเตอร์ เมื่อเขาเห็นตัวอักษรคำว่าสำเร็จขนาดใหญ่สองตัวได้ชัดเจน เขาก็ตื่นเต้นทันที
“ไม่คิดเลยว่าผ่านมาสามปีจะมีคะแนนเต็มด้านพละกำลังโผล่ขึ้นมาจากในมือฉัน” นายทหารทั้งตื่นเต้นและภูมิใจ นี่ไม่ใช่การสอบสติปัญญาที่สามารถจัดการใต้โต๊ะได้ นี่เป็นผลคะแนนที่ทำจริงได้จริง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเขาจะโชคดีที่ได้เห็นอัจฉริยะทางด้านการต่อสู้ปรากฏตัวขึ้นมา (พละกำลังแข็งแกร่งมาก ฝึกฝนครึ่งเดียวแต่ได้ผลสองเท่า)
ทหารสองนายเขียนคะแนนของหลิงหลานลงไปด้วยความตื่นเต้น และใส่คำวิจารณ์ของพวกเขาเพิ่มตามหลังด้วยคำเพียงสี่คำว่า ‘อัจฉริยะด้านการต่อสู้!’ มีเพียงสี่คำนี้เท่านั้นถึงจะสื่อถึงเสียงจากส่วนลึกในหัวใจพวกเขาได้
พวกเขาตื่นเต้นจนไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าประหลาดและมึนงงในชั่วพริบตาที่หลิงหลานวางบาร์เบลลง หลิงหลานต้องรู้สึกแปลกและงุนงงอยู่แล้ว เนื่องจากเธอยังมีแรงเหลืออยู่ หรือพูดได้ว่าเดิมทีเธอนึกว่าห้าร้อยจินจะเปลืองแรงของเธอมาก แต่พอยกมันขึ้นมาจริงๆ ถึงค่อยรู้สึกว่ามันเบามาก
เชี่ยแล้ว หรือว่าเธอกินยาเพิ่มพลังอะไรเข้าไป?
หลิงหลานคิดไม่ออก ทำได้แค่วางความสงสัยไว้ในใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องเตรียมตัวทำการทดสอบต่อไป
……………………………………………
[1] หน่ออ่อน หมายถึง คนที่เหมาะกับนำมาบ่มเพราะฝึกปรือ
[2] จิน หนึ่งจิน เท่ากับ ห้าร้อยกรัม