เสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงจิตใจตอบหลิงหลานเสียงดังแล้วก็นิ่งเงียบไม่ขยับ หลิงหลานรู้ว่าสติของเสี่ยวซื่อวิ่งเข้าไปในโลกออนไลน์เสมือนจริงแล้ว เหลือเพียงเปลือกหุ้มว่างเปล่าที่ไม่มีสตินึกคิดอยู่ที่นี่เท่านั้น
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีหนึ่งหมื่นปีรวมไปถึงการปรากฏตัวของพลังจิต ทำให้วิธีการเจาะระบบของแฮ็กเกอร์ในอินเทอร์เน็ตไม่เหมือนกับหนึ่งหมื่นปีก่อนโดยสิ้นเชิง การจะกลายเป็นแฮคเกอร์ไม่ได้อาศัยแค่การเรียนรู้เพื่อได้รับเทคนิคการแฮ็กเพียงอย่างเดียวเท่านั้น มันยังต้องมีพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดในการกลายเป็นแฮ็กเกอร์ด้วย พรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิดนี้ก็คือพลังจิตของมนุษย์ จำเป็นต้องมีความสามารถในการปลอมแปลงปิดบังตัวตนที่แท้จริงได้
การทดสอบประเภทของพลังจิตจำเป็นต้องดำเนินการต่อเมื่อเด็กอายุครบสิบปีโดยบริบูรณ์ เนื่องจากมีเพียงเด็กในช่วงอายุนี้เท่านั้นที่พลังจิตของเขาจะเติบโตและเริ่มเปลี่ยนเป็นประเภทต่างๆ ซึ่งจะเป็นการตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะบ่มเพาะและพัฒนาเขาไปในทางไหน
หลิงหลานในตอนนี้ย่อมไม่รู้ว่าพลังจิตยังมีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้อยู่ และไม่รู้ว่าแฮ็กเกอร์ในเวลานี้อันตรายและน่ากลัวมากกว่าเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน ถ้าหากไม่ระวังในการต่อสู้ของแฮ็กเกอร์ก็จะเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้นได้ง่ายมาก สมองตายเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่พบได้บ่อยมากที่สุด
การต่อสู้ของแฮคเกอร์ในยุคนี้ถูกเรียกว่าสงครามชี้ชะตาอันน่ากลัวที่ไม่เห็นควันเขม่า ถึงขนาดที่มันอันตรายมากกว่าสงครามที่แท้จริงเสียด้วยซ้ำไป
แต่ก็เป็นโชคดีที่หลิงหลานไม่รู้ ไม่อย่างนั้นเธอย่อมไม่ให้เสี่ยวซื่อไปทำเรื่องนี้แน่นอน ในใจของเธอเสี่ยวซื่อคือญาติพี่น้องที่เธอให้ความสำคัญมากที่สุด ถึงจะไม่ได้เข้าไปเรียนในห้องพิเศษจนเพิ่มโอกาสที่เธอจะถูกเปิดเผยตัวตนขึ้นมาก็ตาม แต่ทว่านี่ไม่ใช่ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ถ้าหากเสี่ยวซื่อได้รับอันตรายและหายไปเพราะสาเหตุนี้ละก็ เธอจะต้องทนรับไม่ไหวแน่นอน
ตอนที่เสี่ยวซื่อเข้าไป เขาก็วางร่างแยกที่ใช้ควบคุมไว้ในระบบของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ 137 ที่กำลังเตรียมจะแก้ไขคะแนนก็พลันตื่นตระหนก การกระทำที่เดิมทีต้องการจะปรับเปลี่ยนคะแนนก็หยุดลงเช่นกัน
หมายเลข 137 สมภาคภูมิกับที่เป็นแฮคเกอร์ระดับแนวหน้าของสหพันธรัฐในเวลานี้ แม้ว่าเสี่ยวซื่อจะมาอย่างไร้สุ้มไร้เสียง แต่พลังจิตอันเฉียบคมของ 137 ยังทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากของเขาหลั่งออกมาอย่างรุนแรงในชั่วพริบตา
นี่ทำให้ผู้คุมสอบ 413 ที่เฝ้าปกป้องอยู่ข้างกายเขาหน้าเปลี่ยนสี หรือว่า 137 มี อันตรายแล้ว? ต้องทราบว่าการที่ 137 เข้าในไปในโลกออนไลน์เสมือนจริงเพื่อแก้ไขคะแนนของเด็กสี่คนนั้นเป็นเพราะเขาทุ่มเทกำลังแนะนำ ถ้าหาก 137 ได้รับบาดเจ็บเพราะสาเหตุนี้ขึ้นมาละก็ เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองแน่นอน คะแนนเกียรติยศที่ได้จากการแนะนำมีความสำคัญมากจริงๆ แต่เพื่อนร่วมรบของเขามีความสำคัญยิ่งกว่า
หมายเลข 137 รอบคอบมาก เขาใช้พลังจิตตรวจสอบด้วยความระมัดระวัง ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่เขาต้องเป็นคนที่ร้ายกาจแน่นอน ถึงขนาดทำให้เขาค้นหาที่ซ่อนของอีกฝ่ายไม่พบไปชั่วขณะ
เสี่ยวซื่อสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ เขาไม่มีข้อจำกัดแบบมนุษย์ในอินเทอร์เน็ตที่ได้แต่ออนไลน์ด้วยตัวตนเดียว ต่อให้เป็นแฮ็กเกอร์ก็ได้แต่ปลอมแปลงตัวตนของตัวเองและจุดที่ล็อกอินเข้ามาเท่านั้น ควรทราบว่าขอเพียงเขาอยู่ในอินเทอร์เน็ตก็สามารถแบ่งร่างของเขาออกมาได้นับไม่ถ้วนในชั่วพริบตาและซ่อนตัวอยู่ทั่วทั้งโลกออนไลน์เสมือนจริง
เสี่ยวซื่อตามพลังจิตของฝ่ายตรงข้ามก็หาจุดล็อกอินของเขาพบ ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะใช้พลังจิตมาปกปิดตัวตนและสถานที่ของตัวเองไว้ แต่วิธีการปกปิดที่เหมือนของเด็กเล่นแบบนี้ไม่มีประโยชน์อะไรต่อเสี่ยวซื่อเลย เสี่ยวซื่อยังคงหาอีกฝ่ายเจอได้ง่ายๆ
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาใช้ประโยชน์จากกล้องวงจรปิดของฝ่ายนั้นและมองเห็นผู้คุมสอบ 413 เขาก็รู้แล้วว่าเรื่องอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่เขาคิดไว้
เสี่ยวซื่อส่งภาพหน้าจอนี้กลับมาที่ห้วงสติของหลิงหลานอย่างรวดเร็ว พอหลิงหลานเห็นหมายเลข 413 หรือก็คือผู้คุมสอบของพวกเธอแล้วก็อึ้งไป
“พวกเขาคิดจะทำอะไรน่ะ” หลิงหลานงุนงง ต้องรู้ว่าคะแนนของเธอในตอนนี้เป็นคะแนนที่ผู้คุมสอบออกให้ และเธอก็รู้ผลคะแนนสุดท้ายเมื่อหลายนาทีก่อนหน้านี้แล้วด้วย ถึงแม้ว่าผลคะแนนของเธอจะเอาที่หนึ่งมาไม่ได้ (เนื่องจากการทดสอบหัวข้อสติปัญญาฉุดคะแนนมากเกินไป) แต่เธอก็ครองตำแหน่งที่สองได้อย่างมั่นคง การจะเข้าสู่ห้องเรียนพิเศษจึงเป็นเรื่องที่สบายๆ
ถ้าหากตอนนั้นผู้คุมสอบไม่อยากให้เธอเข้าไปเรียนในห้องเรียนพิเศษก็สามารถให้คะแนนเธอต่ำก็ได้ ทำไมต้องสิ้นเปลืองแรงใช้แฮ็กเกอร์มาแก้ไขคะแนนแบบนี้ด้วยล่ะ หรือว่ามีเจตนาเบื้องลึกอะไร?
หลิงหลานตัดสินใจดูไปก่อน เอาให้รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายอยากจะทำอะไรก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที
แน่นอนว่าที่หลิงหลานกล้าปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามใจชอบแบบนี้ก็เป็นเพราะเสี่ยวซื่อรับรองเอาไว้แล้ว ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร เขาก็สามารถทำให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ทันที
หมายเลข 137 ใช้พลังจิตตรวจค้นครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าก็ไม่พบร่างของอีกฝ่าย เขาลังเลใจและเริ่มสงสัยตัวเองขึ้นมา หรือว่าตัวเขาจะสัมผัสไวมากเกินไปจนเกิดความรู้สึกผิดพลาดเหรอ?
เวลาหายไปทีละน้อย ไม่ว่า 137 จะค้นหาอย่างไรก็ไม่พบตำแหน่งของปัญหา 137 ไม่มีทางเลือกพอเห็นว่าเวลาเหลือไม่มากแล้ว เขาก็คิดว่ายังทำภารกิจที่หัวหน้าหน่วยมอบหมายมาไม่เสร็จ ดังนั้นเขาเลยตัดสินใจลองแก้ไขคะแนนของหลิงหลานก่อน
เขาย่อมคิดไว้ดีแล้ว ถ้าหากมีจุดไหนผิดปกติขึ้นมา เขาก็จะหนีอย่างรวดเร็ว 137 ไม่คิดว่าตัวเองสามารถจัดการยอดฝีมือที่เขาหาร่องรอยไม่พบแบบนี้ได้เลย การหลบหนีเป็นแผนการที่ดีที่สุดเพื่อรับประกันความปลอดภัย
137 ตัดสินใจแล้วก็เริ่มแก้ไขคะแนนของหลิงหลานด้วยความระมัดระวัง เขาไม่กล้าแก้ไขคะแนนสองหัวข้อแรกแน่นอน ถึงอย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ขอบเขตความรับผิดชอบของพวกเขา ถ้าแก้ไขแล้วจะเกิดข้อผิดพลาดได้ง่ายมาก มีเพียงคะแนนความอดทนและความเร็วเท่านั้นถึงจะเป็นของหน่วยรบพิเศษอย่างพวกเขา หรือก็คือเขากับ 413 ทำหน้าที่ให้คะแนน จะแก้ไขคะแนนตามใจชอบอย่างไรก็ไม่มีปัญหา ถ้าหากมีปัญหาขึ้นมาจริงๆ ก็ให้หัวหน้าหน่วยพวกเขารับผิดชอบ ดังนั้นเขาเลยไม่กลัว
แน่นอนว่าตอนนั้นเขากับ 413 ไม่ได้คิดเรื่องให้คะแนนต่ำ อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่รู้ผลการสอบของเด็กคนอื่นๆ อีกทั้งกลัวว่าถ้าให้คะแนนต่ำขึ้นมาจริงๆ หรือถ้าเกิดเรื่องจนไม่สามารถแก้ไขคะแนนได้ชั่วคราว ทำให้เด็กพวกนี้พลาดโอกาสเข้าห้องเรียนพิเศษขึ้นมาละก็ มันไม่ยิ่งน่าเสียใจเหรอ ดังนั้นพวกเขาเลยให้คะแนนสูงไปตามความคิดที่ยึดว่าต้องการสูงไม่ต้องการต่ำ
คะแนนรวมของหลิงหลานร่วงจากตอนแรกที่อยู่อันดับสองลงไปยังอันดับที่ 17 ตามการแก้ไขของ 137
137 แก้ไขเสร็จแล้ว เขาก็รอสักพักด้วยความอดทนอย่างมากก่อนจะพบว่าไม่มีความผิดปกติอะไร จากนั้นเขาก็เริ่มแก้ไขคะแนนของฉีหลง หานจี้จวิน และลั่วล่าง เปลี่ยนคะแนนของพวกเขาจากอันดับที่ 3 อันดับที่ 5 และอันดับที่ 6 ในตอนแรกนั้นให้กลายเป็นอันดับที่ 18 อันดับ 21 และอันดับที่ 24
137 ไม่ได้ลืมคำพูดของหัวหน้าหน่วยที่ว่าต้องรับประกันให้พวกหลิงหลานทั้งสี่คนเข้าห้องเรียนพิเศษ และจะต้องไม่ดึงดูดความสนใจในตอนที่แย่งชิงทรัพยากรการเรียนรู้ที่ดีที่สุด และอันดับที่ไม่สูงไม่ต่ำในเวลานี้ก็น่าจะแก้ไขปัญหาที่หัวหน้าหน่วยกังวลได้แล้ว ต้องทราบว่าคนที่มีคะแนนรวม 50 อันดับแรกสามารถเข้าห้องสเปเชียลเอได้ ส่วนอันดับที่ 51-100 ก็จะเข้าไปที่ห้องสเปเชียลบี
เสี่ยวซื่อบอกผลสรุปที่ฝ่ายตรงข้ามแก้ไขคะแนนให้หลิงหลานฟัง หลิงหลานตระหนักได้ทันที เธอเข้าใจเจตนาที่อีกฝ่ายแก้ไขคะแนนแล้ว ดูท่าฝ่ายตรงข้ามจะมีเจตนาดี อันดับในตอนนี้ไม่เลวมากๆ ไม่โดดเด่นและก็ไม่ตามหลังเช่นกัน
เดิมทีเธอก็กลุ้มใจว่าคะแนนอันดับสองจะสะดุดตามมากเกินไปหรือเปล่า หลิงหลานไม่หวังให้ตัวเองกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน นี่จะทำให้เธอมีโอกาสถูกเปิดเผยตัวตนเพิ่มมากขึ้น เพียงแต่เธอไม่กล้าแก้ไขคะแนนของตัวเอง ถึงอย่างไรคนที่แตะต้องคะแนนนี้มีเยอะมากเกินไป ถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา เกรงว่าอาจจะถูกเปิดโปงได้ หลิงหลานไม่กล้าบุ่มบ่าม แต่ว่าตอนนี้ผู้คุมสอบช่วยเธอทำเรื่องนี้แล้ว เธอเองก็จะคอยเก็บเกี่ยวความสำเร็จของเขา
อย่างไรก็ตาม ในใจของหลิงหลานกลับรู้สึกสงสัยมากๆ ว่า ผู้คุมสอบของการสอบสองหัวข้อสุดท้ายคือใครกันแน่
เด็กคนอื่นๆ อาจจะไม่รู้ แต่หลิงหลานรู้ดีว่าบนตัวของผู้คุมสอบมีกลิ่นอายคาวเลือดที่ยากจะปกปิดไว้ นั่นย่อมเป็นสิ่งที่ทหารผ่านศึกซึ่งใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในสงครามที่โหดร้ายเท่านั้นถึงจะมีได้ เขาแตกต่างจากพวกผู้คุมสอบหัวข้อสติปัญญาและพละกำลังโดนสิ้นเชิง
หลิงหลานเองก็ไม่ลืมว่าตอนที่ผู้คุมสอบส่งพวกเขาออกไปนั้น แววตาของเขาเผยความพึงพอใจออกมา บางทีกลุ่มที่มีอิทธิพลในสหพันธรัฐที่ผู้คุมสอบเป็นตัวแทนอยู่นั้นอาจจะสนใจพวกเขาทั้งสี่คน ดังนั้นถึงได้เล่นตุกติกเล็กน้อยเพื่อต้องการคุ้มครองให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาอย่างราบรื่น?
ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร นี่ย่อมเป็นเรื่องดี! หลิงหลานทิ้งเรื่องนี้ไปให้พ้นจากสมองอย่างรวดเร็ว
………………………………………………………