หลิงหลานเมาเหล้าได้น่ารักมาก ไม่ได้พูดพล่ามมั่วซั่วและก็ไม่ได้เมาอาละวาดเช่นเดียวกัน เธอเพียงแต่นอนหลับเงียบๆ มุมปากยังเป่าฟองน้ำลายเป็นครั้งคราว
ฉากน่ารักแบบนี้ทำให้หลานลั่วเฟิ่งอารมณ์ดีและขบขัน ไม่นึกเลยว่าเธอไม่สนใจอยู่พักเดียว เด็กคนนี้ก็แอบดื่มไวน์แล้ว อย่างไรก็ตาม ก็มีแค่เวลานี้เท่านั้นที่หลิงหลานถึงจะดูเหมือนเด็กอายุหกขวบจริงๆ เธอนอนหลับโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
หลานลั่วเฟิ่งรู้ว่าความจริงแล้วหลายปีมานี้หลิงหลานเหนื่อยมาก ทุกวันมีภารกิจฝึกฝน ทุกครั้งเธอต้องลอบร้องไห้มองหลิงหลานที่ฝึกฝนจนสลบไป (ความจริงแล้วเสี่ยวซื่อแจงว่าเวลาครบกำหนดแล้ว หลิงหลานก็เลยนอนอู้ ไม่ใช่ว่าหลิงหลานไม่พยายาม แต่ว่าร่างกายของเธอยังอ่อนแอมาก ถ้าฝึกฝนมากเกินไปจะทำให้ร่างกายได้รับความเสียหายที่ไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืนได้ ต่อให้มีเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายก็ยังฟื้นฟูกลับมาไม่ได้)
หลานลั่วเฟิ่งไม่อาจหยุดยั้งการฝึกฝนพวกนี้ เพราะเธอรู้ดีว่าทำแบบนี้จะส่งผลดีต่ออนาคตของหลิงหลานอย่างมาก สหพันธรัฐเป็นโลกที่เคารพผู้แข็งแกร่ง แข็งแกร่งมากขึ้นก็จะมีชีวิตที่ปลอดภัยมากขึ้น เธอต้องแข็งใจและทำใจเหี้ยมเพื่ออนาคตของหลิงหลาน
หลานลั่วเฟิ่งอุ้มหลิงหลานอย่างรวดเร็วและพาเธอเข้าไปในห้องนอนของเธอ หลังจากที่หลิงหลานสามารถพูดคุยสื่อสารกับคนได้อย่างฉะฉานแล้ว เธอก็ร้องขอห้องส่วนตัวอย่างแรงกล้า และหลานลั่วเฟิ่งก็เป็นมารดาที่รักลูกมากสุดขีดอย่างไร้ขีดจำกัดล่าง เธอจัดการห้องส่วนตัวให้กับหลิงหลานโดยไม่ฝืนดึงดัน
หลานลั่วเฟิ่งวางหลิงหลานลงบนเตียงอย่างระมัดระวังก่อนจะหอมดวงหน้าซาลาเปาที่น่ารักของหลิงหลาน จากนั้นก็ค่อยปิดประตูห้องและออกไปอย่างวางใจ เธอไม่รู้เลยว่าหลิงหลานที่ดูเหมือนนอนหลับสนิท ความจริงแล้วสติของเธอจะถูกอาจารย์หมายเลขหนึ่งลากเข้าไปอย่างน่าอนาถมาก
…………
หลิงหลานรู้สึกเคลิบเคลิ้มอย่างมาก เธอแทบจะยืนร่างไม่มั่นคง เห็นสิ่งของอะไรก็รู้สึกตลอดว่ามันโยกคลอนเล็กน้อย
เธอรู้สึกคลื่นเหียนอยู่บ้าง ก่อนจะรีบนั่งยองๆ และกุมศีรษะ หลิงหลานจำเป็นต้องนั่งยองๆ ไม่เช่นนั้นมีความเป็นไปได้สูงว่าวินาทีถัดไปเธอจะเสียศูนย์และล้มคว่ำลงไป
“เหอะ กล้าดื่มเหล้างั้นเหรอ” สีหน้าของหมายเลขหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าหลิงหลานดูไม่ได้อย่างมาก เขาดีดนิ้วทีหนึ่ง ด้านบนของมิติการเรียนรู้ก็สาดน้ำเย็นลงมาหนึ่งอ่าง ทำเอาหลิงหลานตัวสั่นยะเยือก สติที่เดิมทีวิงเวียนอยู่บ้างก็พลันกระจ่างใสขึ้นมาทันที
“อาจารย์หมายเลขหนึ่ง สวัสดีค่ะ!” หลิงหลานเงยหน้ายิ้มด้วยความเก้อเขิน ถึงขนาดที่สีหน้าสามารถกล่าวคำว่าประจบประแจงออกมาได้
“ฉันอารมณ์เสียมากๆ” อาจารย์หมายเลขหนึ่งไม่ไว้หน้าหลิงหลานเพราะการประจบสอพลอของเธอเลยสักนิดเดียว เขาบอกหลิงหลานอย่างเปิดเผยว่าเขาโกรธมาก
คำพูดของอาจารย์หมายเลขหนึ่งทำให้หลิงหลานหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา ไม่จำเป็นต้องถามเธอก็รู้ว่าอารมณ์ไม่ดีที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งพูดจะต้องเกี่ยวข้องกับเธอแน่นอน หรือว่าเธอไปกวนโมโหอาจารย์ปีศาจที่น่ากลัวคนนี้โดยไม่รู้ตัว?
อาจารย์หมายเลขหนึ่งเห็นหลิงหลานทำหน้างุนงงก็กล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “เธอทำอะไรลงไปในการต่อสู้วันนี้ สิ่งที่หมายเลขเก้าสอนเธอมันใช้แบบนั้นหรือไง”
หลิงหลานขุ่นเคืองอยู่บ้าง “ฉันซัดผู้คุมสอบได้แล้วนะคะ”
“เธอสามารถอัดใส่เขาได้อย่างเปิดเผย แต่เธอกลับชอบเล่นลูกไม้ ต่อไปถ้าทำผิดอีกก็อย่ามาว่าฉันลงโทษอย่างไร้เมตตาล่ะ” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเห็นว่าความแข็งแกร่งของตัวเองถึงจะนับว่าเป็นวิถีทางที่ถูกต้อง แผนการลูกไม้ต่างก็เป็นวิถีทางที่ชั่วร้ายไม่อาจพึ่งพาได้เป็นอันขาด
หลิงหลานไม่สนใจเรื่องลงโทษที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งกล่าวในตอนสุดท้าย เธอเอ่ยด้วยสีหน้าตกใจว่า “อาจารย์หมายความว่า ความจริงแล้วตอนนี้ฉันสามารถอาศัยพลังของตัวเองก็สามารถอัดผู้คุมสอบคนนั้นได้เหรอคะ” เพราะอะไรตอนนั้นเธอรู้สึกว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายกดเอาไว้ล่ะ เธอรู้สึกว่าพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเธอหลายเท่า? หรือว่าเธอเข้าใจผิด?
ทว่าความจริงแล้ว พวกเขาสามคนได้ใช้ความสามารถทั้งหมดถึงจะต่อสู้อย่างยากลำบากกับผู้คุมสอบได้เป็นเวลานาน สุดท้ายก็ยังเหนือบ่ากว่าแรง เธอจึงได้ใช้แผนการถึงจะอัดผู้คุมสอบได้สำเร็จ หลิงหลานย่อมไม่คิดว่าใช้กลอุบายจะเป็นการเอาชนะที่ไม่ยุติธรรม ในสงครามมีเพียงเอาชีวิตรอดต่อไปเท่านั้นถึงจะเป็นสัจธรรม
“ไม่ผิด การต่อสู้ในวันนี้เธอพลาดโอกาสไปสามครั้ง” หมายเลขหนึ่งกล่าวจบก็ดีดนิ้วอีกครั้ง เบื้องหน้าของหลิงหลานก็ปรากฏฉากเหตุการณ์ที่เธอ ฉีหลงและลั่วล่างสามคนต่อสู้กับผู้คุมสอบในวันนี้
“ตอนที่ลงมือลอบโจมตีครั้งแรก ส่วนแรกทำออกมาได้ดีมาก เธอจำเรื่องที่อาจารย์หมายเลขเก้าบอกกับเธอไว้ได้ว่าให้ซ่อนจิตสังหารของเธอไว้ แต่ว่าตอนที่เธอกำลังจะทำสำเร็จ ในใจก็รู้สึกหวั่นไหว” หมายเลขหนึ่งชี้ไปในหน้าจอ ตอนที่หมัดของหลิงหลานกำลังโจมตีใส่ผู้คุมสอบ ลมหายใจของเธอแปรปรวนขึ้นในชั่วพริบตา และด้วยเหตุนี้เองทำให้ผู้คุมสอบสังเกตเห็นการโจมตีของเธอถึงได้เปลี่ยนท่าขัดขวางการโจมตีของเธอไว้ในชั่วพริบตาสุดท้าย
“การลอบโจมตีครั้งที่สองก็ทำผิดแบบเดียวกัน เธอหละหลวมในช่วงเวลาสุดท้าย” เสียงของหมายเลขหนึ่งยิ่งเย็นเยียบมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าทีของเขานั้นแทบจะอยากคว้าหลิงหลานเข้ามาตีแรงๆ เห็นได้ชัดว่าเธอเรียนรู้ดีมาก แล้วทำไมต่อสู้จริงถึงเกิดข้อผิดพลาดล่ะ ไม่อย่างนั้นตอนที่หลิงหลานลงมือก็คงอัดผู้คุมสอบได้นานแล้ว
“สิ่งที่ทำให้ฉันโกรธมากที่สุดคือ เธอไม่รู้จักการพลิกแพลงวิธีการโจมตีของตัวเอง เธอใช้วิธีการโจมตีเหมือนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลอบโจมตีสองครั้งไม่สำเร็จ ขนาดคนปัญญาอ่อนก็รู้ว่าจะต้องป้องกันการลอบโจมตีของเธอแล้ว นึกไม่ถึงว่าเธอยังคงอยากอาศัยการลอบโจมตีเพื่ออัดเขาให้สำเร็จ สมองของเธอเป็นหมูหรือไง” อาจารย์หมายเลขหนึ่งเห็นหลิงหลานอยากลอบโจมตีเป็นครั้งที่สาม เขาก็ยิ่งโกรธจนไม่อาจหยุดได้
“ถูกพบตัวแล้ว จะสู้กับฝ่ายตรงข้ามอย่างเปิดเผยก็ไม่มีปัญหา เธอคิดอะไรถึงได้ทุ่มกำลังทั้งหมดในการประมือทุกท่า กระบวนท่าก็ใช้แต่ท่าเดิมๆ เธอใช้อะไรป้องกัน นอกจากนี้ เธอไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าอะไรคือลูกล่อลูกชน ตรงนี้ ตอนที่ศอกขวาโจมตีไปถูกสกัดไว้และใช้ศอกซ้ายโจมตีต่อไป ฝ่ายตรงข้ามถูกเธอล่อให้ใช้สองมือป้องกันแล้ว ข้างตัวเธอยังมีเพื่อนที่โจมตีตรงเอวของอีกฝ่าย ล่อขาข้างที่สามารถขยับได้เพียงข้างเดียวของฝ่ายตรงข้าม ทำไมเวลานั้นเธอไม่ฉวยโอกาสโจมตีท่อนล่าง เธอไม่ได้เรียนท่าสะบัดหางแมงป่องเหรอ เห็นได้ชัดว่ามันเป็นโอกาสที่น็อกศัตรูได้ดีมาก สิ่งที่ทำให้ฉันผิดหวังมากที่สุดคือ เธอไม่สังเกตเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองที่เกิดขึ้นในการต่อสู้รวมไปถึงโอกาสที่พลาดไปเลย เธอเป็นไอ้โง่ด้านการต่อสู้จริงๆ เลย”
คนมีพรสวรรค์มากมายต่างสังเกตเห็นจุดอ่อนของตัวเองในการต่อสู้ แต่น่าเสียดายที่หลิงหลานต่อสู้จนถึงตอนสุดท้ายก็ไม่ได้สังเกตเห็นข้อผิดพลาดของตัวเองเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังต้องใช้ลูกไม้เล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง นี่ทำให้อาจารย์หมายเลขหนึ่งโกรธอย่างยิ่ง “ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายอยากรู้แค่ว่าพวกเธอจะทำได้ถึงขึ้นไหนละก็ เธอก็คงถูกอีกฝ่ายฆ่าทิ้งตรงนี้ไปนานแล้ว” อาจารย์หมายเลขหนึ่งชี้ไปยังตอนที่เธอเปิดฉากต่อสู้กับผู้คุมสอบ ผู้คุมสอบหยุดกระบวนท่าต่อสู้มากมายที่สามารถน็อกคู่ต่อสู้ไปกลางคัน พอถึงเวลาจวนตัวก็เปลี่ยนกระบวนท่าทำให้หลิงหลานตกใจกลัวทว่าไม่ได้รับอันตราย
หลิงหลานยิ่งฟังการวิเคราะห์ของอาจารย์หมายเลขหนึ่งก็ยิ่งรู้สึกละอายใจ เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองแสดงความสามารถในการต่อสู้ครั้งนั้นไม่เลวเอามากๆ ไม่นึกว่าเธอกลับทำได้ย่ำแย่ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังทำผิดครั้งแล้วครั้งเล่า เธอรู้สึกว่าความภาคภูมิใจที่อัดผู้คุมสอบสำเร็จในวันนี้หายไปแทบไม่เหลือ สิ่งที่หลงเหลืออยู่มีเพียงความอับอายขายขี้หน้า นอกจากนี้แผ่นหลังยังหลั่งเหงื่อเย็นๆ เต็มไปหมด
“ดูท่าต้องทำการฝึกพิเศษที่ป่าดง ให้เธอเรียนรู้ว่าจะล่ายังไงก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที!” อาจารย์หมายเลขหนึ่งประกาศผลสรุปของหลิงหลานอย่างเย็นชา
หลิงหลานยังไม่ทันเอ่ยปากร้องขอความเมตตา อาจารย์หมายเลขหนึ่งดีดนิ้วหนึ่งที หลิงหลานก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าเธอเปลี่ยนไป เธอกับหมายเลขหนึ่งอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์ หูยังได้ยินเสียงลำธารไหลรินดังมาจากที่ไกลๆ รวมไปถึงเสียงคำรามอันน่ากลัวที่ไม่รู้ว่าเป็นสัตว์ร้ายอะไร
หัวใจดวงน้อยๆ ของหลิงหลานเต้นไม่เป็นจังหวะ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เคยอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์มาก่อน แต่เธอก็รู้ว่าสถานที่แบบนี้อันตรายมากๆ ไม่เพียงมีสัตว์ร้ายเท่านั้น มันยังมีความน่ากลัวของธรรมชาติและสิ่งน่ากลัวที่ไม่รู้จักอีกมากมายนับไม่ถ้วน
หลิงหลานทำหน้าตึงเครียดอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามเธอรู้ว่าภารกิจการล่าครั้งนี้ไม่สามารถหลีกหนีได้แน่นอน การฝึกสอนในหนึ่งปีที่ผ่านมาทำให้เธอรู้ดีว่าเรื่องที่อาจารย์หมายเลขหนึ่งต้องการจะทำเป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
แต่เธอยังอยากอ้อนวอนอาจารย์หมายเลขหนึ่งอยู่ดี ให้เขามอบเวลาให้เธอเตรียมตัวอีกสักหน่อยเพื่อกลับไปถามเสี่ยวซื่อเรื่องกฎการเอาตัวรอดในป่าดึกดำบรรพ์ แต่น่าเสียดายที่ความคิดเล็กๆ น้อยๆ ของหลิงหลานถูกหมายเลขหนึ่งมองออกแล้ว เขาไม่ให้โอกาสหลิงหลานเอ่ยปากก็ทิ้งคำพูดว่า “ขอให้สนุก” จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งหายไปในโลกที่เต็มไปด้วยสีเขียวแห่งนี้
เชี่ย! หมายเลขหนึ่ง คุณมันใจยักษ์!
หลิงหลานชูนิ้วกลางของตัวเองใส่ตรงจุดที่หมายเลขหนึ่งเคยยืนอย่างหยาบคายเพื่อแสดงอารมณ์ขุ่นเคืองของตัวเอง
………………………………………………………