“ยังรู้จักระบายความโกรธด้วยสินะ ดูท่าเธอจะปรับตัวได้ดีมาก” หมายเลขหนึ่งยืนอยู่กลางอากาศตรงข้ามกับหลิงหลาน แววตามีรอยยิ้มที่แทบจะหาไม่พบแสดงถึงการยอมรับของเขาเป็นครั้งแรก
คำพูดของอาจารย์หมายเลขหนึ่งทำให้หลิงหลานรู้สึกยินดีอยู่ในใจเล็กน้อย ความรู้สึกที่ถูกผู้ปกครองชมเชยอย่างคาดไม่ถึงทำให้เธอยากจะหลีกเลี่ยงความอิ่มอกอิ่มใจนิดหน่อยไม่ได้ อย่างไรก็ตามหลิงหลานไม่ได้หลอกง่ายขนาดนั้น เธอทำหน้าเย็นชากล่าวด้วยความไม่สบอารมณ์ว่า “อาจารย์หมายเลขหนึ่ง คุณไม่กลัวฉันจะถูกสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายแบบนี้บีบให้เป็นบ้าเลยหรือไงคะ”
หลิงหลานรู้ดีว่า ถ้าไม่ใช่เพราะจิตใจของเธอแข็งแกร่งทรหดแล้วละก็ สถานที่น่ากลัวอย่างป่าดึกดำบรรพ์แห่งนี้สามารถบีบให้ผู้ใหญ่ธรรมดาเป็นบ้าได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้รูปลักษณ์ภายนอกของเธอเป็นแค่เด็กอายุหกขวบเท่านั้นนะ ต่อให้เป็นเด็กอัจฉริยะอีกแค่ไหน เมื่ออยู่ในป่าดึกดำบรรพ์แห่งนี้ก็เอาชีวิตรอดต่อไปไม่ได้เหมือนกัน
ถึงแม้ว่าที่นี่สามารถฟื้นคืนชีพได้ไม่จำกัด แต่วิธีการตายที่น่ากลัวในแบบต่างๆ รวมไปถึงการสะท้อนความเป็นจริงบนร่างกายทั้งหมดสามารถทำให้เด็กที่จิตใจยังไม่กลายเป็นผู้ใหญ่พังทลายได้โดยสิ้นเชิง ยิ่งไปกว่านั้นยังบอกไม่ได้ว่าจะทำภารกิจได้สำเร็จ
หลิงหลานสงสัยมากว่า มิติการเรียนรู้นี้มีเพื่อบ่มเพาะเด็กให้ประสบความสำเร็จหรือว่ามีไว้ทำลายอนาคตเด็กกันแน่ ดังนั้นเธอถึงได้มองหมายเลขหนึ่งแล้วก็เอ่ยถามข้อสงสัยในใจเธอออกมา
หมายเลขหนึ่งยังคงมีสีหน้าเฉยชา เขาเพียงแต่ถามกลับว่า “เธอบ้าไปแล้วเหรอ” ความหมายภายใต้คำพูดนี้คือหลิงหลานไม่ได้บ้า ประท้วงไปก็ไม่มีความหมายอะไร และถ้าหากหลิงหลานบ้าไปแล้วก็ยิ่งไม่สามารถประท้วงได้เข้าไปใหญ่…
หลิงหลานหลั่งน้ำตานองหน้ามองท้องฟ้าอย่างไร้คำพูด แม่งเอ๊ย ต่อให้เธอมองทะลุปรุโปร่ง โฮสต์อย่างพวกเธอก็ไม่มีอำนาจเลยสักนิดเดียว ได้แต่ถูกมิติการเรียนรู้ที่อำมหิตนี้กดขี่เยี่ยงทาสในช่วงเวลาที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีช่องทางให้ประท้วงเลยแม้แต่น้อย
หมายเลขหนึ่งพอใจกับการสำนึกตัวของหลิงหลานมาก เขากล่าวว่า “ในเมื่อทำภารกิจสำเร็จแล้ว มิติการเรียนรู้ก็จะไม่ตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องรางวัลเช่นกัน”
เสียงพูดเพิ่งจะดังไป หลิงหลานก็ได้ยินระบบของมิติการเรียนรู้แจ้งเตือนว่า “ภารกิจล่าเหยื่อสำเร็จ ได้รับรางวัลคะแนนเกียรติยศห้าสิบแต้ม”
เชี่ย มิติการเรียนรู้แม่งขี้งกมากเกินไปแล้ว!
หลิงหลานเหยียดหยามในใจ อย่างไรก็ตามนี่ก็พิสูจน์แล้วว่าการคาดการณ์แต่เดิมของเธอไม่ผิดเลย คะแนนเกียรติยศได้รับยากมากอย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ สุดท้ายภารกิจอันน่ากลัวที่แทบจะบีบให้เธอเป็นบ้านี้ก็ให้รางวัลห้าสิบแต้ม เธออดรู้สึกดีใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ที่เธอไม่ได้ถลุงคะแนนเกียรติยศพวกนั้นในตอนแรก
หลังจากที่ระบบมอบรางวัลแล้ว หมายเลขหนึ่งก็ดีดนิ้วหนึ่งทีโดยที่ไม่ได้พูดอะไร สภาพแวดล้อมข้างกายพวกเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ไม่มีสีเขียว หนองน้ำและซากกระดูกแล้ว มีเพียงพื้นที่ว่างเปล่าเท่านั้น
พวกเขากลับมายังมิติการเรียนรู้อีกครั้ง กลับมายังสถานที่ที่เธอเรียนรู้ทักษะการต่อสู้มือเปล่ากับอาจารย์หมายเลขเก้าตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อเห็นฉากที่คุ้นเคย หลิงหลานก็รู้สึกว่าทิวทัศน์ตรงหน้าเธอดูสวยงามเป็นครั้งแรก…ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเบื้องหน้าเธอจะไม่มีอะไรเลยก็ตาม
“ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เธอกลับไปก่อน จำไว้ว่าเก็บไอชั่วร้ายบนตัวเธอไว้…” อาจารย์หมายเลขหนึ่งไม่พูดให้กระจ่างก็เตะหลิงหลานออกไป วินาทีต่อมาหลิงหลานก็มาถึงห้องโถงในมิติแห่งจิต
เสี่ยวซื่อที่กำลังนั่งเท้าคางใคร่ครวญอยู่ตรงมุมกำแพงเหมือนกับสัมผัสอะไรบางอย่างได้ เขาเงยศีรษะมองไปก่อนจะเห็นร่างของหลิงหลาน ข้างในแววตาก็เผยความตื่นเต้นยินดีออกมาทันที ตอนที่เสี่ยวซื่อเพิ่งจะเตรียมพร้อมกระโจนเข้ามา จู่ๆ เขาก็เด้งตัวขึ้นแล้ววิ่งไปอยู่ด้านหลังเสาขนาดใหญ่สักต้นด้วยใบหน้าหวาดผวา จากนั้นก็ชะโงกศีรษะเอ่ยถามด้วยความระมัดระวังว่า “ลูกพี่?”
ท่าทางลอกแลกของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานเห็นแล้วไม่สบอารมณ์ เธอกระโดดออกไปบิดหูน้อยๆ ของเสี่ยวซื่อในตอนที่เขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง
“เสี่ยวซื่อ นายหนีอะไรยะ…” หลิงหลานเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน ถึงแม้ว่าเธอจะจัดการอาจารย์หมายเลขหนึ่งไม่ได้ แต่ว่าการจัดการไอ้เด็กแสบเสี่ยวซื่อนี่ก็ยังเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก
“ขอประท้วง ขอประท้วง เธอรับปากฉันแล้วว่าไม่อนุญาตให้ใช้กำลังในครอบครัว!” ในขณะที่เสี่ยวซื่อกระทืบเท้าประท้วง เขาก็คลายความรู้สึกตื่นตระหนกลงเช่นกัน คนที่กล้าใช้กำลังทำร้ายเขาจะต้องเป็นลูกพี่หลิงหลานแน่นอน ชั่วพริบตาเมื่อสักครู่นี้เขาคิดว่าหลิงหลานเป็นคนอื่น เป็นคนฆ่าสัตว์ที่เต็มไปด้วยจิตสังหารและไอชั่วร้าย
หลิงหลานปล่อยนิ้วที่บิดหูออกด้วยความหงุดหงิดและถามเสี่ยวซื่อว่า “ทำไมต้องถามฉันว่าใช่ฉันหรือเปล่าด้วย นอกจากฉันแล้วยังมีคนอื่นแอบเข้ามาที่นี่ได้ด้วยหรือไง”
เสี่ยวซื่อมองหลิงหลานด้วยความจริงจังแล้วค่อยพูดว่า “ลูกพี่ เธอไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนตัวเธอเลยใช่ไหม” สิ้นเสียงกล่าว กระจกตั้งพื้นขนาดใหญ่สุดขีดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าคนทั้งสอง รูปลักษณ์ของทั้งสองคนสะท้อนอยู่ในกระจกตามความเป็นจริง
หลิงหลานเงยหน้ามองก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเสี่ยวซื่อ และก็เข้าใจคำพูดของอาจารย์หมายเลขหนึ่งที่เตือนเธอตอนออกไปว่าให้เธอเก็บไอชั่วร้ายไว้
หลิงหลานในกระจกไม่ได้ดูไม่มีพิษมีภัยเหมือนในตอนแรกแล้ว แววตาอำมหิต ขอบตาที่ยังคงมีจิตสังหารหลงเหลืออยู่ รวมไปถึงไอกระหายเลือดชั่วร้ายที่อยู่รอบตัวจางๆ ต่างแสดงให้เห็นว่าเด็กตรงหน้าเป็นสัตว์ร้ายที่โหดเหี้ยมสามารถโจมตีคุณได้ในวินาทีถัดมา
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้…” หลิงหลานรีบถูแก้มตัวเอง อยากให้สีหน้าของตัวเองอ่อนโยนลงมา ถ้าหากออกไปแบบนี้จะต้องทำให้มารดาเธอตกใจกลัวแน่นอน ต่อให้ไม่ได้ทำให้มารดากลัว แต่ถ้าทำให้พวกคนรับใช้ บอดี้การ์ดกลัวก็ไม่ดีเช่นกัน
ในที่สุดหลิงหลานก็เก็บพวกไอปีศาจเอาไว้ได้ภายใต้ความช่วยเหลือของเสี่ยวซื่อ เธอพยายามฉีกยิ้มออกมา ก่อนที่หลิงหลานจะพบว่าหลิงหลานที่ไม่มีพิษมีภัยในสมัยก่อนได้กลับมาแล้ว เธอค่อยบอกลาเสี่ยวซื่อด้วยความพึงพอใจก่อนจะกลับไปที่โลกของตัวเอง
เสี่ยวซื่อโบกมือทั้งสองข้างไปส่งหลิงหลานด้วยความกระตือรือร้น เมื่อเห็นร่างของหลิงหลานหายไปแล้ว เสี่ยวซื่อก็ค่อยเลิกประคองร่างกายตัวเองและล้มลงไปที่พื้นทันที เขาเช็ดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ต่อให้ตีเขาจนตาย เขาก็ไม่มีทางบอกหลิงหลานว่า เขาเป็นคนปรับเวลาของมิติจำลองให้นานที่สุด…
เอาล่ะ ความจริงแล้วการที่หลิงหลานอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์แล้วกลับออกมาไม่ได้นั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่อาจารย์หมายเลขหนึ่ง หากแต่อยู่ที่การคิดเองเออเองของเสี่ยวซื่อ พูดได้แค่เพียงหลิงหลานมีเพื่อนโง่ๆ อย่างเสี่ยวซื่อก็ถือว่าเธอซวยไป น่าฉลองยกใหญ่แล้วจริงๆ ที่เธอไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน
พอกลับมาที่โลกความเป็นจริง เนื่องจากหลิงหลานเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีแล้ว เธอเก็บไอชั่วร้ายไปก็ดูอ่อนแอเหมือนกับในเวลาปกติ ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม วันที่สองหลิงหลานก็ยื่นคำขอกับพ่อบ้านหลิงฉินว่าเธออยากทำการฝึกฝนต่อสู้จริง
แน่นอนว่าข้ออ้างที่เธอยื่นคำขอก็คือในการสอบรอบสุดท้ายมีการสอบต่อสู้จริงกับผู้คุมสอบ และเนื่องจากเธอไม่เคยสัมผัสการต่อสู้จริงแบบนี้มาก่อน ความสามารถที่แสดงออกมาในการสอบเลยไม่ได้ดีมาก และก็ไม่อาจได้รับคะแนนสูง น่าเศร้าที่สุดท้ายเธอเข้าสู่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือด้วยอันดับที่ 17 เท่านั้น
หลิงหลานคิดว่าเธอไม่อาจหย่อนยานได้ บางทีหลังจากที่เข้าสถาบันลูกเสือแล้ว การต่อสู้จริงก็คือวิชาเฉพาะ และเธอไม่อยากเสียหน้าอีกครั้ง ดังนั้นเธออยากฉวยโอกาสที่ยังไม่ได้เปิดเทอมทำการฝึกฝนต่อสู้จริงล่วงหน้าไปก่อนหนึ่งก้าว
ความจริงแล้ว นี่เป็นการจัดการของอาจารย์หมายเลขหนึ่ง เป้าหมายคือเพื่อแก้ไขปัญหาไอชั่วร้ายบนตัวของหลิงหลาน
ไอชั่วร้ายเป็นสิ่งที่ไม่อาจฝืนเก็บได้บ่อยๆ นี่จะสร้างความเสียหายให้กับร่างกายของหลิงหลาน เป็นอันตรายอย่างมากถึงขนาดที่จะส่งผลต่อการเติบโตในอนาคต นอกเสียจากจะไปถึงขั้นยอดฝีมือที่ผ่านศึกมานับร้อยเหมือนกับพวกอาจารย์ที่เก็บหรือปล่อยไอชั่วร้ายได้อย่างอิสระถึงจะไม่มีปัญหาเรื่องอันตรายแอบแฝง
คำขอของหลิงหลานทำให้หลิงฉินตื่นเต้นมาก สิ่งที่ผู้อาวุโสชอบเห็นมากที่สุดก็คือคนรุ่นเยาว์ที่ตัวเองเอาใจใส่มีปณิธานสามารถอยู่เหนือกว่าคนอื่นในอนาคต เขาเรียกนักรบที่ดีที่สุดของตระกูลหลิงกลับมาอย่างไม่ลังเลเพื่อให้รับหน้าที่เป็นคู่ซ้อมของนายน้อยโดยเฉพาะ
ด้วยเหตุนี้เอง หลิงหลานจึงเริ่มทำการเคี่ยวกรำตัวเองในหนึ่งเดือนก่อนเปิดเทอมนี้
ตอนกลางวันเธอต่อสู้กับนักรบที่ตระกูลหลิงจัดเตรียมมา ตอนกลางคืนก็ถูกอาจารย์หมายเลขเก้าทารุณอย่างไร้ความเมตตา ระดับของหลิงหลานในตอนนี้ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะให้อาจารย์หมายเลขหนึ่งลงมือทารุณ…
ไอชั่วร้ายที่หลิงหลานควบคุมมาตลอดก็เริ่มไหลซึมออกมาช้าๆ ภายใต้การต่อสู้อย่างดุเดือดที่หมุนเวียนทั้งกลางวันและกลางคืน และค่อยๆ เก็บงำไปทีละนิด ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยในที่สุด จนสุดท้ายขอเพียงหลิงหลานมีความตั้งใจจะสังหาร ไอชั่วร้ายถึงค่อยเผยออกมาเล็กน้อย
เพราะการจัดการอย่างเหมาะสมของหมายเลขหนึ่ง ถึงทำให้หลิงหลานผ่านวิกฤติถูกคนค้นพบความลับมาได้อย่างปลอดภัย ในขณะเดียวกันก็เหลืออีกเพียงสองวันก่อนเข้าเรียนสถาบันลูกเสือ
…………………………………………….