หลิงฉินได้ยินคำพูดของหลิงอวี่ ท่าทีก็อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เขาส่ายศีรษะถอนหายใจกล่าวว่า “นายก็นะ ทำไมถึงไม่พูดอะไรเลยและก็แบกความผิดไว้ที่ตัวเองด้วยล่ะ ไอ้หนูหัว อย่าบีบตัวเองมากเกินไป ครั้งนี้พวกนายยังมาทันเวลา ไม่อย่างนั้นคนแก่อย่างฉันก็คงถูกจัดการที่นี่แล้ว”
หลิงหัวเป็นคนที่หลิงฉินอบรมสั่งสอนมากับมือ ดังนั้นเขาถึงได้รักมากและตำหนิมาก หลิงฉินคาดหวังหลิงหัวเอาไว้สูงมาก เขาอบรมสั่งสอนหลิงหัวให้เป็นผู้สืบทอดของเขา นั่นก็คือหวังว่าหลังจากที่เขาตายแล้ว หลิงหัวจะรับช่วงต่อตำแหน่งของเขาได้ คุ้มครองตระกูลหลิง ปกป้องหลิงหลาน รวมไปถึงลูกของเธอต่อไป
อย่างไรก็ตาม บางทีหลิงฉินอาจจะเข้มงวดกับเขามากเกินไป ทำให้หลิงหัวยิ่งมีนิสัยเก็บตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าอะไรก็เก็บเอาไว้ในใจ ต่อให้ถูกกล่าวหาก็ไม่ยอมพูดสักประโยค แบกรับความผิดเอาไว้เงียบๆ
คราวนี้หลิงหัวก็ยังคงเป็นแบบนี้ ถึงแม้ว่าหลิงอวี่จะอธิบายเรื่องราวเพื่อเขา หลิงฉินเองก็ไม่ได้ตำหนิมากนัก แต่เขาก็ยังคงข้ามด่านนี้ของตัวเองไปไม่ได้ เขาเอ่ยว่า “ขอโทษครับ อาจารย์ ผมทำให้คุณผิดหวังแล้ว”
ดวงตาพยัคฆ์ของหลิงหัวคู่นั้นมีความเจ็บปวดและกล่าวโทษตัวเอง ความเลินเล่อและความผิดพลาดของเขาในครั้งนี้แทบจะก่อความผิดร้ายแรงแล้ว ทำให้เขาละอายใจอย่างที่ไม่มีอะไรมาเทียบได้
หลิงอวี่คิดว่าเขาไม่สามารถให้หัวหน้าทีมของตัวเองเป็นแบบนี้ต่อไปได้ ความกดดันที่หัวหน้าแบกรับไว้นั้นหนักมากเกินไปแล้ว เขามองไปทั่วๆ ทว่าไม่พบร่างของหลิงหลาน เขาก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างมากว่า “ผู้อาวุโสฉิน เกิดอะไรขึ้น คุณชายหลานละครับ? ทำไมถึงไม่เห็นคุณชายหลาน เกิดเรื่องขึ้นหรือเปล่าครับ”
หลิงฉินรีบเอ่ยปลอบขวัญว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร คุณชายหลานปลอดภัยดี เขากำลังซ่อนตัวอยู่!”
เขาหันหน้ามองไปที่หลิงหัว เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายหลานฉลาดมาก และก็เยือกเย็นมากเช่นกัน ฉันเชื่อว่าเขาจะไม่ด้อยไปกว่าผู้นำตระกูลหลิงคนไหนเลย นายจะชอบเขา”
น้ำเสียงของหลิงฉินดูเย่อหยิ่งภาคภูมิใจในตนเอง ความเยือกเย็นและความสงบนิ่งที่หลิงหลานแสดงออกมาในช่วงเวลาวิกฤติยอดเยี่ยมมากเกินไปแล้วจริงๆ เกรงว่าต่อให้เป็นหลิงเซียวพ่อของหลิงหลานในวัยหกขวบก็อาจจะสู้หลิงหลานไม่ได้
ถึงแม้ว่าหลิงฉินกับหลิงหลานจะกระโดดออกมาจากในรถด้วยกัน ทว่าหลิงฉินยังคงแบ่งความสนใจสังเกตการกระทำของหลิงหลานไปด้วย กลัวว่าหลิงหลานจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกและเลือกทำอะไรผิดพลาด ไม่นึกว่าการกระทำของหลิงหลานจะทำให้เขาตื่นเต้นดีใจไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นเลือกสิ่งของกำบังกลางอากาศ หรือว่าจัดการจุดร่อนลงสุดท้ายต่างก็เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ กลับกลายเป็นว่าจนถึงตอนสุดท้ายจุดที่หลิงฉินเลือกซ่อนตัวกลับถูกค้นพบเสียเอง ท้ายที่สุดเขาก็ได้แต่อาศัยการต่อสู้สุดชีวิตเพื่อหวังจะมีโอกาสรอดเท่านั้น
หลิงฉินยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดี รอยยิ้มบนใบหน้าก็ยิ่งกดลึกขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน บางทีความรักของปู่ย่าอาจจะเป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติ มันทำให้ผู้สูงอายุยิ่งใจอ่อนและรักทะนุถนอมคนรุ่นหลานได้ง่ายขึ้น หลิงฉินเลือกที่จะลืมว่าตอนที่หลิงเซียวอายุหกขวบก็ถูกบิดาของเขาโยนเข้าไปในป่าชัฏเพื่อฝึกฝนเอาชีวิตรอด ความเยือกเย็นและความแข็งแกร่งทรหดในการรับมือกับวิกฤตินั้นย่อมไม่ด้อยไปกว่าหลิงหลานในตอนนี้แน่นอน
หลิงหัวได้ยินคำพูดของหลิงฉิน ดวงหน้าก็เผยความประหลาดใจ อย่างไรก็ตาม เขาก็กลับคืนสู่ความสงบนิ่งรวดเร็วมากและเอ่ยถามว่า “อาจารย์ ถ้างั้นตอนนี้คุณชายหลานอยู่ที่ไหนครับ”
หลิงฉินส่งสัญญาณให้พวกเขาตามเขามา ทั้งสามคนเดินผ่านพุ่มไม้หลายแห่งก่อนจะมาถึงที่ราบรกร้างผืนนั้น ที่ราบที่เฆี่ยนม้าห้อเหยียดได้ตรงหน้าพวกเขาไม่มีของสิ่งใดมากำบังได้เลย
หลิงหัวที่เป็นผู้ใหญ่สุขุมเห็นทิวทัศน์นี้ก็ไม่ได้กระโตกกระตาก แต่อดทนรอพ่อบ้านหลิงฉินไขข้อสงสัย แต่หลิงอวี่ที่อายุน้อยกลับอดทนไม่ไหว เขาเอ่ยถามด้วยความสับสนว่า “ผู้อาวุโสฉิน ที่นี่ซ่อนคนไม่ได้เลยนะครับ คุณพาพวกเรามาที่นี่ทำไม ดูวิวเหรอ ดินเหลืองมีอะไรน่าดูกัน หาตัวคุณชายหลานกันก่อนเถอะครับ พวกเราคุ้มครองอยู่ใกล้ๆ ถึงจะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น”
ความหมายในคำพูดของหลิงอวี่ก็คือให้พ่อบ้านหลิงฉินเลิกล้อพวกเขาเล่นได้แล้ว หาตัวคุณชายหลิงหลานเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
หลิงฉินจ้องมองด้วยความหงุดหงิดแวบหนึ่ง เขาตบศีรษะของหลิงอวี่ด้วยความไม่สบอารมณ์และกล่าวอย่างฉุนเฉียวว่า “ไอ้เด็กเวร ฉันดูไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้นเลยเหรอ ให้ตายสิ ไม่รู้เรื่องก็อย่าพูด น่าขายหน้าชะมัด! นายเดินตามฉันมาก็พอ”
หลิงฉินพาชายสองคนเดินไปข้างหน้าต่อ ในปากก็ยังบ่นว่า “จริงๆ เลย นายติดตามหัวหน้าของนายมาสองสามปีแล้วนะ ทำไมถึงไม่เรียนรู้ความสุขุมหนักแน่นมาสักนิด ยังใจร้อนแบบนี้…” หลิงฉินไม่เข้าใจอยู่บ้าง หลิงหัวเยือกเย็นขนาดนี้ หลังจากที่หลิงอวี่ซึมซับอิทธิพลจากสภาพแวดล้อมมาสองสามปี นิสัยของเขาก็ควรจะตกตะกอนได้แล้ว ทำไมจนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงอยู่ไม่สุขแบบนี้ ต่อไปเขาจะรับตำแหน่งของหลิงหัวกลายเป็นหัวหน้าหน่วยหุ่นรบได้อย่างไร
หลิงอวี่ที่อยู่ด้านหลังหลิงฉินทำหน้าตรอมตรม เขาขยิบตาให้กับหัวหน้าของตัวเองราวกับกำลังถามว่า ผู้อาวุโสฉินเป็นคนขี้บ่นแบบนี้มาตลอดเลยหรือเปล่า
หลิงหัวยิ้มขื่น สายตาบ่งบอกว่าหลิงอวี่ก็ทนแบบนี้ไปเถอะ ส่วนเขาก็ชินเสียแล้ว
ในที่สุดหลิงฉินก็เดินมาถึงจุดที่ถูกหลิงหลานใช้แผ่นเหล็กมากำบังร่างกายเธอไว้ เขาหัวเราะหึๆ พลางเอ่ยถามชายสองคนที่อยู่ด้านข้างว่า “พวกนายสังเกตเห็นอะไรไหม”
หลิงหัวมองแผ่นเหล็กชิ้นนั้น แววตาก็เปล่งประกาย สีหน้าดูกำลังครุ่นคิด ส่วนหลิงอวี่กลับทำหน้ามึนงงราวกับไม่เข้าใจความหมายของพ่อบ้านหลิงฉิน ตรงหน้าก็คือพื้นที่ราบขรุขระชัดๆ ต่อให้ด้านบนมีแผ่นเหล็กเล็กๆ คลุมไว้ก็เปลี่ยนผลนี้ไปไม่ได้ ที่นี่ไม่สามารถซ่อนตัวคนได้เลย มีคนที่บางเหมือนกับกระดาษได้ด้วยหรือไง
หลิงหัวคุกเข่าลงและแตะแผ่นเหล็กนั้น “คุณชายหลานน่าจะอยู่ข้างใต้สินะครับ เป็นสถานที่ดีตามที่คาดคิดไว้จริงๆ คุณชายหลานฉลาดมาก”
หลิงฉินได้ยินคำพูดของหลิงหัว รอยยิ้มก็ยิ่งดูมีความสุขมากขึ้น ดวงหน้าที่เดิมทียังไม่มีริ้วรอยอะไรก็ถูกรอยยิ้มของเขาทำให้มีชีวิตชีวาราวกับดอกไม้แย้มบานทันที “ไม่ผิด คุณชายหลานอยู่ข้างใต้” เขาคุกเข่าลงเช่นกัน จากนั้นก็เคาะแผ่นเหล็กนั้นเบาๆ พลางกล่าวว่า “คุณชายหลาน ปลอดภัยแล้วครับ รีบออกมาเถอะ”
แผ่นเหล็กยังคงไม่ขยับสักนิดเดียว ราวกับข้างใต้ไม่มีใครอยู่จริงๆ ในขณะที่หลิงอวี่คิดว่าพ่อบ้านหลิงฉินแก่เลอะเลือนจนจำสถานที่ผิด แผ่นเหล็กนั้นก็ขยับเองจริงๆ มันเลิกขึ้นน้อยๆ จนเผยรอยแยกกับพื้นที่เล็กสุดขีด
ถึงแม้ว่ารอยแยกนั้นจะเล็กมากจริงๆ แต่หลิงอวี่ยังคงสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของแผ่นเหล็กอยู่ดี เขาทำหน้าประหลาดใจ ไม่นึกว่าข้างใต้นี้จะมีคนอยู่จริงๆ
เมื่อหลิงหลานเห็นคนที่อยู่ด้านนอกเป็นหลิงฉิน เธอก็เลิกแผ่นเหล็กที่บังตัวออกด้วยสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นก็คลานออกมาจากแผ่นเว้าทันทีก่อนจะกอดหลิงฉินไว้ ร่างกายเล็กๆ ของเธอสั่นเทา
หลิงฉินถอนหายใจเฮือกหนึ่งและกอดร่างเล็กๆ ของหลิงหลานไว้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะแสดงออกได้อย่างเยือกเย็นและทำการตัดสินที่ถูกต้องอย่างมากในช่วงเวลาวิกฤติ แต่ถึงอย่างไรอายุของเธอก็ยังน้อย ช่วงเวลาความเป็นความตายเมื่อสักครู่นี้ทำให้เธอตกใจกลัวแล้ว
หลิงหัวกับหลิงอวี่เห็นสภาพพื้นด้านล่างแผ่นเหล็กก็ค่อยเข้าใจว่าทำไมหลิงหลานถึงซ่อนตัวอยู่ข้างใต้แผ่นเหล็กชิ้นนี้ได้ ที่แท้บนพื้นมีแอ่งลึกรูปคนอยู่ ทำให้ตัวของหลิงหลานฝังอยู่ด้านในได้ทั้งหมดและราบรื่นโดยไม่มีสะดุด แผ่นเหล็กแนบกับพื้นทำให้คนเข้าใจผิดว่านี่เป็นพื้นราบและมองข้ามแผ่นเหล็กพวกนี้ไป
หลิงหัวเหลือบมองหลิงหลานด้วยความสับสน นี่อาจจะเป็นแอ่งเว้าที่หลิงหลานใช้แรงกระแทกออกมาในชั่วพริบตาที่ร่วงลงสู่พื้น ไม่ว่าจะเป็นพละกำลัง หรือว่าการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า ต่างก็บ่งบอกว่านายน้อยของพวกเขาไม่ธรรมดามากๆ มิน่าพ่อบ้านหลิงฉินถึงได้ภาคภูมิใจขนาดนี้ ตระกูลหลิงมีหลิงหลานก็ไม่มีทางตกต่ำลงแล้ว
อย่างไรก็ตาม สุดท้ายเธอยังทำตัวสงบนิ่งอย่างไร้ร่องรอยไม่ได้เนื่องจากอายุน้อย ตอนนี้เธอเริ่มนึกกลัวในภายหลังแล้ว
หลิงหลานเหมือนกับถูกพ่อบ้านหลิงฉินปลอบขวัญ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ดวงหน้าก็เรียบนิ่งแล้ว ภายในดวงตาคู่นั้นไม่มีความหวาดกลัวที่เขาเห็นในตอนแรกหลงเหลืออยู่ หลิงหัวผงกศีรษะเงียบๆ คุณชายหลานของเขามีความอดทนทางด้านจิตใจที่ดีเยี่ยม และเก่งกาจเรื่องการปรับอารมณ์ของตัวเอง เขาสืบทอดยีนที่ยอดเยี่ยมของผู้นำตระกูลหลิงเซียวจริงๆ เขาเชื่อมั่นว่าอีกหลายปีให้หลัง หลิงหลานจะต้องกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาได้แน่นอน และอาจจะถึงขนาดกลายเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันก็ได้…
หลิงหัวยิ้มน้อยๆ อย่างเป็นมิตรให้กับหลิงหลาน เขาไม่ใช่คนที่สันทัดเรื่องการพูดจา และก็ไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับเด็กคนหนึ่งอย่างไร แต่ว่ารอยยิ้มย่อมไม่เลวอยู่แล้ว
หลิงหลานจ้องมองเขาอย่างสงสัย เธอยื่นมือไปดึงชายเสื้อของพ่อบ้านหลิงฉิน บอกใบ้พ่อบ้านหลิงฉินให้แนะนำชายสองคนตรงหน้าแก่เธอว่าเป็นใคร
หลิงฉินชี้ไปที่หลิงหัวพลางเอ่ยว่า “เขาชื่อหลิงหัว เป็นผู้คุ้มกันของตระกูลหลิง หัวหน้าหน่วยหุ่นรบของตระกูลหลิง รับหน้าที่คุ้มครองผู้นำตระกูลให้ปลอดภัยเวลาออกไปทำงานข้างนอก ครั้งนี้เขารับผิดชอบพาหน่วยรบปกป้องพวกเราอย่างลับๆ ครับ” หลังจากนั้นก็ชี้ไปยังหลิงอวี่ที่อยู่ด้านข้างซึ่งกำลังวางท่าให้ดูเป็นพี่ชายที่สนิทสนมกับหลิงหลาน และพูดว่า “ไอ้หนูนี่ชื่อหลิงอวี่ เป็นสมาชิกทีมของหน่วยรบ คุณชายหลานเลือกเมินเขาไปก็ได้ครับ” หลิงอวี่มีนิสัยอยู่ไม่สุขแบบนี้ หลิงฉินกลัวว่าหลานสนิทสนมกับเขามากไปจะติดนิสัยเอาได้ ดังนั้นเขาเลยอยากจับแยกตั้งแต่เริ่มแรก
หลิงหลานผงกศีรษะให้กับหลิงหัว หลังจากนั้นก็เอ่ยถามพ่อบ้านหลิงฉินว่า “หน่วยหุ่นรบเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ถึงได้ไม่ตามพวกเรามา”
หลิงอวี่แลบลิ้นด้วยความประหลาดใจ “คุณชายหลาน คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเราเจอปัญหา”
หลิงหลานกลอกตาด้วยความไม่สบอารมณ์ และกล่าวด้วยความเหยียดหยามว่า “ไม่งั้นพวกนายจะมาถึงช้าขนาดนี้เหรอ”
แววตาของหลิงหัวเปล่งประกายฉับพลัน เขาหลุบเปลือกตาลงอย่างรวดเร็วเพื่อซ่อนความคิดทุกอย่างของเขาไว้
หลิงอวี่ใคร่ครวญแล้วก็เห็นด้วย ในเมื่อหน่วยรบของตระกูลหลิงชักช้าขนาดนี้จนไม่อาจให้การช่วยเหลือ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าพวกเขาจะต้องถูกศัตรูล่อให้ติดกับ ทำไมเขาถึงได้โง่ขนาดนี้นะ ถูกเด็กอายุหกขวบดูถูกเข้าแล้ว
เขาได้แต่ขยี้จมูกด้วยความกระดากอาย แสร้งทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับการดูถูกของหลิงหลาน และตอบด้วยความเอาจริงเอาจังว่า “ตอนที่พวกเราเพิ่งผ่านเมืองชียา เข้าไปในทุ่งร้างแห่งนี้ หัวหน้าเป็นคนแรกที่พบว่ามีหุ่นรบทีมหนึ่งกำลังลอบตามหลังคุณชายหลาน หัวหน้าส่งพวกหลิงเจ๋อสามคนไปล่อหุ่นรบทีมนั้นเพื่อรับรองความปลอดภัยของคุณชายหลาน ส่วนผมกับหัวหน้าก็ติดตามอยู่ห่างๆ ต่อไป แต่ไม่นานพวกเราก็พบหุ่นรบอีกทีมที่ตั้งอาวุธ เห็นได้ชัดว่าคิดทำร้ายคุณชายหลาน ผมกับหัวหน้าได้แต่ยิงไปก่อนเพื่อล่อหุ่นรบทีมนั้น…ต่อมาก็โชคดีสลัดพวกมันหลุดไปได้”
หลิงอวี่กล่าวถึงตรงนี้สีหน้าก็ดูไม่ได้อย่างมาก “หลังจากนั้น ผมกับหัวหน้าก็ได้รับการติดต่อ ถึงค่อยพบว่าพวกเราอยู่ห่างคุณชายหลานแล้ว และสูญเสียร่องรอยของคุณชายหลานไปโดยสิ้นเชิง พวกเราค่อยตระหนักได้ว่า เราอาจจะตกเข้าไปในแผนการล่อเสือออกจากถ้ำของฝ่ายตรงข้ามแล้ว พอคิดถึงหุ่นรบพวกนั้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหุ่นรบหรือว่าอุปกรณ์อาวุธต่างก็เหนือกว่าพวกเราทุกอย่าง บางทีหัวหน้าอาจจะยังมีโอกาสหนีรอด แต่ระดับของผมไม่มีโอกาสแน่นอน ทว่าผมกลับหนีรอดมาได้…”
หลิงอวี่สลดใจอย่างมาก เขาก้มหน้าลง หงุดหงิดที่ตัวเองไม่อาจตระหนักถึงความผิดปกติได้ทันเวลา และเกือบจะทำให้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหลิงเกิดเรื่องแล้ว ถ้าหากเขารู้เจตนาของอีกฝ่ายเร็วกว่านี้ ต่อให้เขาต้องต่อสู้จนตัวตายก็จะติดตามคุณชายหลานไป ยิ่งไปกว่านั้นเขายังสามารถยิงพลุสัญญาณเรียกพวกคนในทีมให้รีบมารวมตัวช่วยเหลือได้
หลิงหัวเองก็ตำหนิตัวเองอย่างมาก การกระทำครั้งนี้เป็นความผิดของเขาทั้งหมด ถ้าไม่ใช่เพราะเขาตัดสินใจผิดพลาด ทำให้เขาเลือกปฏิบัติการผิดละก็ หลิงหลานกับหลิงฉินคงไม่ตกอยู่ในสภาพจนตรอกแทบจะต่อสู้จนตายแบบนี้
หลิงหลานได้ยินคำพูดของหลิงอวี่ ดวงหน้าเล็กๆ ก็เผยความหนักแน่นจริงจังออกมา “นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ฝ่ายตรงข้ามวางแผนเชื่อมโยงเป็นขั้นเป็นตอน ต่อให้พวกนายรู้สึกตัวและรีบมาแต่แรก เกรงว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย บางทีอาจจะบีบให้อีกฝ่ายลงมือโหดเหี้ยม ตอนนี้ก็ปลอดภัยแล้ว ทุกคนมีชีวิตรอด เป็นเรื่องดีแล้วไม่ใช่เหรอ ขอเพียงมีชีวิตรอดถึงจะมีความหวัง ถึงจะสามารถทำเรื่องที่ตัวเองอยากทำได้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อคุ้มครอง หรือเพื่อล้างแค้น…”
หลิงหลานมองไปที่หลิงอวี่อย่างตักเตือน “ฉันหวังว่าคนตระกูลหลิงจะไม่ใช่คนปัญญาทึบหรอกนะ…” เธอมองออกว่าในแววตาของหลิงอวี่มีความคิดที่ต้องการจะต่อสู้จนตัวตายอยู่ บางทีการตำหนิตัวเองอย่างหงุดหงิดทำให้เขาอยากใช้การกระทำแบบนี้มาชดเชยความรู้สึก ทว่าหลิงหลานรังเกียจการกระทำที่ไร้สมองแบบนี้สุดขีด ผู้คุ้มกันของเธอจะกลายเป็นคนแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ถึงแม้ว่าคำพูดของหลิงหลานจะไม่มีมารยาทอยู่บ้าง แต่หลิงฉินรู้สึกพอใจมากๆ คำพูดของหลิงหลานมีความอ่อนโยนและหนักแน่น ไม่ได้สูญเสียความน่าเกรงขามที่ผู้นำตระกูลควรมี และก็ไม่ได้ระบายความแค้นที่คนอื่นอย่างไร้เหตุผล เข้าใจการประนีประนอมสร้างบุญคุณ คราวนี้หลิงหัวกับหลิงอวี่น่าจะยอมรับเจ้านายหลิงหลานได้อย่างแท้จริง
ถึงแม้ว่าผู้คุ้มกันของตระกูลหลิงจะจงรักภักดีต่อผู้นำตระกูลหลิงคนปัจจุบันจากรุ่นสู่รุ่น แต่ถ้าต้องการจะให้พวกเขาเอาชีวิตมาปกป้องคุ้มครอง ยังต้องได้รับการยอมรับจากพวกเขาด้วย นี่เป็นธรรมเนียมและกฎประจำตระกูลของตระกูลหลิงมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตามคำพูดของบรรพบุรุษ ถ้าหากปราบพวกผู้คุ้มกันของตระกูลหลิงที่หัวแข็งดื้อรั้นไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องคิดเรื่องสร้างเนื้อสร้างตัวเลย ควรจะทำตัวดีๆ อยู่ในบ้าน รับหน้าที่แต่งงานมีลูกสืบสกุล และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายธรรมดาไปชั่วชีวิตเถอะ
ตระกูลหลิงใช้การปราบผู้คุ้มกันให้เป็นเส้นทางทดลองออกสู่โลกกว้าง ถ้าหากทำสำเร็จก็จะได้รับอนุญาตให้ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันออกไปสร้างเนื้อสร้างตัวในโลกภายนอกได้ ถ้าหากล้มเหลวก็จะต้องล้มเลิกความตั้งใจและอยู่ในบ้านรักษาทรัพย์สินของตระกูลไว้ก็พอ
หลิงอวี่มีสีหน้าตื่นเต้นตามที่คาดไว้จริงๆ แววตาไม่ได้ดูเศร้าซึมอีกต่อไป หากแต่เปล่งประกายอย่างหาใดเปรียบ เขากลายเป็นผู้คุ้มกันของหลิงหลานอย่างแท้จริง ไม่ใช่ผู้คุ้มกันของตระกูลหลิงแล้ว
……………………………………………….