“มีแค่พวกเราเท่านั้นที่รู้” หานจี้จวินชิงตอบก่อน
สีหน้าของหลิงหลานอ่อนลงทันที สถานการณ์ยังไม่นับว่าแย่มากเกินไป ตอนนี้หลิงหลานยังไม่ได้ตระหนักว่าในใจเธอยอมรับเด็กพวกนี้แล้วจริงๆ ดังนั้นจึงไม่สนใจว่าเด็กพวกนี้จะรู้เรื่องนี้
หานจี้จวินสังเกตสีหน้าของหลิงหลานอย่างละเอียด มุมปากของเขายกขึ้นน้อยๆ การแสดงออกของหลิงหลานทำให้เขาดีใจมาก นี่บ่งบอกว่าอีกฝ่ายเองก็ยอมรับพวกเขาแล้ว
ฉีหลง ลั่วล่างและคนอื่นๆ ไม่ได้ครุ่นคิดละเอียดอ่อนอย่างหานจี้จวิน พวกเขาล้อมหลิงหลานด้วยสีหน้าเปล่งประกาย สอบถามความรู้สึกของหลิงหลานที่นั่งหุ่นรบเข้ามาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ตอนที่พวกเขาถามคำถามข้อนี้ หลิงหลานรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง เนื่องจากเธอไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี พูดไม่ได้เป็นอันขาดว่าเธอหมดสติไป
ไม่ได้ เพื่อที่จะปกป้องภาพลักษณ์ที่เจิดจ้าของเธอ เธอจะเผยจุดอ่อนข้อนี้ออกมาไม่ได้เป็นอันขาด
หลิงหลานกล่าวอย่างคลุมเครือว่า “รอวันข้างหน้าพวกนายขึ้นหุ่นรบด้วยตัวเองก็จะเข้าใจ”
พวกฉีหลงได้ยินก็ทำหน้าผิดหวังแน่นอน หลิงหลานก็รู้สึกเหมือนไม่รับผิดชอบต่อพวกเด็กๆ ที่เคารพยกย่องเธออยู่บ้าง ดังนั้นก็เลยเอ่ยเสริมว่าของบางอย่าง ถ้าคนอื่นบอกนายไป มันก็เป็นของคนอื่นไปตลอดกาล มีเพียงสัมผัสด้วยตัวเองเท่านั้นถึงจะเป็นของตัวเอง
คำพูดนี้ฟังดูมีระดับอยู่บ้าง ดวงตาของพวกฉีหลงส่องประกายออกมาราวกับว่าถูกเปิดอะไรบางอย่าง พวกเขาถูกคำพูดลึกซึ้งของหลิงหลานที่มีบุคลิกของยอดฝีมือทำให้เลื่อมใสอีกครั้ง
เมื่อเห็นพวกเด็กๆ ตรงหน้าทำหน้ายกย่อง แม้กระทั่งหานจี้จวินที่ชาญฉลาดก็ทำตาส่องประกายด้วยความตื่นเต้นยินดี สุดท้ายหลิงหลานก็นิ่งเฉยไม่ได้ และลอบปาดเหงื่ออย่างบ้าคลั่ง
เธอไม่มีความคิดหลอกลวงเด็กเล็กๆ เลยนะ ทำไมถึงเพิ่มค่ายกย่องที่พวกเด็กๆ มีต่อเธออีกล่ะ
พวกฉีหลงกับลั่วล่างปล่อยหัวข้อเรื่องหุ่นยนต์นี้ไปในที่สุด พวกเขาเริ่มพูดกันเองเกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองทำในบ้านหลังจากที่สอบเสร็จ เด็กพวกนี้กลับไปแล้วก็พยายามฝึกฝน ดูท่าหลิงหลานมอบแรงกระตุ้นให้พวกเขาอย่างมาก
เมื่อถามหลิงหลานว่าหนึ่งเดือนมานี้เป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาก็แปลกใจที่เห็นดวงหน้าเล็กๆ ของหลิงหลานขาวซีด สุดท้ายก็พูดอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ยังจะเป็นยังไงได้ล่ะ ก็ฝึกฝนเหมือนกับพวกนายไง”
ลั่วล่างกับหานจี้จวินรู้ว่าการฝึกฝนนี้ย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน ไม่อย่างนั้นหลิงหลานคงไม่มีท่าทีเหมือนถูกทรมาน มีเพียงฉีหลงเท่านั้นที่ไม่รู้สึกถึง และเอ่ยถามหลิงหลานต่อว่าฝึกฝนอย่างไรกันแน่
หลิงหลานตอบเสียงอ่อนว่า “ได้รับประสบการณ์ความรู้สึกว่าตายยังไง ตายในรูปแบบต่างๆ นายอยากลองไหมล่ะ”
คำพูดของหลิงหลานที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความตายทำให้ฉีหลงที่ไม่สนใจอะไรรู้สึกหนาวยะเยือกไปทั่วร่างกายทันที ไม่กล้าพูดอะไรอีก ไม่เพียงเท่านั้น ลั่วล่างกับหานจี้จวินยิ่งอยู่ห่างจากหลิงหลาน กลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พวกเขาเชื่อว่าที่หลิงหลานพูดมาเป็นความจริงแน่นอน…เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ถึงไอชั่วร้ายที่แผ่ออกมาจากตัวหลิงหลาน นี่ไม่ใช่สิ่งที่สามารถได้มาจากการอาศัยการฝึกฝนทั่วไป
………
พวกหลิงหลานจัดการขั้นตอนและเลือกวิชาอย่างรวดเร็ว เนื่องจากหลิงหลานเรียนแบบไปกลับ ดังนั้นเธอจึงพยายามบีบวิชาที่เลือกให้มารวมกันมากที่เท่าที่จะทำได้ น่าเสียดายที่ต่อให้เป็นแบบนี้ เธอก็ว่างได้แค่วันพุธวันเดียวเท่านั้น เพราะว่าบางวิชาจะต้องเข้าหลายวันต่อหนึ่งอาทิตย์ อยากจะหนีก็หนีไม่ได้ จากนั้นพวกเขาก็ไปที่แผนกพลาธิการเพื่อรับชุดเครื่องแบบสองชุดของตัวเอง
วันนี้เป็นวันลงทะเบียน ทางสถาบันไม่ได้จัดเตรียมวิชาเรียนไว้ เพียงแต่ให้พวกเด็กๆ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของโรงเรียนรวมไปถึงสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบวงจร หลิงหลานเองก็ฉวยโอกาสนี้ไปเดินเล่นที่หอพักของฉีหลง ลั่วล่างและหานจี้จวินทั้งสามคน ถึงแม้ว่านักเรียนห้องพิเศษสามารถเลือกเรียนแบบไปกลับได้ แต่ว่าแทบจะไม่มีนักเรียนของห้องพิเศษคนไหนที่เลือกไปกลับ ดังนั้นสิทธิพิเศษข้อนี้จึงถูกพวกนักเรียนจัดให้เป็นสิทธิพิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่จอมปลอมและไร้ประโยชน์มากที่สุดใน BBS[1] ของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ
พวกฉีหลงสามคนพักอยู่ด้วยกันเป็นบ้านพักชุดหนึ่ง ควรจะพูดว่า ขอเพียงเป็นนักเรียนห้องสเปเชียลเอ เมื่อเข้าโรงเรียนก็จะจัดบ้านพักให้ชุดหนึ่ง นี่เป็นหนึ่งในสิทธิพิเศษของนักเรียนห้องสเปเชียลเอ
บ้านพักเรียกได้ว่าหรูหรา นอกจากนี้ยังฟรีอีกด้วย ห้องครัวและห้องนั่งเล่นทั้งหมดถูกติดตั้งไว้ครบครัน นอกจากห้องนอนสามห้องแล้ว ยังมีห้องฝึกฝน ห้องยิม รวมไปถึงแคปซูลล็อกอินที่ให้เฉพาะพวกเด็กๆ ล็อกอินเข้าไปในโลกเสมือนจริงของสถาบันลูกเสือ
สหพันธรัฐควบคุมเรื่องเด็กเข้าไปในโลกเสมือนจริงอย่างเข้มงวดมาก เด็กที่อายุไม่ถึงสิบหกจะได้รับการออนไลน์อย่างจำกัดเท่านั้น เด็กที่ไม่ได้เข้าสถาบันลูกเสือจะไม่มีสิทธิเข้าไปในโลกเสมือนจริง ได้แต่ใช้หน้าจอเปิดดูรายละเอียดข้อมูลของหน้าเว็บเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเด็กๆ เข้าสถาบันลูกเสือได้แล้ว ก็หมายความว่าพวกเขามีโอกาสได้สัมผัสกับโลกเสมือนจริงแล้ว แน่นอนว่ามันได้รับการจำกัด ได้แต่เข้าไปในโลกเสมือนจริงของสถาบันลูกเสือที่ถูกปิดไว้ เมื่ออยู่ในนั้น คนที่พวกเขาสามารถพบปะต่างก็เป็นอาจารย์และเด็กๆ ในสถาบันลูกเสือ พวกเขาสามารถรับการชี้แนะของอาจารย์ และก็แลกเปลี่ยนความรู้กับนักเรียนของสถาบันลูกเสือในโลกเสมือนจริงได้ ทว่ามันจำกัดแค่นี้ นี่เป็นการคุ้มครองที่ทางสถาบันมอบให้เหล่านักเรียน หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเขาพบโลกอันซับซ้อนของผู้ใหญ่เร็วเกินไปจนส่งผลต่อการเติบโตของพวกเขา
สภาพของบ้านพักย่อมอยู่ในระดับชั้นเลิศแน่นอน พูดได้ว่ามันหรูหราสะดวกสบายรวมกันกับเทคโนโลยีระดับสูง ทำให้หลิงหลานจ้องตาเป็นมันไม่หยุด แทบจะบุ่มบ่ามอยากอยู่ประจำในโรงเรียนเหมือนกัน
ส่วนสถานที่ที่เด็กหญิงทั้งสองคนพักอยู่ พวกหลิงหลานไม่ได้ไปดู ถึงแม้ว่าพวกเด็กๆ จะอายุน้อยแต่ก็แบ่งชายหญิง รู้ว่าไม่สามารถเข้าไปในหอพักของผู้หญิงมั่วๆ ได้
เมื่อเด็กหญิงทั้งสองกลับมาหลังจากที่เก็บของของตัวเองเรียบร้อยแล้ว เวลาก็ผ่านไปถึงตอนมื้อเที่ยง ฉีหลงบอกอย่างใจกว้างว่าวันนี้เขาจะเลี้ยงเอง
หลิงหลานที่มีความคิดแบบสามัญชนว่าไม่กินก็น่าเสียดายจึงตอบรับโดยไม่ลังเล ถึงแม้แต้มเครดิตในมือหลิงหลานจะเยอะจนน่าตกใจ หลายปีมานี้เสี่ยวซื่อกลายเป็นนักเขียนออนไลน์ชื่อดัง เล่ากันว่ายังมีแฟนๆ นับ N ที่ติดตามเขาอย่างกระตือรือร้น ถึงแม้ว่าเสี่ยวซื่อจะซื้อยากระตุ้นยีนกลับมาบ้างเป็นครั้งคราว แต่เธอไม่เคยเห็นแต้มเครดิตบนตัวเธอลดลงไปเท่าไร
ห้องอาหารของสถาบันลูกเสือใหญ่มาก มีพื้นที่หลายพันตารางเมตรเต็มๆ บริเวณรอบด้านต่างเป็นอาหารที่จัดให้พวกเด็กๆ เลือกสรร มีเยอะแยะมากมายอย่างคาดไม่ถึง
พวกฉีหลง ลั่วล่างและหานจี้จวินต่างก็เป็นลูกหลานของคนระดับสูงในกองทัพ พวกเขาย่อมไม่ใช่คนที่ขาดแคลนเงิน ในเมื่อเลี้ยงก็ย่อมเลี้ยงอาหารที่ดีสุด หลังจากถามอาจารย์ที่รับหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยอยู่ด้านข้างแล้ว ฉีหลงที่ได้รับคำตอบก็พาทุกคนไปยังมุมหนึ่งอย่างห้าวหาญ ตามที่เล่ามาอาหารตรงนั้นอร่อยและประณีตมากที่สุด ราคาก็ย่อมไม่ถูกเช่นกัน
หลิงหลานเห็นพวกอาหารแต่ละจานต่างใช้เครดิตหนึ่งพันแต้มขึ้นไป เธอคิดว่าควรจะสร้างค่านิยามของฉีหลงใหม่อีกครั้ง หลิงหลานรู้ว่ามูลค่าของแต้มเครดิตในโลกปัจจุบันนี้เท่ากับหนึ่งหยวนในโลกนั้น อาหารที่ถูกที่สุดต้องใช้หนึ่งพันกว่าหยวน…นี่มันทานข้าวที่ไหนกัน นี่ต้องเป็นทานเงินแน่นอน
หลิงหลานตัดสินใจว่าต่อไปเธอจะต้องเก็บเงินของเด็กกลุ่มนี้ไว้ในมือเธอ ไม่ให้พวกเขาสิ้นเปลืองเด็ดขาด
ด้วยเหตุนี้เอง เงินค่าขนมของเด็กทั้งห้าก็ถูกหลิงหลานเก็บใส่กระเป๋าจนหมด และให้หนึ่งพันเครดิตกับทั้งห้าคนเท่านั้น แน่นอนว่าใช้หมดแล้วก็เบิกได้ แต่ต้องแจ้งบัญชีล่วงหน้าก่อน ถ้าเกิดพบว่าพวกเขาใช้มั่วซั่วละก็…เด็กๆ ทั้งห้าคนไม่รู้ผลที่ตามมา เนื่องจากหลิงหลานไม่บอก แต่รอยยิ้มเย็นเยียบบนใบหน้าของหลิงหลานทำให้เด็กทั้งห้ารู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
หานจี้จวินไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรหลิงหลานถึงใส่ใจการใช้เงินแบบนี้ของพวกเขา แต่เขาเชื่อว่าหลิงหลานไม่มีเจตนาร้าย ถึงขนาดที่มีเจตนาลึกล้ำ หรือว่านี่จะให้พวกเขายืนด้วยลำแข้งของตัวเองเหรอ? หานจี้จวินคิดถึงตรงนี้ แววตาก็โชนแสง
เอ่อ เด็กฉลาดก็ชอบคิดฟุ้งซ่าน หลิงหลานไม่ได้คิดอะไรเลย เธอเพียงแต่คิดว่ามันฟุ่มเฟือยมากเกินไป ถึงแม้ตอนนี้หลิงหลานจะอยู่ในครอบครัวที่สามารถใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่ความคิดของสามัญชนที่อยู่ในกระดูกก็ยังคิดว่าสุรุ่ยสุร่ายเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง…
เนื่องจากพวกเด็กๆ รู้ว่าต่อไปจะไม่สามารถกินอาหารดีๆ แบบนี้ได้อีก พวกเขาก็ก้มหน้าก้มตาทานก่อนเตรียมพร้อมที่จะทานอาหารในอนาคต ถึงอย่างไรแต้มเครดิตก็ถูกหลิงหลานโอนไปแล้ว เช่นนี้พวกเขาก็กินๆ ดื่มๆ และพบว่าเด็กอีกสามคนที่อยู่ในการสอบเดียวกันก็มาทานอาหารด้วย ฉีหลงคิดว่าถึงอย่างไรแต้มเครดิตก็ไม่ได้เก็บไว้แล้ว ตอนนี้ไม่ใช้ก็เสียเปล่า ดังนั้นเขาจึงเชิญพวกเขามาทานด้วยกันอย่างใจกว้าง วินาทีต่อมากลุ่มเล็กๆ หกคนก็เปลี่ยนเป็นกลุ่มใหญ่เก้าคนเบียดเต็มโต๊ะกลม
ฉากรื่นเริงคึกคักของพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้คน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มีเพียงเด็กใหม่ นักเรียนเก่ายังต้องรอผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ถึงจะมา ดังนั้นยากมากที่จะเห็นการรวมกลุ่มใหญ่แบบพวกหลิงหลาน แน่นอนว่ามันย่อมนำความอิจฉาเกลียดชังต่างๆ นานามาด้วย
ยกตัวอย่างเช่น คนที่กำลังขมวดคิ้วผู้นี้ เขามองคนพวกนั้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เนื่องจากเขาคิดว่าหลี่จิงหงที่ควรจะเข้าหาเขากลับเลือกออกห่างเขาและไปเข้าร่วมกับอีกฝ่าย นี่ทำให้เขาไม่พอใจมากๆ
“หลี่จิงหง ไม่แนะนำพวกเราให้รู้จักหน่อยเหรอ” ถึงแม้ว่าเขาจะโกรธมาก แต่ก็ยังรักษาความเยือกเย็นไว้ ก่อนที่จะรู้เส้นสนกลของอีกฝ่าย เขาย่อมไม่เปิดศึกมั่วๆ แน่นอน เขาจดจำการอบรมสั่งสอนของตระกูลหลี่ไว้ขึ้นใจ
“หลิงหลาน ฉีหลง ลั่วล่าง…ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” หลี่จิงหงทักทายพวกหลิงหลานด้วยความตื่นเต้น นับตั้งแต่ตอนนี้ไป พวกเพื่อนๆ ที่สอบห้อง 072 ได้มารวมกลุ่มกันทั้งหมด การมาของหลี่จิงหงเองก็ได้รับการต้อนรับจากทุกคน
หานจี้จวินเห็นสีหน้าของเด็กหล่อเหลาที่อยู่ด้านหลังหลี่จิงหงดำทะมึนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ลอบหัวเราะในใจ สีหน้าเหลืออดของหลี่จิงหง รวมไปถึงสีหน้าเย่อหยิ่งของอีกฝ่ายก ก็รู้ว่าหมอนี่ไม่ใช่คนที่เป็นที่ชื่นชอบ
“อะแฮ่ม” ในที่สุดก็อดทนไม่ไหวส่งเสียงเตือนออกไป
หลี่จิงหงทำหน้าได้สติ เขาชี้ไปยังคนที่อยู่ข้างหลังอย่างโอเวอร์และเอ่ยแนะนำให้กับทุกคนว่า “นี่คือหลี่อิงเจี๋ย หลานคนที่สามของผู้นำตระกูลหลี่”
หลี่อิงเจี๋ยรอหลี่จิงหงแนะนำต่อไปด้วยความหยิ่งทะนง แต่น่าเสียดายที่หลี่จิงหงไม่ได้ให้ความร่วมมืออย่างที่เขาจินตนาการไว้ขนาดนั้น เมื่อกล่าวประโยคนี้แล้วก็ไม่มีคำพูดอะไรอีก นี่ทำให้ใบหน้าของหลี่อิงเจี๋ยยิ่งดำมืดจนแทบจะระเบิดออก
ตอนนี้ต่อให้เป็นฉีหลงก็รู้ท่าทีของหลี่จิงหงแล้ว เขาไม่ชอบหลี่อิงเจี๋ยคนนี้มากๆ เพียงแต่เป็นคนตระกูลหลี่เหมือนกัน ไม่อาจทำให้อีกฝ่ายดูแย่มากเกินไปได้ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลหลี่ แต่เขาเป็นแค่ตระกูลสาขา พูดอย่างไรเขาก็เป็นหนึ่งในสมาชิกที่ได้รับการคุ้มครองอยู่ภายใต้ต้นไม้ใหญ่ตระกูลหลี่แห่งนี้
แต่พวกฉีหลงไม่ได้มีความกังวลอย่างหลี่จิงหง ในเมื่อเพื่อนร่วมรบที่เคยผ่านศึกเดียวกันไม่ชอบคนที่กำลังโอ้อวดอยู่ตรงหน้า เช่นนั้นพวกเขาก็ย่อมปักมีดเข้าเอวสองข้าง[2] ช่วยพี่น้องของเขาไล่อีกฝ่ายไป
“หลี่อิงเจี๋ยใช่ไหม สวัสดี! แต่พวกเรากำลังกินข้าวอยู่ ไม่สะดวกทักทายนาย นายตามสบายเถอะ” ฉีหลงไล่โดยไม่ไว้หน้าทำให้หลี่อิงเจี๋ยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน ในตระกูลหลี่ไม่มีใครกล้าทำแบบนี้กับเขา ควรทราบว่า เขาเป็นบุตรอันเป็นที่รักของสวรรค์ ข้อมูลการประเมินในตอนที่เขาเกิดเหนือกว่าญาติผู้พี่ที่เกิดก่อนเขาสองคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของตระกูลหลี่ แต่เขาเชื่อว่าขอเพียงเขาโตขึ้น เขาจะต้องเบียดตำแหน่งญาติผู้พี่ของเขาและเอาสิทธิในการสืบทอดตระกูลหลี่มาได้แน่นอน
“นายอวดดีเกินไปแล้ว” หลี่อิงเจี๋ยกัดฟันกล่าว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาจดจำคำสอนของตระกูลหลี่เอาไว้มั่น เขาก็อยากพุ่งเข้าไปอัดอีกฝ่ายหนักๆ สักยกนานแล้ว
………………………………………
[1] BBS ย่อมาจาก bulletin board system หรือที่แปลว่า ระบบกระดานข่าว เป็นโปรแกรมหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บรายการ หัวข้อ หรือข้อมูลที่สนใจ
[2] ปักมีดเข้าเอวสองข้าง อุปมาว่า ยอมทำทุกอย่างเพื่อเพื่อน