หลิงหลานเคลื่อนไหวแล้ว ลูกน้องสามคนด้านหลังเขาก็ก้ามตามไปข้างหน้า ไม่นานพวกหลิงหลานสี่คนก็มาถึงตรงหน้าหลี่อิงเจี๋ย
“หลินจงชิง ทำไมยังไม่ซื้ออาหารชุดล่ะ?” น้ำเสียงของหลิงหลานฟังดูไม่สุภาพ
ในเมื่ออยากยืมพลังอำนาจก็ต้องให้หลินจงชิงเข้าใจว่า พลังอำนาจนี้ไม่ใช่ของที่ยืมง่ายขนาดนั้น สิ่งที่ควรจ่ายก็ต้องจ่าย หลิงหลานไม่ได้ตั้งใจทำงานฟรีๆ หรอกนะ
คำพูดของหลิงหลานทำให้สีหน้าของหลินจงชิงมั่นคง เขาตอบว่า “หลิงหลาน ขอโทษนะ ให้พวกนายรอนานเกินไปแล้ว” เขากวาดสายตามองไปที่กลุ่มหลี่อิงเจี๋ย ราวกับกำลังบอกหลิงหลานว่า พวกเขาคือคนร้ายที่ขัดขวางการซื้อของของเขา
หลิงหลานให้ความสนใจไปที่กลุ่มหลี่อิงเจี๋ยตามสายตาของหลินจงชิงด้วยความร่วมมืออย่างยิ่ง เธอเลิกคิ้วพูดอย่างประหลาดใจว่า “เอ๋? ที่แท้ก็เป็นหลี่อิงเจี๋ยนี่เอง ทำไม? นายก็มีธุระกับหลินจงชิงเหมือนกันเหรอ?”
สีหน้าตกอกตกใจของหลิงหลานดูเสแสร้งมากเกินไป หลี่อิงเจี๋ยโมโหหน้าแดงก่ำ เมื่อสักครู่นี้หลิงหลานเห็นเขาชัดๆ แต่กลับปั้นน้ำเป็นตัว เขากัดฟันกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นหลิงหลาน มีธุระนิดหน่อยจริงๆ นั่นแหละ” ถ้าคิดจะเสแสร้งก็เสแสร้งด้วยกันนี่แหละ เขาไม่เชื่อว่าจะเสแสร้งดีกว่าหลิงหลานไม่ได้
หลิงหลานผงกศีรษะ กล่าวเหมือนกับไม่แยแสมาก “ถ้างั้นมาก่อนก็ได้ก่อน หลี่อิงเจี๋ย นายรอหลินจงชิงทำธุระของฉันให้เสร็จก่อนแล้วนายค่อยมาหาเขาอีกทีไม่ดีกว่าเหรอ…” หลิงหลานพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “เวลาก็อีกหนึ่งเดือนให้หลังละกัน”
เธอพูดอย่างอึดอัดใจว่า “หลินจงชิงแพ้ฉัน ไม่ว่ายังไงก็ต้องรับใช้ฉันหนึ่งเดือนถึงจะถูก ต้องขอโทษนายจริงๆ”
คำพูดของหลิงหลานแทบจะทำให้หลี่อิงเจี๋ยโกรธจนกระอักเลือด นี่เป็นการบอกเขาชัดๆ ว่า หลินจงชิงมีหลิงหลานคุ้มครอง
หลี่อิงเจี๋ยรักษาสีหน้าเป็นมิตรไม่ได้อีกต่อไป เขากล่าวอย่างเย็นชาด้วยใบหน้าดำมืดว่า “หลิงหลาน นายคิดจะตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันจริงๆ เหรอ?”
หลิงหลานทำหน้าใสซื่อเอ่ยถามกับหลินจงชิงว่า “หลินจงชิง นายไม่คิดจะทำตามการเดิมพันหลังจากที่ท้าประลองแล้วใช่ไหม?”
หลินจงชิงส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “เปล่านะ”
หลิงหลานยักไหล่ให้กับหลี่อิงเจี๋ยด้วยสีหน้าจนใจ “หลี่อิงเจี๋ย ไม่ใช่ว่าฉันจะเป็นอริกับนายนะ แต่หลินจงชิงยังไม่พร้อมที่จะผิดสัญญา” สีหน้าของหลิงหลานคล้ายกับกำลังบอกหลี่อิงเจี๋ยว่า ถึงโกรธเขาไปก็เป็นการหาเรื่องผิดคนแล้ว
การกระทำของหลิงหลานทำให้หลี่อิงเจี๋ยโกรธมากยิ่งขึ้น แต่เขาหาคำโต้แย้งไม่เจอชั่วคราว ทำให้สีหน้าของเขาแดงก่ำทันที
หลิงหลานไม่สนใจหลี่อิงเจี๋ยที่เดือดดาลจนใกล้จะระเบิด เธอหันหน้าไปพูดกับหลินจงชิงว่า “ทำไมนายยังยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ล่ะ? พวกเราหิวจะตายแล้วนะ”
“ได้เลย หลิงหลาน ฉันจะไปซื้อข้าวเที่ยงกลับมาให้เดี๋ยวนี้แหละ” คำตอบของหลิงหลานเหนือความคาดหมายของหลินจงชิง เขารู้สึกสับสนมาก ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรหลิงหลานที่มองเขาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตรมาตลอดถึงได้ช่วยเขาแบบนี้ เดิมทีเขาแค่อยากให้หลิงหลานออกหน้ายืนยันว่าเขากำลังรับใช้หลิงหลานเท่านั้น ทำให้เขามีข้ออ้างปฏิเสธหลี่อิงเจี๋ย
หลิงหลานพอใจแล้ว เธอยิ้มให้กับหลี่อิงเจี๋ยด้วยความเกรงใจ จากนั้นก็พาพวกฉีหลงสามคนเดินกลับไป
ท่าทีที่แทบจะเมินเฉยทำให้หลี่อิงเจี๋ยเดือดดาลแทบบ้า เขาอยากจะตะโกนหยุดหลิงหลาน สั่งสอนเขาดีๆ สักยก แต่ว่าเขาแม่งไม่มีข้ออ้างเลย ตอนนี้เขาแค้นมากว่าทำไมถึงอยู่ในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ถ้าเกิดอยู่ข้างนอกละก็ เขาจะต้องใช้อำนาจของตัวเองดัดนิสัยไอ้สวะอวดดีน่ารังเกียจตรงหน้านี้สักรอบ (ในสายตาของเขาตอนนี้ ต่อให้หลิงหลานมีท่าทีปกติธรรมดามากที่สุด เขาก็มองเห็นว่าเธอกำลังยั่วโมโหเขา)
ลูกพี่โมโห ลูกน้องก็ย่อมระบายความแค้นเพื่อลูกพี่ สุนัขรับใช้ชายที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาวคนหนึ่งกระโดดออกมาทันที ยังดีที่หมอนั่นรู้ว่ากลุ่มของหลิงหลานไม่ใช่คนที่จะยั่วโมโหได้ง่ายๆ หมอนั่นเลยไม่กล้าทำอะไรพวกเขา ดังนั้นจึงตั้งเป้าไปยังหลินจงชิงที่ดูค่อนข้างรังแกได้ง่าย “หลินชิง นายอย่าหนีนะ ถ้าแกกล้าไป ฉันจะให้แกอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้”
บางทีเจ้าเด็กนี่อาจจะมีนิสัยอวดดีมาตั้งแต่เด็กๆ พอมาถึงก็ใช้อำนาจคุกคาม เพียงแต่การคุกคามของเขาทำให้นักเรียนคนอื่นๆ ที่กำลังเฝ้าชมอยู่ที่นี่ต่างหัวเราะออกมา แน่นอนว่าเสียงหัวเราะพวกนี้เต็มไปด้วยการเยาะหยัน
เสียงหัวเราะเย้ยหยันพวกนี้ทำให้สุนัขรับใช้ชายชุดขาวหน้าเขียวหน้าแดงไม่หยุด เขายังตระหนักไม่ได้ไปชั่วขณะว่าทำไมเขาถึงถูกหัวเราะเยาะ
อันที่จริงนี่ก็โทษเขาไม่ได้ นักเรียนใหม่ที่เพิ่งจะเข้ามาในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือย่อมวางฐานะตัวเองได้ยากมาก โดยเฉพาะพวกทายาทรุ่นสองที่ติดนิสัยถือดีมาตั้งแต่เด็กๆ พวกเขาจึงยิ่งเผลอทำเรื่องผิดพลาดออกมาได้ง่ายๆ ต้องได้ลิ้มรสผลอันขมขื่นก่อนถึงจะค่อยเข้าใจว่า โลกของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือไม่เหมือนกับโลกที่พวกเขาเคยใช้ชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
ในโลกที่อาศัยความสามารถเคารพนับถือผู้แข็งแกร่ง สิ่งที่แบ่งฐานะสูงส่งต่ำต้อยคือสีของเครื่องแบบ สิ่งที่ควบคุมชะตาตนเองก็คือความสามารถของตัวเอง การจัดอันดับครั้งใหญ่ภายในสถาบันทุกๆ ครึ่งปีคือโอกาสที่พวกเขาจะควบคุมชีวิตของตัวเองใหม่ได้อีกครั้ง
ดังนั้น นักเรียนเครื่องแบบสีขาวคนหนึ่งจะสามารถคุกคามนักเรียนชุดแดงได้อย่างไร คณะกรรมการรักษาระเบียบของสถาบันจะทำให้พวกเขาเข้าใจว่า ผลของการฝ่าฝืนลำดับชั้นของสีไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถแบกรับไหว
หลี่อิงเจี๋ยถลึงตาด้วยความโกรธเกรี้ยวใส่ผู้ติดตามที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองได้ฝ่าฝืนกฎของสถาบันไปแล้ว ต่อให้หลินจงชิงจะถูกมองข้ามขณะที่อยู่ในห้องสเปเชียลเอยังไง เขาก็ยังเป็นนักเรียนชุดแดง นักเรียนชุดขาวจะบังอาจขู่เข็ญนักเรียนชุดแดงแบบนี้ได้ยังไง ถ้าหากถูกสถาบันรู้เข้า ผู้ติดตามคนนี้ย่อมไม่ได้รับผลดีแน่นอน
หลินจงชิงหันหน้ามามองไปที่นักเรียนชุดขาวคนนั้นด้วยความเยาะหยัน “ฉันอยากจะดูว่านายจะไม่ให้ฉันอยู่ต่อไปยังไง” ถึงแม้ว่าเขาจะกัดปากตีนถีบมาอยู่ในห้องสเปเชียลเอ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะให้นักเรียนห้องอื่นมารักแกได้ตามใจชอบนะ ชุดสีแดงบนตัวเขาแสดงถึงฐานะของเขา เกียรติยศของเขา
สุนัขรับใช้ชายที่สวมชุดขาวยังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง หลี่อิงเจี๋ยก็เอ่ยด้วยความโมโหว่า “เหอเฟย”
สุนัขรับใช้ชายที่สวมชุดขาวหรือก็คือเหอเฟยรู้สึกได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของหลี่อิงเจี๋ย เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก
หลี่อิงเจี๋ยมองไปที่หลินจงชิง เอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “หลินจงชิง นายตัดสินใจแล้วจริงๆ ใช่ไหม?” หลินจงชิงมาจากครอบครัวทั่วไป ความสามารถของเขาในห้องสเปเชียลเอก็ไม่ได้โดดเด่นมากเช่นกัน เดิมทีเขาอยากใช้หลินจงชิงเป็นเป้าหมายที่จะปราบปรามเป็นอันดับหนึ่ง ทำให้หลินจงชิงเป็นลูกน้องของเขา หลังจากนั้นก็ค่อยๆ กลืนกินคนอื่นๆ ในห้องสเปเชียลเอ สุดท้ายก็บรรลุเป้าหมายควบคุมห้องเอของเขา น่าเสียดายที่หลินจงชิงคนนี้เป็นคนที่ไม่รู้จักดีชั่ว เพิกเฉยการชักชวนของเขาตั้งแต่เริ่มแรก สุดท้ายก็ปฏิเสธเขาตรงๆ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังไปขอพึ่งพวกคนที่เขาเกลียดชังมากที่สุด
“ใช่แล้ว ฉัน หลินจงชิงพูดแล้วต้องทำให้ได้” ท่าทีของหลินจงชิงแข็งกร้าว ไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเองเลย ถ้าอุปสรรคเล็กๆ ก็ทำให้เขาหดหัว เขาก็คงทนช่วงเวลาหลายปีในห้องทดลองไม่ได้หรอก ตอนที่เด็กคนอื่นๆ เติบโตภายใต้ความห่วงใยของพ่อแม่ เขาก็ได้เรียนรู้การพิจารณาไตร่ตรอง เรียนรู้ว่าจะต้องพึ่งพาตัวเองถึงจะสามารถได้รับชีวิตที่ตัวเองต้องการ
“ได้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็จะไม่ฝืนใจใคร” หลี่อิงเจี๋ยก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน เขาปล่อยวางความคิดเรื่องกำราบหลินจงชิงไปจริงๆ จากนั้นเขาก็เอ่ยกับผู้ติดตามคนหนึ่งที่อยู่ข้างกายด้วยใบหน้าเย็นชาว่า “ยังจะยืนทำอะไร? นั่งลงทานข้าวได้แล้ว”
พวกผู้ติดตามต่างก็เป็นเด็กในชุดเครื่องแบบสีอื่นๆ จะกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของหลี่อิงเจี๋ยได้ที่ไหน พวกเขาต่างทยอยกันนั่งลงทานข้าว
ในที่สุดหลินจงชิงที่ไม่ตกอยู่ในวงล้อมอีกก็ค่อยรู้สึกโล่งใจ หลี่อิงเจี๋ยตัดใจจากเขาได้เองก็เป็นเรื่องดีที่สุด อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้คลายความระมัดระวังลง เขากลัวว่าหลี่อิงเจี้ยแค่พูดเฉยๆ เท่านั้น แต่ความจริงแล้วกลับคิดจัดการเขาอย่างลับๆ
หลินจงชิงรู้ดีว่า จากความสามารถของเขาในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาต่อต้านหลี่อิงเจี๋ยได้เลย ข้อบัญญัติที่ว่าผู้แข็งแกร่งเป็นที่เคารพได้ปกป้องเขาไว้ และก็ทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย เมื่อหลี่อิงเจี๋ยตัดสินใจจัดการเขา เขาย่อมรับมือไม่ไหว นี่ก็เป็นเหตุผลที่เขากล้ำกลืนความอัปยศพัวพันกับกลุ่มของหลิงหลาน
ใช่แล้ว หลี่อิงเจี๋ยจับตามองเขาตั้งแต่วันแรกที่เปิดเรียน และเขาก็ไม่อยากกลายเป็นลูกน้องของใครสักคน เขาทนรับชีวิตหกปีในห้องทดลองมามากพอแล้ว ไม่ง่ายเลยที่จะได้รับอิสระ เขาจะปล่อยมันไปง่ายๆ อีกได้ยังไง แต่ความสามารถของเขาไม่สามารถรับมือหลี่อิงเจี๋ยได้ เขาเลยได้แต่สิ้นเปลืองความคิดหาวิธีที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ยากลำบากของเขาได้…
เดิมทีหลินจงชิงคิดจะวางอุบายใส่ฉีหลงกับลั่วล่าง ในการแข่งท้าประลองที่นั่งวันแรกของการเปิดเรียน ฉีหลงกับลั่วล่างต่างก็เอาชนะอันดับห้ากับอันดับแปดของห้องได้สบายๆ ทำให้หลินจงชิงรู้ว่าเดิมทีความแข็งแกร่งของทั้งสองคนน่าจะเทียบเท่ากับความแข็งแกร่งของสามอันดับแรกในห้องเอ อย่างไรก็ตามเขาได้ยินพวกฉีหลงกับลั่วล่างพูดคุยกันโดยไม่ได้ตั้งใจ บอกว่าหลิงหลานที่กล้าลาหยุดตั้งแต่วันแรกคือลูกพี่ของพวกเขา เขาก็เลยเปลี่ยนแผน
ในเมื่อสามารถเป็นลูกพี่ที่ครอบครองเพื่อนร่วมชั้นที่มีความแข็งแกร่งระดับสามอันดับแรก ความสามารถของหลิงหลานย่อมไม่ด้อยกว่าหลี่อิงเจี๋ยแน่นอน ขอเพียงเขาสามารถพึ่งอำนาจของหลิงหลานได้ เขาเชื่อว่าเขาสามารถหลุดพ้นจากหลี่อิงเจี๋ยได้ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงท้าประลองกับหลิงหลาน
อันที่จริงเริ่มแรกที่ประลองเขาก็รู้ว่าเขาต้องพ่ายแพ้แน่นอน ทว่าสิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่ชัยชนะ หากแต่เป็นการท้าประลองล้มเหลว ได้รับบทลงโทษรับใช้อีกฝ่ายหนึ่งเดือน ช่วงเวลาผ่อนปรนหนึ่งเดือนเพียงพอให้เขาเติบโต ทำให้เขาหาวิธีจัดการหลี่อิงเจี๋ยได้ดีกว่าเดิม
ผลที่ได้รับจากแผนการนี้เป็นที่น่าพอใจ! ถึงแม้หลินจงชิงไม่แน่ใจว่าหลี่อิงเจี๋ยจะปล่อยมือจริงๆ หรือเปล่า แต่เขาไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับการบีบบังคับทีละก้าวของหลี่อิงเจี๋ยได้อย่างเปิดเผย ได้รับโอกาสให้หอบพักหายใจ
หลินจงชิงกำลังรอบริกรจักรกลนำอาหารชุดเข้ามา เมื่อเขาคิดถึงตรงนี้ก็กำหมัดแน่น ในดวงตาเปล่งรัศมีแสงอย่างรุนแรง ขอเพียงให้เวลาเขามากพอ เขาไม่มีทางให้คนอื่นมีโอกาสมาบีบบังคับเขาอีก ความปรารถนาอย่างรุนแรงที่อยากจะเข้มแข็งขึ้นลุกโชนขึ้นภายในใจของหลินจงชิง
ในเวลาเดียวกัน หลิงหลานกำลังพูดคุยกับพวกฉีหลงขณะที่กำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะทานข้าวรอคอยให้หลินจงชิงเอาอาหารชุดมาให้ ทันใดนั้นสีหน้าของเธอก็ตึงขึ้นมา แต่ก็คลายลงอย่างรวดเร็ว ความผิดปกติของเขาฉายขึ้นมาวูบเดียวเท่านั้น และไม่ได้ดึงดูดความสนใจของพวกฉีหลงเลย
“เสี่ยวซื่อ ซูมสีหน้าของหลี่อิงเจี๋ยและวิเคราะห์ออกมา…”หลิงหลานสั่งเสี่ยวซื่อในห้วงจิตใจ
“รับทราบ ลูกพี่!” เสี่ยวซื่อตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็ถึงตาเขาแสดงฝีมือแล้ว เขาไม่อาจขายขี้หน้าต่อตำแหน่งลูกน้องอันดับหนึ่งได้หรอกนะ
ร่องรอยความกระด้างกระเดื่องในแววตาของหลี่อิงเจี๋ยถูกเสี่ยวซื่อขยายใหญ่อยู่ในห้วงจิตใจ เปรียบเทียบแต่ละตำแหน่งบนล่างซ้ายขวาใกล้ไกลเอียงมองดูทุกมุม สุดท้ายก็ยืนยันได้ว่า เป้าหมายที่สายตานี้เพ่งเล็งก็คือหลินจงชิง…
“ลูกพี่ จะทำยังไงต่อไปดี?” เสี่ยวซื่อทำหน้ายุยง
หลิงหลานกลอกตา “ทำยังไง? ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น! กลับไปพักผ่อนเถอะ” ในเมื่อคนที่หลี่อิงเจี๋ยอยากจัดการคือหลินจงชิง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองสมองแล้ว
หลิงหลานย่อมไม่ใช่แม่พระ หลินจงชิง? ช่วยเขาหนึ่งครั้งก็เมตตาเป็นพิเศษแล้ว ต่อไปเขาจะทนได้หรือไม่ ก็ต้องดูตัวเขาเองแล้ว
……………………………………………….