หลิงหลานเพิ่งจะนอนลงก็รู้สึกได้ว่าสติของตัวเองถูกฝืนดึงเข้าไปในมิติการเรียนรู้อีกครั้ง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้หลิงหลานคุ้นชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว ใครใช้ให้อาจารย์ในมิติการเรียนรู้ชอบใช้วิธีนี้มาหาเธอล่ะ
คราวนี้สิ่งที่เข้ามาสู่สายตาไม่ใช้หมายเลขหนึ่งที่เย็นชาอีกต่อไป และก็ไม่ใช่หมายเลขห้าที่ยิ้มได้โรคจิตสุดขีดคนนั้น หากแต่เป็นหมายเลขเก้าที่มีบุคลิกงดงามเย็นชา เมื่อเธอเห็นใบหน้างดงามของหมายเลขเก้า หลิงหลานก็รู้สึกว่าตัวเองถูกเยียวยาในชั่วพริบตา
“อาจารย์หมายเลขเก้า” หลิงหลานโถมตัวเข้าไปด้วยความตื่นเต้น ไม่ได้เจออาจารย์หมายเลขเก้านานมากแล้วจริงๆ เธอคิดถึงมากๆ เพียงแต่การเจอหมายเลขเก้าไม่ใช่เธอเป็นคนตัดสินใจ แต่ว่ามิติการเรียนรู้เป็นคนตัดสินใจ
เมื่อเธอกอดอาจารย์หมายเลขเก้าก็สัมผัสได้ถึงคลื่นอันเชี่ยวกราดข้างใต้ชุดเครื่องแบบทหารของอีกฝ่าย ในใจรู้สึกอิจฉาริษยาเคืองแค้น ไม่รู้ว่าเธอโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจะมีรูปร่างปีศาจเย้ายวนอย่างอาจารย์หมายเลขเก้าได้หรือไม่?
เมื่อหลิงหลานนึกถึงสถานะของตัวเองที่ปลอมตัวเป็นผู้ชายในตอนนี้ก็เศร้าใจทันที เธอย่อมเคยได้ยินมารดาของตนกล่าวไว้ว่า เมื่อเธอโตขึ้นจะต้องฉีดยาต้านการเจริญเติบโตหยุดยั้งไม่ให้ร่างกายหลั่งสารเอสโตรเจนออกมามากเกินไป…หรือให้พูดก็คือ ถ้าหากกลับคืนสู่สถานะผู้หญิงของเธอไม่ได้ ชาตินี้เธอก็ย่อมแบนราบเป็นลานจอดเครื่องบินเหมือนกับในชาติที่แล้วแน่นอน
หมายเลขเก้าเห็นหลิงหลานทำหน้าตื่นเต้น ในใจก็อ่อนยวบลง ช่วงนี้เธอไม่ได้เจอหลิงหลานนานมากจริงๆ ความคิดถึงไม่น้อยไปกว่าหลิงหลานเลย แต่ถึงยังไงหมายเลขเก้าก็คือหมายเลขเก้า เธอเปิดเผยความรู้สึกแต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นก่อนจะกลับคืนสู่ท่าทีเย็นชาเงียบงันตามเดิมอีกครั้ง
เธอตบบ่าหลิงหลานเบาๆ แล้วค่อยปล่อยหลิงหลานออก หลังจากนั้นก็เอ่ยถามอย่างสงบนิ่งว่า “หลิงหลาน เกิดปัญหาขึ้นกับร่างจิตของเธอใช่หรือเปล่า?”
หลิงหลานได้ยินคำถามก็หมดอาลัยตายอยากขึ้นมาทันที “ที่แท้อาจารย์หมายเลขเก้าก็ทราบเหมือนกัน”
“อืม ร่างจิตของเธอเกิดความผันผวนผิดปกติ ในฐานะที่ฉันเป็นผู้อยู่อาศัยย่อมสัมผัสได้อยู่แล้ว” หมายเลขเก้าบอกสาเหตุที่พวกเขาสามารถรู้สึกได้ แน่นอนว่าหมายเลขเก้าไม่ได้บอกว่านี่จำเป็นต้องให้ผู้อยู่อาศัยทำลายกฎ ฝืนรับรู้สถานการณ์ของโฮสต์แล้วถึงจะค่อยรับรู้ เพื่อการนี้หมายเลขเก้าได้จ่ายค่าตอบแทนไปไม่น้อย
นี่คือการจำกัดขอบเขตของมิติการเรียนรู้ต่อผู้อยู่อาศัย และก็เป็นการปกป้องโฮสต์ ถ้าไม่ใช่เพราะหมายเลขเก้าเตรียมป้องกันไม่ให้หมายเลขห้าทำลายหลิงหลาน เธอก็คงไม่ทำเรื่องผิดกฎเช่นกัน
เมื่อเห็นหลิงหลานอารมณ์หดหู่ หมายเลขเก้าก็รู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เดิมทีเธอไม่ใช่คนพูดจาอ่อนหวานนุ่มนวล ตอนนี้เธอก็เอ่ยถามตรงๆ ว่า “เธอรู้บ้างไหมว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้?”
หลิงหลานครุ่นคิดสักพักก่อนจะพูดด้วยความไม่แน่ใจว่า “เป็นเพราะการฝึกสอนของอาจารย์หมายเลขห้าใช่ไหมคะ ถึงได้เกิดอารมณ์ด้านลบบางอย่างขึ้นมา? ด้วยเหตุนี้ก็เลยส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของฉัน?”
“ไม่ใช่” หมายเลขเก้าปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
พอหลิงหลานเห็นว่าสาเหตุที่เธอคิดว่าผิดพลาดมาตลอดถูกหมายเก้าปฏิเสธแล้วก็ยิ่งรู้สึกมึนงง “ไม่ใช่สาเหตุนี้ ถ้างั้นเป็นเพราะอะไรคะ?”
“เป็นเพราะจิตใจของเธอมีความลังเลและไม่แน่ใจ” หมายเลขเก้าประกาศคำตอบออกมาตรงๆ
“อ่า?” หลิงหลานนึกไม่ถึงว่าเป็นคำตอบนี้ ความลังเลและไม่แน่ใจก็ทำให้จิตใจของเธอเกิดการบิดเบี้ยวจนถึงขนาดสูญเสียการควบคุมเลยเหรอ? ความรู้สึกแรกของหลิงหลานก็คือไม่เชื่อ หมายเลขเก้ากำลังล้อเธอเล่น
แต่พอเห็นสายตาแน่วแน่ของหมายเลขเก้า หลิงหลานก็ไม่แน่ใจแล้ว
“หลิงหลาน ถึงแม้ฉันจะไม่รู้ว่าเพราะอะไรความอดทนของเธอถึงได้ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษแบบนี้ ถึงขนาดที่พูดได้ว่าผิดปกติ ดังนั้นเธอเลยอาศัยสัญชาตญาณอดทนผ่านการเคี่ยวกรำและการทดสอบอย่างหนักที่หมายเลขห้าจัดมาให้เธอ ทำให้พลังจิตของเธอแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึงขนาดสัมผัสประตูแห่งวิถี”
“วิถี?” หลิงหลานยิ่งรู้สึกงุนงง สถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้เป็นโลกอนาคตที่มีเทคโนโลยีก้าวไกล ไม่ใช่ยุคโบราณขาดความรู้ที่นิยมเรื่องวิถีแห่งเซียนนะ
“เอ่อ…ตอนนี้เธอยังไม่ต้องเข้าใจ ฉันแค่อยากจะบอกเธอเท่านั้น สาเหตุที่จิตใจของเธอเกิดความผิดปกติเป็นเพราะว่าในใจเธอไม่มีเป้าหมายให้เธอยืนหยัดที่จะแข็งแกร่งขึ้น” หมายเลขเก้ารู้ว่าเธอหลุดปากพูดไป ก็รีบเอ่ยอย่างขอไปที
“เป้าหมาย?” ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงหลานเบิกกว้างกลมโต เธอถูกคำพูดของหมายเลขเก้าทำให้วิงเวียนไปแล้ว
“ใช่ แท้จริงแล้วเธอรับภารกิจฝึกฝนที่พวกเราตั้งขึ้น อดทนอย่างยากลำบากเพื่ออะไรกันแน่”
หลิงหลานประคองศีรษะของตัวเองที่วิงเวียนอย่างหนัก ค้นหาคำตอบอย่างสุดความสามารถ อยากจะตอบคำถามนี้กลับไป
หมายเลขเก้ากลับหยุดเธอ “อย่ารีบร้อนตอบขนาดนี้ เธอกลับไปคิดให้ดีๆ คิดว่าสุดท้ายเธออยากจะให้อนาคตเป็นยังไง และเป้าหมายที่เธออยากจะเข้มแข็งขึ้นคืออะไร…เมื่อเธอคิดดีแล้ว ปัญหาที่รบกวนจิตใจของเธอก็จะกลับมาเป็นปกติ”
หมายเลขเก้ากล่าวคำพูดเหล่านี้จบก็ขับไล่หลิงหลานออกไปจากมิติฝึกฝนของเธอ
หลิงหลานก็มาถึงห้องโถงของมิติการเรียนรู้เช่นนี้เอง เวลานี้เสี่ยวซื่อกำลังกระดกก้นวาดรูปอะไรบางอย่างอยู่บนพื้นตรงกลางห้องโถง ไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของหลิงหลานเลย
จิตใจของหลิงหลานสงบลง เธอเริ่มหวนนึกถึงคำพูดของอาจารย์หมายเลขเก้า หมายเลขเก้าบอกข่าวดีให้หลิงหลานอย่างไม่ต้องสงสัย นั่นก็คือสิ่งที่ทำให้เธอกังวลเรื่องการสูญเสียการควบคุมจิตใจนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรเลย สามารถรักษาได้เอง ขอเพียงเธอสามารถหาคำตอบที่ทำให้หัวใจของตัวเองไม่รู้สึกลังเลและไม่แน่ใจอีก
แต่ความลังเลและไม่แน่ใจของเธอคืออะไรกันแน่? หลิงหลานรู้สึกมึนงงอีกครั้ง
ในที่สุดเสี่ยวซื่อก็สร้างผลงานของตัวเองได้สำเร็จ เขายืนตรงเตรียมตัวชื่นชมมันดีๆ จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วก็เห็นหลิงหลานยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
เสียงโครมดังขึ้น เสี่ยวซื่อล้มลงไปกับพื้น ปฏิกิริยาตอบสนองแรกคือแผนการของเขาถูกหลิงหลานสังเกตเห็นแล้วหรือเปล่า
เสียงนี้ได้เรียกสติของหลิงหลาน เธอเงยหน้ามองไปยังเสี่ยวซื่อที่กำลังนั่งทำหน้าหวาดหวั่นอยู่บนพื้นก็อดนิ่วหน้าเอ่ยถามไม่ได้ “เสี่ยวซื่อ นายเป็นอะไรไป?”
เสี่ยวซื่อรีบทำหน้าประจบและกล่าวว่า “ลูกพี่ เธอมาได้ยังไง” มือขวาของเขาดึงไปที่กลางอากาศ เบาะอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือเขา เขาวางเบาะไว้ที่ข้างกายอย่างระมัดระวังแล้วพูดเอาใจว่า “ลูกพี่ เหนื่อยหรือเปล่า รีบมานั่งตรงนี้สิ”
ในขณะเดียวกัน ด้านหลังของเสี่ยวซื่อที่หลิงหลานมองไม่เห็นนั้น เขาปัดมือซ้ายทีหนึ่ง ภาพที่อยู่บนพื้นข้างหน้าก็ถูกลบทิ้งจนสะอาดสะอ้าน ไม่เหลือร่องรอยสักนิดเดียว
เดิมทีความคิดของหลิงหลานก็ไม่ได้อยู่ที่ตัวของเสี่ยวซื่ออยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำตอบแบบนี้ของเสี่ยวซื่อ เธอก็ไม่ได้สืบสาวเรื่องราวอีก เธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวดนั่งลงข้างๆ เสี่ยวซื่อ จากนั้นก็ถอนหายใจลึกๆ
เมื่อเสี่ยวซื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้เปิดเผยอะไรออกไป เขาก็สบายใจทันที เมื่อเขาเห็นหลิงหลานกลัดกลุ้ม ปณิธานที่อยากจะเป็นลูกน้องอันดับหนึ่งของหลิงหลานย่อมทำให้เขาอยากจะขจัดปัญหาเพื่อลูกพี่ของตน ดังนั้นเขาจึงเอ่ยปากถามโดยไม่ลังเลว่า “ลูกพี่ ถอนหายใจทำไม? ลองบอกมาเถอะ บางทีเสี่ยวซื่ออาจจะช่วยได้นะ”
“อาจารย์หมายเลขเก้าบอกว่าในใจฉันมีความลังเลและไม่แน่ใจอยู่ และก็ไม่มีเป้าหมายกับความศรัทธาที่แน่วแน่เพื่อทำให้ตัวเองเข้มแข็งขึ้น” แน่นอนว่าหลิงหลานไม่เห็นคำพูดของเสี่ยวซื่อที่บอกว่าสามารถช่วยเหลือเธอได้เป็นเรื่องจริง แต่การที่พูดเรื่องความกังวลในใจออกไปได้ก็ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ดังนั้นเธอก็เลยบอกความทุกข์ใจของตัวเองให้เสี่ยวซื่อฟัง
เสี่ยวซื่อประหลาดใจมาก เขาคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย “ลูกพี่ มีอะไรให้กลุ้มใจด้วยล่ะ ในเมื่อไม่มีเป้าหมาย ถ้างั้นตอนนี้เธอคิดเป้าหมายขึ้นมาก็ได้แล้วนี่”
“แบบนี้ได้ด้วยเหรอ?” หลิงหลานอึ้งไป หรือว่าเธอคิดซับซ้อนมากไปแล้ว?
………………………………………………