หลิงหลานลอบเข้าไปในหมู่บ้านอย่างลับๆ เวลานี้ภายในหมู่บ้านกลายเป็นทะเลเลือดนรกบนดินไปหมดแล้ว คนในหมู่บ้านจำนวนไม่น้อยตายอยู่บนถนนหรือไม่ก็หน้าประตูบ้าน ทุกคนต่างเบิกตาโพลง ตายตาไม่หลับ พวกเขาแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป มีความหวาดกลัว มีความผิดหวัง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความปวดร้าวอย่างพูดไม่ออก บางทีพวกเขาอาจจะเจ็บแค้นมาก พวกเขาอยู่ที่นี่กันอย่างสงบแต่ทำไมเภทภัยกลับมาถึงตัวพวกเขาได้
หลิงหลานย่อตัวปิดตาของชาวบ้านคนหนึ่งที่เสียชีวิตน่าอนาถบนถนนอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้แววตาของหลิงหลานไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเลยสักนิดเดียว มันสงบนิ่งราวกับน้ำ ไอเย็นที่น่ากลัวตลบอบอวลมาจากตัวเธอ
ตลอดทางที่เธอเดินไปก็เห็นผู้ร้ายกลุ่มเล็กๆ หลิงหลานลงมือเก็บกวาดจัดการอย่างเฉียบขาด หลังจากนั้นก็จากไปอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นผู้ร้ายกลุ่มใหญ่ เธอก็เลือกหนีไป บางทีผู้ร้ายเหล่านี้อาจจะบ้าคลั่งการสังหาร ไม่ได้สนใจเลยว่าเพื่อนรอบๆ พวกเขากำลังลดลงไปทีละนิด
เมื่อหลิงหลานจัดการผู้ร้ายอีกกลุ่ม เธอก็เปิดเผยช่องโหว่ให้กับผู้ร้ายคนหนึ่งที่กำลังอยู่ในมุมอับพอดีโดยไม่ได้ตั้งใจ
หลิงหลานพบข้อผิดพลาดของเธอในนาทีแรก กริชในมือซัดตรงออกไปเสียบทะลุลำคอของอีกฝ่าย แต่มันก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เสียงผิวปากแหลมคมหนึ่งดังขึ้นภายในหมู่บ้านที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นคาวเลือดนี้
หลิงหลานอดร้องด้วยความเสียดายไม่ได้ ผู้ร้ายพวกนี้มีวิธีการส่งข้อความระหว่างกันในชั่วพริบตาอย่างที่เธอกังวลไว้จริงๆ ไม่ต้องสงสัยเลยสักนิดว่าด้วยเหตุนี้เองผู้ร้ายคนอื่นๆ ต่างก็เตรียมการป้องกันอย่างระมัดระวังขึ้นมา สร้างความลำบากต่อการล่าสังหารของหลิงหลานอยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงความลำบากเท่านั้น…มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา เกมล่าสังหารไม่ได้สิ้นสุดลงเพราะเหตุนี้
ร่างของหลิงหลานหายตัวไปจากสถานที่แห่งนี้อย่างช้าๆ เมื่อผู้ร้ายคนอื่นๆ พุ่งเข้ามาก็เห็นแค่ศพของเพื่อนที่ล้มอยู่บนพื้นเท่านั้น แต่ไม่พบร่องรอยของฆาตกรเลย
หัวหน้าใหญ่ของการสังหารหมู่ครั้งนี้ทราบข่าวเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว เขาบอกให้ลูกน้องมารวมตัวกัน แน่นอนว่าไม่ลืมให้พวกเขาพาตัวประกันมาด้วย เขาสงสัยว่ามีความเป็นไปได้สูงที่ยอดฝีมือคนนี้จะมีความสัมพันธ์กับคนในหมู่บ้าน
ระหว่างทางที่พวกเขารวมตัวกัน หลิงหลานก็กำจัดผู้ร้ายไปอีกหลายคน และก็ช่วยเหลือชาวบ้านไว้ไม่น้อย แต่หลิงหลานไม่ได้ทักทายพวกเขา ทว่าหลังจากที่กำจัดผู้ร้ายแล้ว เธอก็หนีไปอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ชาวบ้านไม่รู้ที่มาที่ไปของหลิงหลานเลย แต่นี่ก็ไม่ได้หยุดยั้งพวกเขารู้สึกซาบซึ้งใจต่อการช่วยเหลือของหลิงหลาน แม้กระทั่งหลิงหลานก็ไม่รู้ว่าชาวบ้านที่ถูกช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ได้จากไป ชายฉกรรจ์บางส่วนหยิบอาวุธขึ้นมาตั้งเป็นกลุ่มช่วยเหลือตนเองก่อนจะรีบไปยังสถานที่อื่นอย่างเงียบเชียบ พยายามช่วยเหลือญาติพี่น้องและชาวบ้านให้มากยิ่งขึ้น
ส่วนด้านนอกหน้าหมู่บ้าน หลังจากที่หาสถานที่ที่นับว่าปลอดภัยให้กับพวกเด็กเล็กๆ คนเฒ่าคนแก่ที่อ่อนแอ รวมไปถึงผู้หญิงที่บอบบาง แล้วก็ผู้ชายจำนวนไม่น้อยที่ได้รับบาดเจ็บจนสูญเสียความสามารถในการต่อสู้ไปชั่วคราวแล้ว เด็กหนุ่มก็พาชาวบ้านที่ยังต่อสู้ได้หยิบอาวุธของผู้ร้ายที่ถูกหลิงหลานฆ่าตายและรีบเข้ามาเช่นกัน
ตลอดทางมานี้การต่อสู้นองเลือดได้เปิดฉากขึ้น ชาวบ้านปะทะกับผู้ร้ายกลุ่มเล็กๆ พวกเขาจ่ายค่าตอบแทนด้วยเลือดทิ้งผู้ร้ายที่เปื้อนเลือดญาติพี่น้องของพวกเขาไว้ ช่วยเหลือญาติพี่น้องของตัวเองกลับมา
เมื่อผู้ร้ายทุกคนรวมกลุ่มกันอยู่ตรงหน้าหัวหน้าใหญ่แล้ว หัวหน้าใหญ่ก็ค่อยสังเกตเห็นว่าสถานที่ที่ให้พวกเขาเข่นฆ่ากันอย่างสนุกสนานเปรมปรีดิ์ในสายตาของเขา นึกไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เขาสูญเสียลูกน้องไปสองในสาม เหลือลูกน้องประมาณหนึ่งร้อยคนเท่านั้น
“แม่งเอ๊ย ใครวะ? ออกมาซะ…” หัวหน้าใหญ่ที่เจ็บปวดกับการสูญเสียลูกน้องบันดาลโทสะขึ้นมา เขาส่งสัญญาณให้ลูกน้องลากตัวประกันออกมาคนหนึ่ง หลังจากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ถ้าไม่ออกมา ฉันก็จะฆ่ามันซะ”
ในเมื่อมาเพื่อหมู่บ้านแห่งนี้ เช่นนั้นก็จะต้องทะนุถนอมชีวิตมดตัวเล็กๆ พวกนี้แน่นอน ขอเพียงอีกฝ่ายปรากฏตัวออกมา หัวหน้าใหญ่เชื่อว่าพวกเขาจะต้องแล่เนื้อมันเป็นชิ้นๆ ได้
เมื่อรอไปหนึ่งนาที รอบด้านยังคงเงียบสงบ หัวหน้าใหญ่ตะโกนด้วยใบหน้าโหดเหี้ยมว่า “ฆ่าซะ”
ชาวบ้านคนหนึ่งถูกลูกน้องของเขาฟันตาย เลือดไหลเต็มพื้น เรียกเสียงกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวของชาวบ้านคนอื่นๆ
“ฉันไม่ใช่แม่พระ และก็ไม่ใช่คนมีคุณธรรมด้วย ฉันรู้แค่ว่า มีเพียงความเยือกเย็นเท่านั้นถึงจะมีโอกาสทำเรื่องที่ฉันอยากทำให้สำเร็จ” หลิงหลานกำอาวุธในมือแน่น ดวงตาทั้งสองข้างมองไปที่ฉากนองเลือดตรงหน้าอย่างเย็นเยียบ
ใช้แล้ว เธออยากจะฆ่าเดรัจฉานต่ำช้าพวกนี้ให้หมดสิ้น ช่วยเหลือชาวบ้านพวกนี้ให้มากสุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นเธอตกอยู่ในความเลือดร้อนไม่ได้
หัวหน้าใหญ่เห็นว่าไม่ได้ผลก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องผลักชาวบ้านออกมาอีกสามคน คราวนี้ยังมีเด็กทารกที่ยังใสผ้าอ้อมอยู่ด้วย
ลูกตาของหลิงหลานหดลงฉับพลัน เธอหลับตาด้วยความปวดร้าว จำเป็นต้องอดทนต่อไปด้วยเหรอ? ต้องรอให้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยจากการฆ่า จนเสียสมาธิ พอมีโอกาสฉันก็ค่อยลงมือจริงๆ เหรอ? ให้ตายเถอะ หัวใจฉันบอกฉันว่า ไม่อยาก ฉันไม่อยากให้เป็นแบบนี้
อาจารย์หมายเลขห้า สิ่งที่เรียกว่าการฝึกฝนโรคจิตพวกนั้นของคุณไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนักจริงๆ ไม่อย่างนั้น ทำไมฉันถึงเลือดเย็นอย่างแท้จริงไม่ได้ล่ะ? ทำไมถึงมองเด็กไร้ความผิดตายตรงหน้าฉันไม่ได้? หรือว่านี่เป็นเรื่องต้องห้ามของฉัน?
นี่นับว่าเป็นจุดอ่อนภายในใจมนุษย์เหรอ? จากคำพูดของอาจารย์ ฉันควรจะควบคุมตัวเองไว้ถึงจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งมากขึ้นได้ และฉันไม่อาจถูกความใจอ่อนกับความเหลืออดเอาชนะไปได้ ฉันควรจะควบคุมมันไว้…
นี่เป็นครั้งแรกที่ในใจหลิงหลานปรากฎความสับสน หัวใจที่เดิมทีเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เกิดความหวั่นไหวอยู่จางๆ…
…………
หมายเลขห้ากับหมายเลขเก้าเข้ามาที่ภายในมิติของหมายเลขหนึ่งโดยไม่บอกไม่กล่าว
หมายเลขหนึ่งที่ยืนใคร่ครวญอยู่คนเดียวในความว่างเปล่าเห็นแขกที่ไม่รับเชิญเข้ามาก็ไม่พอใจอยู่บ้าง เขากล่าวอย่างเย็นชาว่า “พวกนายมาทำอะไร?”
“ฉันอยากรู้ว่าหลิงหลานจะเลือกวิถีอะไรกันแน่” หมายเลขเก้าทำหน้ากังวล ถ้าหากหลิงหลานเลือกวิถีการก้าวหน้าที่ไม่เหมาะกับเธอขึ้นมา หลิงหลานมีโอกาสสูงที่จะต้องเปลืองแรงหนักแต่ได้ผลน้อย
หมายเลขห้ากลับเอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายว่า “ฉันหวังว่าเธอจะไปยังวิถีไร้ความเมตตา หรือไม่ก็วิถีสังหาร” นี่เป็นทางลัดอย่างหนึ่ง ถึงแม้ว่าอุปสรรคในตอนหลังจะลำบากกว่าวิถีอื่นอยู่บ้าง แต่ถึงยังไงนั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต หมายเลขห้าคิดว่าสามารถแก้ไขปัญหาได้อยู่แล้ว นอกจากนี้มันยังคุ้มค่ามากที่สามารถยกระดับตัวเองให้ไปถึงขั้นยอดฝีมือระดับท็อปได้ในช่วงเวลาสั้นๆ
ด้วยเหตุนี้เอง การฝึกฝนของเขาในช่วงเวลาก่อนหน้านี้จึงจงใจชักนำนิสัยของหลิงหลานและการจัดการเรื่องราวต่างๆ ไปยังทิศทางสองสายนี้ ถ้าหากหลิงหลานจดจำเรื่องเหล่านี้ได้มั่น ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะเดินไปยังวิถีสองสายนี้
“ฉันไม่เห็นด้วย!” หมายเลขเก้ากล่าวด้วยความโกรธเกรี้ยว “หัวใจของหลิงหลานดูเหมือนแข็งแกร่งมาก เวลาทำเรื่องต่างๆ ก็เฉียบขาดมาก ความอดทนแข็งแกร่งสุดยอด แต่ฉันรู้ว่าในใจของหลิงหลานนั้นเร่าร้อน อ่อนโยน…เธอมีความเห็นอกเห็นใจ วิถีที่เหมาะสมกับเธอควรจะเป็นวิถีแห่งมิตรภาพหรือไม่ก็วิถีคุณธรรม”
“ฉันรู้แค่ว่า การทดสอบที่เธอเข้าไปเป็นการทดสอบวิถีแห่งราชัน” หมายเลขหนึ่งบอกสถานการณ์ของหลิงหลานในตอนนี้ให้พวกเขาฟัง
“ว่าไงนะ?” หมายเลขห้ากับหมายเลขเก้าตะโกนด้วยความตกใจขึ้นมาพร้อมกัน พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลิงหลานจะเข้าสู่การทดสอบวิถีราชัน หลิงหลานไม่มีความคิดเรื่องราชาเลย เธอจะผ่านการทดสอบนี้ไปได้ยังไง
เมื่อเห็นทั้งสองคนดูตื่นตระหนกตกใจหน้าถอดสี หมายเลขหนึ่งก็แค่นเสียงเย็นกล่าวว่า “เข้าสู่การทดสอบวิถีราชันไม่ได้หมายความว่าจะต้องเดินไปยังวิถีสายนี้”
“แต่ว่าคนทั่วไปจะโดดออกจากการทดสอบที่กำหนดไว้และสร้างวิถีขึ้นเองยากมากเลยนะ” หมายเลขเก้าไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย จากที่เธอรู้มา ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีเด็กสักคนที่สามารถเดินถึงขั้นนี้ได้เลย
คำพูดของหมายเลขเก้าทำให้หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขห้าเงียบไป พวกเขาเองก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องยากมาก คำพูดของหมายเลขหนึ่งก็ยิ่งเป็นการปลอบใจตัวเอง
“บางทีหลิงหลานอาจจะเดินไปบนเส้นทางของวิถีราชันจริงๆ ก็ได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนต่างก็มีความคิดเรื่องราชาตั้งแต่แรกเสียหน่อย…แหะๆๆ!” หมายเลขห้าว่าแล้วก็ไม่สามารถหลอกตัวเองต่อไปได้อีก เขาได้แต่ใช้การแสร้งหัวเราะมารับมือกับสายตาเย็นชาที่หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขเก้าทอดมองมา
ความคิดเรื่องราชาไม่ใช่สิ่งที่มาตั้งแต่กำเนิด แต่ในส่วนลึกของเด็กย่อมต้องมีความคิดปรารถนาทางด้านนี้อยู่ ยกตัวอย่างเช่น ชื่นชอบคนแข็งแกร่ง คนตัวสูงตั้งแต่เด็กๆ ชอบการแสดงออก ถึงขนาดที่ชอบทำตัวเป็นผู้นำลูกพี่…แต่หลิงหลานยังขาดด้านนี้มากจริงๆ
“ฉันเชื่อว่าหลิงหลานไม่ใช่คนทั่วไป” หมายเลขหนึ่งเงียบอยู่นานก็กล่าวคำพูดนี้ออกมาในที่สุด เขาเชื่อว่าไม่ว่าวิถีราชันจะเหมาะสมกับหลิงหลานหรือไม่ หลิงหลานจะต้องทำการทดสอบนี้ได้สำเร็จ และหาวิถีที่เป็นของตัวเองเจอแน่นอน
…….
หลิงหลานที่อยู่ในภารกิจการทดสอบกำลังหลับตาเงียบกริบ เธอได้ยินเสียงนับถอยหลังของหัวหน้าใหญ่ ขอเพียงเธอไม่โผล่หน้าออกไป ชีวิตทั้งสามก็จะจบลงตรงนี้ หนึ่งในนั้นยังมีเด็กทารกที่เพิ่งเกิดได้ไม่นานด้วย
“ฆ่า!” เสียงของหัวหน้าใหญ่ปลุกสติของหลิงหลาน เธอเผลอก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เปิดเผยร่างของเธอออกมา
“ในที่สุดแกก็ปรากฎตัวออกมาแล้ว…” ลูกน้องสามนายที่จับกุมตัวประกันไว้ก็กวัดแกว่งมีดแหลมคมในมืออย่างเด็ดขาดท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของหัวหน้าใหญ่…
“ความใจร้อนคือมารร้าย ผลลัพธ์ย่อมไม่สวยงาม” สายตาของหลิงหลานไม่ได้สั่นคลอนอีกแล้ว เนื่องจากความจริงเรื่องหวั่นไหวในชั่วพริบตาทำให้เธอตระหนักได้ว่า ความใจอ่อนคือความผิดพลาดอย่างที่คิดไว้จริงๆ “แต่ความอดทนก็ยิ่งเป็นผิดพลาดมากกว่า ไม่สู้เลือกการต่อสู้นองเลือดตั้งแต่แรกดีกว่า ฟันต่อฟัน เลือดต่อเลือดถึงจะเป็นสิ่งที่ฉันควรทำ”
ทำไมต้องควบคุมตัวเอง? ทำไมต้องเกรงกลัวด้วย? ต้องรู้ไว้ว่าถ้าเกิดเธอไม่ปรากฏตัวออกไป ชาวบ้านพวกนี้ยังคงต้องตายอยู่ในเงื้อมมือของผู้ร้ายเหล่านี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้รีบฆ่าผู้ร้ายพวกนี้ในเร็วที่สุด ช่วยเหลือคนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ดีกว่า
อันที่จริงการเลือกนั้นง่ายดายมาก เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นแม่พระคนมีคุณธรรมอะไร เรื่องที่สามารถทำได้ก็ต้องทำอย่างเฉียบขาดภายใต้เงื่อนไขรับรองความปลอดภัยชีวิตของตัวเอง การลังเลก็มีแต่จะทำให้ตัวเองตกสู่สภาวะยากลำบากมากยิ่งขึ้น ก็เหมือนกับตัวเธอเมื่อสักครู่นี้
หัวหน้าใหญ่เห็นหลิงหลานพุ่งเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ เขาก็ส่งสัญญาณให้ลูกน้องลากชาวบ้านออกมาหกคน และตะโกนเสียงดังว่า “อย่าขยับ ไม่อย่างนั้นฉันจะฆ่าพวกมัน”
“ฆ่าไปเถอะ แล้วฉันจะล้างแค้นให้พวกเขาเอง” ความเร็วของหลิงหลานเปลี่ยนเป็นรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เธอกระโจนเข้าไปด้วยความดุดัน ฟันตรงไปยังผู้ร้ายที่อยู่ใกล้เธอมากที่สุด
ทันทีที่เห็นคนที่มาไม่ได้รับภัยอันตรายจากเขา หัวหน้าใหญ่ก็ตะโกนด้วยความลนลานว่า “ฆ่ามัน ฆ่ามันให้หมด”
“ฆ่าเลย ฉันก็จะฆ่าพวกแกให้หมดเหมือนกัน” ตอนนี้สายตาของหลิงหลานเย็นเยียบ สองมือโบกสะบัดไป ไม่ว่าไปที่ไหนก็ทิ้งศพกับเลือดที่สาดกระเด็น หลิงหลานไม่ได้หลบเลือดที่สาดไปทั่วทุกทิศทางเหล่านี้ ดวงหน้าน้อยๆ ที่ดูน่ารักเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดซึ่งหยดลงมาทีละนิดๆ เธอดูเหมือนกับผีที่คลานออกมาจากนรกเพื่อมาเก็บทุกชีวิต ณ ที่นี้
“แกเป็นใครกันแน่?” เมื่อพบว่าชีวิตของชาวบ้านไม่สามารถหยุดยั้งการเข่นฆ่าของหลิงหลานได้ หัวหน้าใหญ่ก็หวาดหวั่นอยู่บ้าง วิธีการฆ่าคนของหลิงหลานเด็ดขาดเรียบง่ายรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมาก ขณะที่โบกมือก็สามารถนำชีวิตของลูกน้องของเขาไปได้หนึ่งคน ลูกน้องสิบกว่าคนตายอยู่ในเงื้อมมือของเขาในช่วงเวลาสั้นๆ
………………………………….