พอทุกคนจากไปแล้ว เสี่ยวซื่อค่อยพูดด้วยความอ่อนเพลียว่า “ลูกพี่ ตอนนี้พวกเราจะทำอะไรดี” เสี่ยวซื่อที่เคยไปโลกเสมือนจริงที่แท้จริงมาแล้ว เรียกความตื่นเต้นอะไรกับโลกใบน้อยที่ถูกปิดผนึกไว้ตรงหน้านี้ไม่ได้เลย
“พวกเราก็ทำความคุ้นเคยกับหมู่บ้านมือใหม่นี้สักหน่อยเถอะ…” หลิงหลานรู้สึกสนใจมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้สัมผัสโลกเสมือนจริง ไม่นึกเลยว่ามันจะดูสมจริงขนาดนี้ เมื่อสักครู่นี้ตอนที่เธอเห็นพวกฉีหลง เธอก็เกือบคิดว่ากำลังอยู่ในโลกความเป็นจริง
หมู่บ้านมือใหม่? นี่หมายความว่ายังไง? เสี่ยวซื่อกลุ้มใจมาก ทำไมเขาถึงฟังไม่เข้าใจเลยล่ะ?
อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้ภาพพจน์ที่ชาญฉลาดเจ้าปัญญาที่สุดของตัวเองถูกทำลาย เขาไม่กล้าถามหลิงหลานว่ามันคืออะไร หากแต่แอบไปสืบค้นในคลังข้อมูลของตัวเอง ไม่นาน เสี่ยวซื่อก็หาคำนี้เจอในนิยายเกมออนไลน์ หลังจากที่เปรียบเทียบกับเนื้อหาในนั้นแล้ว เขาก็เข้าใจในที่สุด
เสี่ยวซื่อมองโลกใบน้อยที่ปิดสนิทแห่งนี้ก็หวนนึกถึงความหมายของหมู่บ้านมือใหม่ในเกมออนไลน์อีกครั้ง ก่อนจะพบว่าคำที่ลูกพี่เขาใช้อธิบายดูชัดเจนจริงๆ เสี่ยวซื่อถูกความรู้อันลึกซึ้งกว้างขวางของหลิงหลานทำให้เลื่อมใสอีกครั้ง ลูกพี่สมภาคภูมิกับที่เป็นลูกพี่อย่างที่คิดไว้จริงๆ สามารถใช้คำหรือประโยคสั้นๆ มาสื่อความหมายที่ซับซ้อนได้อย่างชัดเจน ดูนี่สิ ทางสถาบันเลือกที่จะปกป้องพวกเด็กๆ ไว้ในสภาพแวดล้อมที่ปิดกั้นเพื่อที่จะรับประกันว่าพวกเด็กๆ ที่ยังไม่มีสามมุมมอง[1]ที่ถูกต้องจะไม่เดินไปในทางที่บิดเบี้ยว ไม่ใช่ว่าเกมออนไลน์เมื่อหมื่นปีก่อนก็จงใจสร้างหมู่บ้านมือใหม่เพื่อปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้เล่นใหม่เหรอ?
ไม่พูดถึงเสี่ยวซื่อที่ตอนนี้เลื่อมใสศรัทธาหลิงหลานราวกับน้ำในแม่น้ำเหลืองที่ท่วมเอ่อไม่ยอมหยุด…หลิงหลานใช้เวลาหนึ่งวันเดินเตร่ในโลกใบน้อยที่ถูกปิดกั้นแห่งนี้ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ทำความเข้าใจสภาพคร่าวๆ ของเมืองที่ปิดตายแห่งนี้
เมืองมีขนาดใหญ่มาก มันยังใหญ่โตกว่าสถาบันลูกเสือในโลกแห่งความจริงร้อยเท่า หลิงหลานประเมินดูแล้ว ถ้าหากไม่มีเวลาสักหลายปีก็คงไม่สามารถรู้ทุกซอกทุกมุมของเมืองนี้ นี่อาจจะเป็นเพราะเพื่อจัดการกับนักเรียนลูกเสือถึงได้ทำให้ใหญ่โตขนาดนี้ ถึงยังไงพวกเขาก็จะต้องอยู่ในสถาบันลูกเสือมากกว่าสิบปี ถ้าหากพวกเขาเที่ยวเมืองนี้หมดได้ในเวลาไม่กี่วันละก็ พวกนักเรียนจะต้องก่อความวุ่นวายแน่นอน
เวลาในโลกเสมือนจริงไม่ได้เพิ่มมากขึ้นเหมือนกับที่หลิงหลานคิดไว้ หากแต่เหมือนกับเวลาในโลกความเป็นจริง พูดอีกอย่างก็คือหนึ่งวันในโลกเสมือนจริงก็คือหนึ่งวันในโลกความเป็นจริง
หลิงหลานเดินเล่นอยู่ในร้านค้าของเมืองสักพัก ก่อนจะพบว่าไม่มีของอะไรที่ประหลาดไม่อาจทำความเข้าใจได้เลย ของที่วางในร้านค้าต่างก็เป็นของที่มีอยู่ในโลกความเป็นจริง หลังจากที่สอบถามแล้วถึงค่อยทราบว่า ที่จริงแล้วของที่วางขายในร้านค้าของโลกเสมือนจริงก็คือของที่ขายกันในโลกความเป็นจริง เมื่อคุณสั่งของและจ่ายเงินแล้ว อีกฝ่ายก็จะส่งสินค้าในในโลกความเป็นจริง ใช่แล้ว ขอเตือนด้วยความหวังดี ของที่ซื้อในโลกเสมือนจริงเป็นสินค้าที่ไม่มีฟังก์ชั่นเก็บเงินปลายทางนะ
แน่นอนสิ่งที่มีมากสุดในเมืองก็ยังคงเป็นหอเรียนรู้ต่างๆ ด้านในมีบันทึกวิดีโอการสอนของหลักสูตรมากมายนับไม่ถ้วน ขอเพียงทำภารกิจที่กำหนดไว้สำเร็จก็จะได้รับหลักสูตรหนึ่งในนั้นมาฟรีๆ คุณย่อมเลือกซื้อตรงๆ ได้เช่นกัน แต่ว่าจำนวนเงินทองสามารถส่องสว่างจนตาคุณบอดได้เลย แม่งเอ๊ย มันแพงมากเกินไปแล้วจริงๆ
ถ้าหากสามารถแลกเครดิตจากโลกความจริงมาเป็นเงินได้ละก็ บางทีพวกนักเรียนอาจจะไม่ได้ขุ่นเคืองใจมากขนาดนั้น น่าเสียดายที่ทางสถาบันสั่งห้ามมีฟังก์ชั่นแลกเปลี่ยนนี้เพื่อให้พวกเด็กๆ พยายามพึ่งพาตัวเองให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้สิ่งที่มากเกินไปก็คือ ทางสถาบันขี้เหนียวจนถึงขั้นไม่ให้เงินนักเรียนที่เข้ามาใหม่ทุกคนสักแดงเดียว
อยากได้ของที่ตัวเองต้องการในโลกเสมือนจริง? ได้สิ นักเรียนทั้งหลาย โปรดรับภารกิจแล้วอาศัยสองมือของตัวไปสร้างความมั่นคั่งเอง NPC ทุกคนจะบอกประโยคนี้กับคุณด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ไม่สนใจการตีอกชกหัวก่นด่าด้วยความเสียใจของพวกเด็กๆ เลย
ทางสถาบันย่อมไม่ได้ไร้เมตตาขนาดนั้นจริงๆ พวกเขาตั้งภารกิจเล็กๆ และผ่านได้ง่ายๆ เอาไว้มากมายภายในโลกเสมือนจริง แต่เงินก็ย่อมไม่มากเช่นกัน ขอเพียงเคลียภารกิจพวกนี้ได้ก็สามารถได้รับเงินหรือแลกการสอนวิชาบางอย่างที่เกี่ยวข้องได้ฟรี
มีคำร่ำลือว่าข้างในยังมีภารกิจมรดกรวมไปถึงท่าไม้ตายที่ทำให้พวกเด็กๆ ตาร้อนผ่าว ภารกิจเหล่านี้ทำให้เด็กธรรมดาคนหนึ่งเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่าอยากจะได้ภารกิจระดับสูงแบบนี้ย่อมไม่ง่ายเช่นกัน มันต้องมีโชคและจังหวะ ทว่าต่อให้คุณได้รับภารกิจแบบนี้มา จะทำสำเร็จได้หรือไม่นั้นก็ยังไม่รู้ มรดกและท่าไม้ตายไม่ใช่สิ่งที่ได้รับง่ายขนาดนั้น สำหรับพวกนักเรียนที่เพิ่งจะเข้ามาอย่างหลิงหลานแล้วย่อมไม่มีทางทราบเรื่องลับพวกนี้ พวกเขาได้แต่เริ่มต้นจากภารกิจเล็กๆ ในตอนที่หาเงินได้นิดหน่อย ก็จะทำความเข้าใจโลกเสมือนจริงที่ถูกมนุษย์เรียกขานว่าโลกแห่งที่สองได้พร้อมกัน
เนื่องจากหลิงหลานมีเสี่ยวซื่อซึ่งเป็นอุปกรณ์ขี้โกงขั้นสุดยอดนี้อยู่ จึงเรียกได้ว่าเหมือนปลาได้น้ำในโลกเสมือนจริง เมื่อเผชิญหน้ากับรายละเอียดเนื้อหาประจำวันที่ปรากฏขึ้นหมายหมื่นรายการ เสี่ยวซื่อก็ช่วยหลิงหลานเลือกพวกเควสที่มีอัตราการมอบและได้รับสูงสุดอย่างละเอียดรอบคอบ ทำให้หลิงหลานสะสมเงินทองด้วยความเร็วสูงสุด
ถ้าหากมีความจำเป็น เสี่ยวซื่อก็สามารถข้ามผนึกของมิติเสมือนจริงไปแลกเครดิตเป็นเงินเสมือนจริงจากในชีวิตจริงให้กับหลิงหลานได้ แต่ว่าหลิงหลานปฏิเสธข้อเสนอแนะนี้ทันที หลิงหลานคิดว่าเพราะมีเสี่ยวซื่อ ตอนนี้เธอเลยได้รับผลประโยชน์มากเกินไปแล้ว ถ้าหากทำมากเกินไปอีก สวรรค์และผู้คนคงได้สาปส่งเธอจริงๆ หลิงหลานตัดสินใจว่าจะทำตัวเงียบหน่อยจะดีกว่า
สาเหตุที่หลิงหลานปฏิเสธเสี่ยวซื่อย่อมเป็นเพราะเธอยังมีสิทธิประโยชน์อย่างใหญ่หลวงอยู่ นั่นก็คือแต้มผลการรบที่ได้รับจากในศึกจัดอันดับสามารถแลกเป็นเงินในโลกเสมือนจริงได้ หลิงหลานเดาว่านี่คือกลไกการมอบรางวัลอย่างหนึ่งที่สถาบันให้กับบุคคลชั้นยอด เป็นการรักษาผลประโยชน์กลายๆ เดาได้ว่าพวกเด็กที่ยอดเยี่ยมโดดเด่นในโลกความเป็นจริงจะอาศัยทรัพย์สินเงินทองพิเศษนี้เรียนรู้ของที่มีประโยชน์ล่วงหน้าก่อนหนึ่งก้าว นี่ก็สอดคล้องกับแนวทางการศึกษาของสถาบันลูกเสือ
…
หลิงหลานใช้ชีวิตยุ่งๆ ผ่านไปปีหนึ่งในโลกเสมือนจริงกับสถาบันลูกเสือเช่นนี้เอง เธอได้ผ่านศึกจัดอันดับสองครั้งในช่วงเวลานี้ ศึกสองครั้งนี้หลิงหลานรักษาอันดับให้อยู่ที่อันดับสี่เท่านั้น ครั้งแรกเธอเจอลั่วล่างในรอบรองชนะเลิศ แล้วก็เลือกยอมแพ้ ครั้งที่สองเธอเจอฉีหลงในรอบรองชนะเลิศแล้วก็ยอมแพ้เช่นกัน
อย่าโทษหลิงหลานที่ไม่มีกะจิตกะใจต่อสู้เลย อันที่จริงเป็นเพราะความสามารถแตกต่างกันมากเกินไป ทำให้หลิงหลานต่อสู้กับพวกเขาก็เหมือนเป็นการรังแกเด็กจริงๆ นอกจากนี้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรต่อพวกเขาด้วย ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเพื่อรับรองว่าตัวเองจะได้รับการสั่งสอนที่ดีที่สุดในสถาบันรวมไปถึงทรัพยากรในการฝึกฝนต่างๆ ที่ดีที่สุด หลิงหลานย่อมไม่อยากลงมือแน่นอน
การกระทำนี้ทำให้ชื่อเสียงของหลิงหลานแพร่หลายอยู่ในระดับชั้นเดียวกันเท่านั้น เริ่มแรกพวกรุ่นพี่ชั้นปีสูงยังให้ความสนใจหลิงหลานนิดหน่อย แต่สุดท้ายพอเห็นหลิงหลานอยู่แค่อันดับสี่ติดต่อกันหลายครั้งก็ค่อยๆ หมดความสนใจไป
หลิงหลานไม่สนใจทุกอย่างนี้เลย สถาบันลูกเสือเป็นเพียงสถานที่ให้เธอเล่าเรียนเท่านั้น ไม่ใช่สถานที่แข่งขันเอาชนะกัน ยิ่งไปกว่านั้นทุกวันเธอยุ่งมากๆ วิชาของสถาบันลูกเสือก็ต้องเรียน ภารกิจในมิติการเรียนรู้ก็ต้องทำ แล้วยังต้องดึงเวลาไปศึกษาวิถีที่เธออยากไปด้วย แน่นอนว่าเธอยิ่งไม่ลืมว่าทุกวันต้องไปทำภารกิจเล็กๆ ที่ได้ผลตอบแทนสูงสุดหลายอันที่เสี่ยวซื่อเลือกออกมาในโลกเสมือนจริงด้วย
วันนี้หลิงหลานก็เข้าไปทำภารกิจในโลกเสมือนจริงเหมือนกับทุกที แต่เมื่อเธอเข้าไปที่โลกเสมือนจริงแล้วก็ถูกแจ้งเตือนของเพื่อนๆ ส่งติดต่อกันมามากมายนับไม่ถ้วน เธอเปิดอุปกรณ์สื่อสารที่กระพริบแสงไม่หยุดก่อนจะพบว่าพวกฉีหลงกำลังหาเธอด้วยความร้อนใจอยู่
“มีอะไร?” หลิงหลานสงสัยมาก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดต่อเธอบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ติดต่อพร้อมกันทั้งหมดเหมือนดั่งเช่นวันนี้ เกรงว่าอาจจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
“ลูกพี่ นายอยู่ที่ไหน?” เสียงดังลั่นของฉีหลงแทบจะทำให้หลิงหลานหูดับ
หลิงหลานมองอาคารที่คุ้นเคยข้างกายแวบหนึ่งแล้วตอบว่า “ด้านหน้าตึกเรียนอิเล็กทรอฟิสิกส์หนึ่งร้อยเมตร”
คราวนี้หลิงหลานเตรียมตัวทำภารกิจของอาจารย์ฟิสิกส์คนหนึ่งให้เสร็จ หลังจากนั้นรับการสอนวิชาฟิสิกส์ของอาจารย์ท่านนี้ นี่ไม่ใช่วิดีโอ หากแต่เป็นการสอนตัวต่อตัวโดยเฉพาะ นอกจากนี้จะให้เวลาโดยดูจากระดับความพอใจในการเคลียภารกิจ หรือพูดอีกอย่างก็คือยิ่งหลิงหลานทำสำเร็จได้ดี เวลาก็จะยิ่งยาวขึ้น…นี่ก็คือสาเหตุที่หลิงหลานยินดีรับภารกิจนี้
“แหะๆๆ…ลูกพี่ชอบล้อเล่นจริงๆ ขนาดหนึ่งร้อยเมตรก็สามารถบอกได้ละเอียด” ฉีหลงตอบด้วยรอยยิ้มโง่ๆ เขาย่อมฟังออกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของหลิงหลาน จะต้องรังเกียจที่เสียงของเขาดังมากเกินไปแน่นอน แต่เมื่อสักครู่นี้เขาตื่นเต้นมากไปจริงๆ ก็เลยควบคุมไว้ไม่อยู่
“อย่าเพิ่งรับภารกิจนั้นนะ…” ฉีหลงนึกออกกะทันหันว่าลูกพี่ไปที่นั่นเพื่อทำอะไรก็รีบเอ่ยห้ามไว้ ถึงแม้ว่ารางวัลภารกิจนั้นจะทำให้คนจ้องตาเป็นมัน แต่เนื้อหาภารกิจก็ทำให้คนเป็นบ้าได้
มันเป็นภารกิจการสอบ โดยที่มีเวลาสอบสองชั่วโมง แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่พวกเด็กๆ จะเป็นบ้า เด็กที่สามารถเข้ามาที่สถาบันศูนย์กลางลูกเสือคนไหนที่เป็นคนโง่กัน? พวกเขาไม่กลัวการสอบเลย แต่ทำไมเนื้อหาการสอบของภารกิจอาจารย์ฟิสิกส์ถึงมาจากทุกวิชาล่ะ? ต่อให้เด็กจะฉลาดอีกแค่ไหนก็มีสักหนึ่งหรือสองวิชาที่อ่อนเล็กน้อย นี่ทำให้เด็กส่วนใหญ่สอบตก มีเพียงเด็กส่วนน้อยที่เป็นปีศาจอัจฉริยะเชี่ยวชาญไปทุกด้านสอบผ่านด้วยความโชคดี
ในหมู่พวกฉีหลงมีเพียงหานจี้จวินที่สอบผ่านได้รับการสอนตัวต่อตัวหนึ่งเดือน นี่ทำให้ความรู้ด้านอิเล็กทรอฟิสิกส์หานจี้จวินรุดหน้าไปอย่างก้าวกระโดด จากคำบอกเล่าของหานจี้จวิน เขาไม่กลัวเลยว่าจะมีใครหน้าไหนสามารถไล่ตามวิชานี้เขาทันภายในห้าปี มันช่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ
“เหตุผลล่ะ?” หลิงหลานไม่ใช่คนที่ละทิ้งเป้าหมายของตัวเองได้ง่ายๆ เธอเอ่ยถามอย่างใจเย็น ฉีหลงต้องมีเหตุผลที่พูดเกลี้ยกล่อมเธอ ไม่อย่างนั้นเธอยังคงเลือกทำภารกิจต่อ
“รีบมาที่ถนนหุ่นรบเร็ว มีภารกิจมรดกโผล่ขึ้นที่นี่” ฉีหลงกดเสียงเบาลงเล็กน้อย แต่ยากจะข่มกลั้นความตื่นเต้นไว้ เขาใกล้จะตื่นเต้นแทบบ้าแล้ว
“ภารกิจมรดก? จริงหรือเปล่า?” หลิงหลานได้ยินข่าวนี้ก็ประหลาดใจเช่นกัน เวลาหนึ่งปีมานี้ทำให้เธอค่อยๆ เข้าใจความลับบางอย่างในโลกเสมือนจริง รู้ว่าที่นี่อาจจะมีภารกิจมรดกบางอย่างที่รอผู้เกี่ยวข้องมาขุดค้นมัน แต่ถึงยังไงนี่เป็นเพียงตำนานเท่านั้น ยังไม่เคยได้ยินว่ามีนักเรียนได้รับภารกิจมรดกอันไหนเลย แน่นอนว่าก็ไม่ได้ตัดความเป็นไปได้เรื่องนักเรียนที่ได้รับมรดกแต่ปกปิดเป็นความลับไว้
“จริงอยู่แล้วสิ ภารกิจนี้ถูกทางสถาบันตรวจสอบยืนยันแล้ว ตอนนี้ทุกคนเตรียมตัวจะเข้าไปลองดู แต่ได้ยินนักเรียนที่ทดลองแล้วบอกว่า การทดสอบของภารกิจนี้แปลกพิกลมาก พวกเขาแพ้โดยไม่มีสาเหตุ และถูกส่งออกมาโดยตรง แต่ทุกคนไม่เชื่อคำพูดนี้ และรอเข้าไปต่อสู้ดูสักครั้ง ลูกพี่ นั่นคือมรดก มรดกนะ” ฉีหลงตะโกนเสียงดังพ่นสิ่งที่เขารู้ออกมาทั้งหมดด้วยความตื่นเต้น
ฉีหลงไม่ตื่นเต้นไม่ได้ สำหรับโลกใบนี้แล้วคำว่ามรดกไม่สามารถใช้มั่วซั่วได้ มันต้องเป็นผู้แข็งแกร่งถึงระดับราชันถึงจะมีคุณสมบัติใช้มรดกมาเป็นวิธีถ่ายทอดสิ่งที่เขาได้รับมาชั่วชีวิตให้กับลูกศิษย์ และภารกิจมรดกก็คือการทดสอบอย่างหนึ่งที่ผู้แข็งแกร่งระดับราชันใช้เลือกลูกศิษย์
…………………………………………..
[1] ทัศนคติต่อคุณค่า ต่อชีวิต และต่อโลก