หลิงหลานไม่ได้ถูกฉากอันน่าอัศจรรย์นี้ดึงดูดเลย เธอหน้าเปลี่ยนสี ถึงแม้ว่าเมื่อสักครู่นี้หลิงหลานจะมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในฝ่ามือของหลิงเซียว แต่เธอก็รู้ว่านิ้วมือของหลิงเซียวไม่ได้ลงแรงอะไรเลย เขาเพียงแต่สกัดกั้นลูกปัดคริสตัลพวกนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ว่าพละกำลังอันไร้เรี่ยวแรงที่อยู่ภายใต้การทำงานด้วยความเร็วสุดขีดกลับทำให้คริสตัลแตกเป็นผุยผงจากด้านในจนถึงด้านนอก สามารถมองเห็นพลังทำลายล้างอันน่ากลัวของมันได้เลย
“ดูเหมือนว่าเธอจะเข้าใจแล้วสินะ” การแสดงออกของหลิงหลานทำให้หลิงเซียวพอใจมาก เดิมทีเขาคิดว่าจะต้องอธิบายให้ละเอียด ไม่นึกเลยว่าหลิงหลานจะเข้าใจเนื้อหาที่ลึกซึ้งพวกนี้ได้
“อื้อ ไม่ว่าจะเป็นของอะไรเมื่อถึงขีดจำกัดแล้วก็จะสร้างพลังมหาศาลขึ้นมา” หลิงหลานพูดสรุปสิ่งที่ตัวเองวิเคราะห์มาอย่างระมัดระวัง
ในใจหลิงหลานรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะว่าในที่สุดเธอก็สามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกับคนที่รู้เรื่องพวกนี้ได้แล้ว พวกอาจารย์ในมิติการเรียนรู้ของเธอให้เธอตระหนักรับรู้ด้วยตัวเองเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาไม่ยอมพูดรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับวิถีให้เธอฟังมากนัก ทำให้หลิงหลานมึนงงสับสนเกี่ยวกับเรื่องนี้มาก
“พูดได้ถูกต้อง ไม่นึกเลยว่าลูกจะสังเกตเรื่องนี้ด้วย พ่อเรียกมันว่าพลัง แต่พลังไม่ได้มีแค่อย่างเดียว มันมีอยู่มากมาย แต่หลิงหลาน ลูกต้องจำไว้ว่าอย่าทำเกินกำลังตัวเอง ไม่ใช่ว่ายิ่งมีพลังมากก็ยิ่งดี” หลิงเซียวกวาดตามองหลิงหลานอย่างนิ่งๆ ทำให้ความรู้สึกตื่นเต้นแต่เดิมของหลิงหลานสงบลงอย่างรวดเร็ว
คำเตือนของหลิงเซียวทำให้หลิงหลานใคร่ครวญอย่างรอบคอบ หลิงเซียวไม่ให้หลิงหลานอยู่ในมิติภารกิจนานนัก เขา บอกเธอแค่ว่า ต่อไปก็สามารถเทเลพอร์ตมาที่นี่โดยตรงได้ผ่านทางผลึกคริสตัลพลังจิตของเขา ไม่จำเป็นต้องทำการทดสอบอีก หลังจากนั้นก็ส่งหลิงหลานกลับไปที่จุดล็อกอินของโลกเสมือนจริงทันที
………..
“ในที่สุดเธอก็โผล่มาสักที ลูกพี่!” เสี่ยวซื่อเห็นหลิงหลานปรากฏตัวก็หลั่งน้ำตานองหน้า กระโจนเข้ามาด้วยความน้อยใจ
หลิงหลานรับเสี่ยวซื่อไว้ตามจิตใต้สำนึก ปากก็พูดอย่างระมัดระวังว่า “นายออกมาแบบนี้ จะไม่ถูกคนสงสัยหรือไง?”
เสี่ยวซื่อร้องไห้สะอึกสะอื้น “ไม่เป็นไร ลูกพี่ ที่นี่คือมิติเฉพาะที่ฉันเปิดขึ้นมาเป็นพิเศษ พวกเรามองเห็นอีกฝ่ายได้ แต่พวกเขามองไม่เห็นพวกเรา”
“ใช่แล้ว ตอนที่ไปถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิงในมิติภารกิจ ทำไมนายถึงไม่ส่งเสียงเลยล่ะ?” หลิงหลานสงสัยมาก ควรรู้ไว้ว่าการที่เธอเคยแอบพึมพำเงียบๆ ไม่ใช่เพราะกลัวพ่อไม่ยอมรับ แต่เธออยากให้เสี่ยวซื่อเปิดตู้เซฟทันที เดิมทีเธอคิดว่าเสี่ยวซื่อจะกระโดดออกมาวิจารณ์ความคร่ำครึของพ่อเธอ แต่ไม่นึกเลยว่าเสี่ยวซื่อจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลย
เนื่องจากตอนนั้นภารกิจดูตึงเครียด ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะงุนงงก็ไม่คิดจะไปสอบถามเสี่ยวซื่อว่าเป็นอะไร แต่ว่าตอนนี้หลิงหลานมีเวลาว่างแล้วก็เลยนึกถึงมันขึ้นมา
คำพูดของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อนึกถึงเรื่องเจ็บปวดใจอีกครั้ง เขาร้องไห้คร่ำครวญขึ้นมาอีกรอบ หลังจากที่ได้รับการปลอบโยนของหลิงหลาน เขาถึงค่อยสะอึกสะอื้นพลางบอกสาเหตุออกมา ที่แท้ตอนที่เข้าไปในห้องหนังสือ สิ่งที่หลิงหลานเห็นคือใบหน้ายิ้มแย้มของหลิงเซียว ทว่าสิ่งที่เขามองเห็นคือสายตาเฉียบคมและเย็นเยียบของหลิงเซียว แววตานั้นทำให้เสี่ยวซื่อโปรแกรมรวน เขาถูกเตะออกมาจากมิติมรดกทันที นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวซื่อถึงไม่มีการตอบสนอง เพราะว่าเขาถูกหลิงเซียวเตะออกมาแล้ว
หลิงหลานขมวดคิ้ว กังวลใจเล็กน้อย นี่หมายความว่าพลังจิตของผู้แข็งแกร่งสามารถสังเกตเห็นตัวตนของเสี่ยวซื่อได้ใช่หรือเปล่า?
เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความกังวลของหลิงหลาน ชิปหลักของเขาร้อนขึ้นมา เพียงแต่ความร้อนนี้ทำให้รู้สึกสบายอย่างยิ่ง เขาอารมณ์ดีมากและก็เอ่ยปากอธิบายให้หลิงหลานว่า “ลูกพี่ อย่าห่วงเลย ฉันเคยเจอคนที่มีพลังจิตแข็งแกร่งบางคนแล้ว แต่พวกเขาไม่สังเกตเห็นฉันเลย บางทีอาจเป็นเพราะฉันเข้าไปในมิติมรดกของพ่อเธอ ก็เท่ากับว่าเข้าไปในร่างจิตของเขา ดังนั้นถึงได้ถูกพบ”
“อืม ที่นายพูดมาก็มีเหตุผลเหมือนกัน แต่นายต้องระวังตัวให้มากนะ อย่าเข้าไปในร่างจิตของคนอื่นตามใจชอบเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายขึ้นมา” หลิงหลานรู้สึกว่าที่เสี่ยวซื่อพูดมามีเหตุผลอยู่บ้าง แต่เธอยังคงเตือนเสี่ยวซื่อว่า ต่อไปอยู่ในโลกเสมือนจริงต้องทำอะไรบันยะบันยังหน่อย อย่าคิดว่าตัวเองเป็นเทพจริงๆ
ทั้งสองคนพูดคุยกันต่อสักพัก ในช่วงเวลานี้ เสี่ยวซื่อทำงานหลายอย่างพร้อมกัน เขาควบคุมหลิงหลานตัวปลอมที่ถูกเขาสร้างขึ้นให้เดินออกมาจากห้องสมุดไปยังจุดล็อกอินช้าๆ หลังจากนั้นเขาก็สร้างภาพปลอมว่าหลิงหลานล็อกเอาท์ออกจากโลกเสมือนจริง
หลิงหลานรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยเนื่องจากสิ้นเปลืองสมองและแรงใจในภารกิจมรดก เธอกับเสี่ยวซื่อล็อกเอาท์จากโลกเสมือนจริงด้วยกัน ก่อนจะไปพักผ่อนให้ดีๆ
เนื่องจากการจัดการอย่างรัดกุมของเสี่ยวซื่อ ไม่ว่าจะเป็นทางกองทัพที่ตรวจสอบดูแล หรือว่านักเรียนที่เข้าทำการทดสอบต่างก็ไม่สามารถสังเกตได้เลยสักนิดว่าหลิงหลานได้รับมรดกของหลิงเซียวไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงแล้ว เสี่ยวซื่อสร้างมิติการทดสอบเสมือนจริงให้คงอยู่มาตลอดเพื่อที่จะสร้างภาพลวงว่าภารกิจมรดกยังไม่ถูกเคลียร์ จนกระทั่งวันหนึ่งมันก็หายไปพร้อมกับภารกิจมรดกของหลิงเซียว ทำให้ทางกองทัพคาดไม่ถึง คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ…
…
หลังจากที่หลิงหลานได้รับมรดกของหลิงเซียว เธอก็เริ่มฝึกฝนสองมือให้ควบคุมลูกปัดเล็กๆ พร้อมกันทุกวัน แน่นอนว่าของที่หลิงหลานฝึกฝนไม่ใช่ลูกปัดคริสตัลที่ล้ำค่าพวกนั้น หากแต่เป็นลูกปัดเหล็กแข็งๆ
พวกฉีหลงที่เกาะกลุ่มกับหลิงหลานมาตลอดเห็นลูกพี่หลิงหลานเอาลูกปัดเหล็กสองลูกมาขยับเล่นไปมาในฝ่ามือทั้งสองข้าง ในใจพวกเขาก็รู้สึกสงสัยสุดขีด เอ่ยถามหลิงหลานว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้
หลิงหลานคิดว่านี่ไม่ใช่วิธีการฝึกฝนพิเศษที่ต้องเก็บเป็นความลับอะไร หลิงเซียวเองก็เคยบอกว่า นี่เป็นเพียงเทคนิคเล็กๆ สำหรับการฝึกความเร็วมือเท่านั้น กุญแจสำคัญคือต้องมีความหมั่นเพียร มีความแน่วแน่ ไม่กลัวความยากลำบาก ดังนั้นเธอก็เลยบอกพวกเขานี่คืออะไร ผลจากการฝึกฝนจะมีประโยชน์อะไรให้กับพวกเขาด้วยความใจกว้าง
พอพวกฉีหลงได้ยิน ดวงตาทั้งสองข้างก็เปล่งประกาย ความเร็วมือคือหนึ่งในปัญหาที่กวนใจผู้ควบคุมหุ่นรบและนักรบมาตลอด ถึงแม้ว่าสหพันธรัฐจะพยายามศึกษาวิจัยวิธีการฝึกฝนบางอย่างที่สามารถเพิ่มความเร็วมือได้ ถึงแม้ว่ามันจะมีประสิทธิภาพเหมือนกัน แต่ว่ามันก็เพิ่มได้ไม่มากนัก เมื่อเข้าสู่จุดคอขวดก็ไม่มีผลแล้ว
พวกเขาฝึกตามหลิงหลานอย่างกระตือรือร้น ดังนั้นสถาบันศูนย์กลางลุกเสือก็ปรากฏฉากหนึ่งขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นตอนอ่านหนังสือ ทานข้าวหรือพูดคุยกัน นักเรียนชั้นปีสองห้องเอที่เบื่อหน่ายหลายคนต่างเล่นลูกปัดเม็ดเล็กๆ ในมือ กลิ้งมันไปมาในฝ่ามืออยู่เสมอ….
หลังจากที่ฝึกฝนตามขั้นตอนแบบนี้ไปได้หลายเดือน หลิงหลานก็พบว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอไม่มีการพัฒนาเลย ทุกคืนเธอใช้ลูกปัดเหล็กสามเม็ดมาทำลายพร้อมกันใน 3.0127 นาที เธอวนเวียนอยู่ในช่วงเวลานี้มาหนึ่งเดือนแล้ว หลิงหลานก็รู้ว่าเธอเข้าสู่จุดคอขวดช่วงแรกแล้ว
หลิงหลานอยากทลายจุดคอขวดนี้มาก ดังนั้นเธอเลยตั้งใจเพิ่มเวลาฝึกฝนความเร็วมือเป็นพิเศษ แต่ยิ่งร้อนใจ ประสิทธิภาพก็ยิ่งแย่ หลิงหลานพบว่าการฝืนฝึกฝนอย่างยากลำบากติดต่อกันหลายวันทำให้ความเร็วมือของเธอลดลงไปในระดับหนึ่ง เธอรู้แล้วว่าไม่สามารถทำการฝึกฝนแบบทารุณกรรมตัวเองอย่างนี้ได้อีก ไม่อย่างนั้นมันไม่เพียงจะไม่มีประสิทธิภาพแล้ว มันอาจจะทำให้สองมือของเธอเกิดปัญหาแอบแฝงบางอย่างที่ไม่จำเป็นด้วย
หลิงหลานตัดสินใจพักผ่อนให้ดี นอกจากภารกิจของมิติการเรียนรู้ที่ไม่มีหยุดพักแล้ว เธอเลือกที่จะหยุดการฝึกทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นในโลกความจริงหรือว่าในโลกเสมือนจริง เธอที่เดิมทียุ่งมากก็ว่างลงทันที นี่ทำให้เธอไม่คุ้นชินอยู่บ้าง
เสี่ยวซื่อเห็นลูกพี่ของตัวเองทำหน้าอึดอัดก็นึกถึงวิธีการฆ่าเวลาดีๆ ที่สามารถผ่อนคลายได้ด้วย เขาเตรียมรูปลักษณ์ผู้ใหญ่ให้หลิงหลานใช้ไปเที่ยวเล่นในโลกอินเตอร์เน็ตเสมือนจริงด้านนอกเพื่อสำรวจดูโลกกว้าง
ข้อเสนอแนะของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานตื้นตันใจมาก ถึงยังไงเธอก็ยังไม่เคยไปที่โลกเสมือนที่แท้จริงเลย ท้ายที่สุดแล้วโลกเสมือนจริงของสถาบันลูกเสือก็มีไว้เพื่อให้คุณทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มของโลกเสมือนจริงเท่านั้น
ตื้นตันใจก็ไม่สู้รีบดำเนินการทันที เมื่อถึงตอนบ่ายของวัน หลิงหลานก็ให้เสี่ยวซื่อทำการเตรียมตัว หลังจากนั้นเธอก็ล็อกอินเข้าไปในโลกเสมือนจริง เตรียมพร้อมที่จะไปเที่ยวเล่นในโลกภายนอกสักรอบ
หลิงหลานเข้าไปที่จุดล็อกอิน ยังคงเป็นห้องโถงล็อกอินแต่เดิมของเธอ ดูไม่ออกเลยว่ามีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง หลิงหลานนึกว่าเสี่ยวซื่อลืมเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ ก็เลยพูดด้วยสีหน้ากลุ้มใจว่า “เสี่ยวซื่อ ทำไมนายไม่ช่วยฉันเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ล่ะ?” เด็กก็คือเด็ก ทำพลาดตอนเวลาสำคัญง่ายๆ
เสี่ยวซื่อไร้คำพูด เขาเสกกระจกยาวตั้งพื้นไว้ที่เบื้องหน้าหลิงหลาน แสดงรูปลักษณ์ทั้งหมดของหลิงหลานในปัจจุบันให้ออกมาตรงหน้าหลิงหลานทันที
“แหะๆๆ…” หลิงหลานหัวเราะโง่ๆ ที่แท้ตอนนี้หลิงหลานก็เปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว เสี่ยวซื่อดัดแปลงคลื่นสมองของหลิงหลานในตอนที่เธอล็อกอิน ช่วยเธอสร้างรูปลักษณ์ปลอมออกมาในชั่วพริบตา
รูปลักษณ์ของหลิงหลานในตอนนี้คือเด็กสาววัยแรกแย้มอายุประสาณสิบหกปี หน้าตาคล้ายคลึงกับหลิงหลานในชาติก่อนอยู่หลายส่วน มีใบหน้าซาลาเปา ดวงตากลมโตดูมีชีวิตชีวามาก เห็นได้ชัดว่าดูเฉลียวฉลาดและน่ารักมากๆ
“รูปลักษณ์นี้ดูคาวาอิ[1]มากเกินไปหน่อยหรือเปล่า” สาวน้อยโลลิผิวขาวเนียนสุดๆ ไปเลย หลิงหลานรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย พูดตามตรงเธอชินกับใบหน้าหนุ่มน้อยน่ารักของตัวเองแล้ว
“แบบนี้ถึงจะไม่ทำให้คนสงสัยว่าเธอคือหลิงหลานไง” เสี่ยวซื่องุนงงมาก ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะสร้างรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากหลิงหลานในปัจจุบันไปโดยสิ้นเชิง ทำไมลูกพี่ถึงไม่เห็นด้วยล่ะ?
“ก็จริง” หลิงหลานเองก็ตระหนักขึ้นมาได้เช่นกัน ถ้าหากสร้างรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับรูปลักษณ์เฉพาะตัวของเธอในตอนนี้ ถึงแม้ว่าอัตราความเป็นไปได้ที่จะถูกพบยังคงต่ำมาก แต่ว่ามันก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกค้นพบอยู่เสมอ เสี่ยวซื่อไตร่ตรองได้รอบคอบจริงๆ
หลิงหลานไม่ได้งกคำชมเชยของตัวเองเลย เธอพูดชมเสี่ยวซื่อมากมายจนเสี่ยวซื่อสมองเบลอไปทันที
เมื่อได้ยินหลิงหลานขอให้พาไปที่เมืองหลวง เสี่ยวซื่อที่กำลังมึนงงอยู่นั้นก็เลือกเมืองหลวงแห่งหนึ่งโดยที่ไม่ได้ดูชื่อดาวก่อนจะเทเลพอร์ตไปทันที…
แค่กๆ ใครใช้ให้ดาวทุกดวงต่างก็มีเมืองหลวงล่ะ เสี่ยวซื่อเพิ่งจะเทเลพอร์ตหลิงหลานไปก็ตระหนักถึงปัญหาข้อนี้ได้ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวซื่อก็ไม่กล้าพูดออกมา เมื่อสักครู่นี้เขาเพิ่งจะได้รับคำชมของหลิงหลาน ถ้าตอนนี้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา ไม่ใช่ว่าจะเป็นการตบหน้าตัวเองเหรอ และพอคิดว่าเมืองหลวงของดาวเว่ยหลานก็เป็นเมืองหลวงเช่นกัน นอกจากนี้ลูกพี่ของเขาก็ไม่ได้บอกว่าเมืองหลวงที่เธอจะไปคือเมืองหลวงของดาวโดฮาด้วย…
ตอนนี้หลิงหลานไม่รู้เลยว่า สถานที่เธออยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ดาวโดฮาที่เธออาศัยอยู่ หากแต่เป็นดาวเว่ยหลาน ดาวเคราะห์ที่อยู่บนริมขอบสหพันธรัฐที่อยู่ห่างออกไปหลายล้านปีแสง
หลิงหลานยืนอยู่บนจุดเทเลพอร์ต เธอมองไปยังฉากโบราณงดงามเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง มีอยู่แวบหนึ่งเธอคิดว่าตัวเองกลับไปยังยุคโบราณ “ฉันนึกว่าเมืองหลวงน่าจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากกว่าเมืองที่พวกเราอาศัยอยู่นะ ไม่คิดเลยว่ามันจะโบราณขนาดนี้”
“แต่ละเมืองต่างก็จัดสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน เมืองหลวงของที่นี่จัดฉากค่อนข้างโบราณน่ะ” เสี่ยวซื่อลอบปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก หาเหตุผลที่ดูน่าเชื่อถือมารับมือ
…………………………………..
[1] หมายถึง น่ารักในภาษาญี่ปุ่น