อู่จย่งที่ตามมาติดๆ เห็นหลิงหลานที่อยู่ทางขวามือ เขาก็ยิ้มพลางไปยังที่นั่งโต๊ะกลมทางด้านซ้ายของหลิงหลาน เยี่ยซวี่รวมไปถึงพวกสมาชิกทีมก็ตามเข้าไปเช่นกัน
ต้องบอกว่าตำแหน่งที่หลิงหลานกับอู่จย่งเลือกคือตำแหน่งที่ดีที่สุดในหมู่ตำแหน่งทั้งสาม เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กับหน้าจอขนาดใหญ่มากที่สุด แต่ว่าตำแหน่งอีกอันไม่ได้ดีเท่าพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด ระยะสายตาของตำแหน่งนั้นถูกพวกเขาบดบังไว้บางส่วน
หน้าจอของยานบินแสดงทิวทัศน์ด้านนอกได้ ผู้โดยสารสามารถดื่มเครื่องดื่มไปพลางชมวิวด้านนอกไปพลางหลิงหลานที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่องย่อมไม่ยอมพลาดเรื่องนี้ไปแน่นอน
หานจี้จวินดูคุ้นเคยกับยานบินมาก เขาลากหลินจงชิงเด็กบ้านนอกที่มองดูอย่างเซ่อซ่าเหมือนกันแล้วส่งสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายตามเขาไป หลังจากนั้นพวกเขาก็หาเครื่องดื่มกระป๋องเย็นๆ เจอจากมุมไหนก็ไม่รู้ ก่อนจะหยิบเข้ามาแล้วยื่นส่งให้กับพวกหลิงหลาน
นี่ทำให้เด็กคนอื่นๆ ทำหน้าอิจฉา แต่พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเขาไม่เคยขึ้นยานบินแบบนี้มาก่อน ไม่รู้จริงๆ ว่าจะไปหาเครื่องดื่มที่ไหน แต่ว่ารอบๆก็ไม่มีบริกรแนะนำที่คอยให้บริการอะไรด้วย ถ้าเกิดไม่ระวังก่อเรื่องวุ่นอะไรขึ้นมา…ก็จะยุ่งยากแล้ว
หลิงหลานใช้นิ้วชี้วนไปที่ปากกระป๋องหนึ่งรอบเบาๆ สัมผัสได้ถึงความเย็นเบาบางที่ตัวกระป๋องส่งให้เธอ ถึงแม้ว่าอากาศตอนนี้จะไม่นับว่าร้อนมาก แต่เมื่อมีเครื่องดื่มเย็นๆ แบบนี้ก็นับว่าได้เสพสุขจริงๆ
หลิงหลานทอดมองหานจี้จวินที่กำลังพูดคุยกับฉีหลง หานจี้จวินคล้ายกับสัมผัสได้บ้าง เขาหันหน้ามาแล้วก็เห็นหลิงหลานกำลังมองเขาอยู่ เขาชูเครื่องดื่มในมือขึ้นมาและส่ายมันให้กับเธอ ไม่เพียงเท่านั้นสีหน้าของเขายังดูเหมือนกับแฝงไปด้วยความหยอกเย้าเล็กน้อย
หลิงหลานยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข่าวกรองในบ้านแม่นยำมากเลยนี่!”
แววตาของหานจี้จวินเปล่งประกายขึ้นมาฉับพลัน มุมปากแยกออกเป็นรอยยิ้มอย่างรวดเร็ว เขาเอ่ยอย่างหน้าไม่อายว่า “ไม่ใช่ว่านี่ทำเพื่อบริการลูกพี่เหรอ!”
หลิงหลานหลุดหัวเราะออกมา ได้แต่กุมกระป๋องในมือและแตะเข้ากับกระป๋องเครื่องดื่มของอีกฝ่ายเบาๆ บ่งบอกถึงการยอมรับแล้ว ทั้งสองคนเงยหน้าดื่มเข้าไปหนึ่งอึกพร้อมกัน จากนั้นก็สบตากันแวบหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเอ่ยก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง
หลิงหลานรู้ดีว่า หานจี้จวินทำสิ่งเหล่านี้ก็เพียงเพื่อที่จะบอกเธอว่า เขามาจากแวดวงอะไร….สำนักงานข่าวกรอง? เป็นเด็กที่เจ้าแผนการจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเสี่ยวซื่อรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของพวกเขามาให้เธอนานแล้วละก็ เธอคงจะมองข้ามการบอกใบ้ลับๆ ของหานจี้จวินในครั้งนี้ไปจริงๆ ก็ได้
เป็นเพราะว่าคำพูดบางอย่างไม่สามารถพูดออกไปได้ชัดเจนเหรอ? โดยเฉพาะครอบครัวที่มีสภาพแวดล้อมพิเศษเหมือนกับเขาเช่นนี้ด้วย เห็นได้ชัดว่าหานจี้จวินหน้าเนื้อใจเสือมากกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย ดูท่าการอบรมเขาให้กลายเป็นมันสมองของทีมจะไม่มีปัญหาแล้ว
………
หานจี้จวินพึงพอใจ มุมปากเขายิ้มหนักขึ้น พิสูจน์อีกครั้งแล้วว่า ลูกพี่หลิงหลานเป็นคนฉลาดที่เห็นแค่นิดเดียวก็มองทะลุได้ทันที เรื่องการหยิบเครื่องดื่มในครั้งนี้ ประการแรกคือเขาอยากบอกสภาพแวดล้อมของครอบครัวเขาให้หลิงหลาน ประการที่สองเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของเขาเล็กน้อยที่อยากทดสอบหลิงหลานดู
ตอนแรกที่หานจี้จวินยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่ ส่วนใหญ่แล้วก็ทำเพื่อฉีหลงเพื่อนที่เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากฉีหลงตั้งใจมุ่งมั่นจะติดตามหลิงหลานให้ได้ ในฐานะที่เขาเป็นเพื่อนสนิทก็ได้แต่กัดฟันยอมรับเหมือนกันเท่านั้น
เมื่อเติบโตขึ้นทีละปี หานจี้จวินก็ถามตัวเองอยู่หลายครั้งว่า เขาสามารถติดตามหลิงหลานอย่างสุดหัวใจ ยอมรับเขาเป็นลูกพี่เหมือนกับฉีหลงได้จริงๆ หรือเปล่า? หานจี้จวินรู้ดีว่า ถ้าหากเขาทำด้วยความจริงใจไม่ได้ ฝืนทำต่อไป สุดท้ายต้องมีสักวันที่จะแตกหักเพราะความขัดแย้งด้านผลประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนั้นไม่ว่าใครต่างก็ได้รับความเสียหาย ไม่สู้ฉวยโอกาสบอกให้ชัดเจนตั้งแต่ตอนนี้ สร้างความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคนใหม่อีกครั้ง บางทีความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายอาจจะยาวนานได้มากขึ้น
หานจี้จวินไม่ปฏิเสธว่าหลิงหลานแข็งแกร่งสุดยอด เขาไม่เคยเห็นคนที่มีพรสวรรค์ขนาดหลิงหลานในด้านการต่อสู้มาก่อน พูดง่ายๆ ก็คือเป็นสัตว์ประหลาดที่เกิดมาเพื่อต่อสู้แห่งยุค นี่ก็คือสาเหตุที่ฉีหลงติดตามหลิงหลานอย่างสุดจิตสุดใจ เขาบ้าการต่อสู้ก็ย่อมเคารพนับถืออัจฉริยะแห่งยุคด้านการต่อสู้แบบนี้แน่นอน
แต่หานจี้จวินรู้ดีว่า เขาไม่ใช่คนแบบฉีหลง ไม่ได้คลั่งไคล้การต่อสู้ขนาดนั้น เมื่อเทียบกับการต่อสู้แล้ว เขาชอบการวิจัยศึกษาสงครามอวกาศต่างๆ มากกว่า ภายในกลยุทธ์สงครามอวกาศที่แปลกประหลาดต่างๆ ทำให้เขาหลงใหลมัน เขาเองก็บ้าการบัญชาการยานรบเหมือนกัน ดังนั้นหลิงหลานอาศัยความสามารถด้านการต่อสู้เพียงอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เขายอมรับนับถือได้ เขาชอบใช้สมอง ดังนั้นเขาเองก็หวังว่าจะมีคนที่สามารถใช้สมองมากกว่าเขาทำให้เขาเลื่อมใสศรัทธาเช่นกัน
อย่างไรก็ตามหลายปีมานี้ ท่าทีเย็นชาที่หลิงหลานปฏิบัติต่อหลินจงชิงทำให้หานจี้จวินรู้สึกได้ถึงความไม่ธรรมดาของหลิงหลาน หานจี้จวินเข้าใจดีว่าหลิงหลานต้องรู้ว่าหลินจงชิงไม่ได้ธรรมดาเหมือนกับที่เขาแสดงออกขนาดนั้น ดังนั้นถึงได้เมินเฉยต่อเขาขนาดนี้ แต่หานจี้จวินก็สัมผัสได้ถึงความปากหวานก้นเปรี้ยวของหลินจงชิง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะประสบการณ์ที่ได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่เห็นและได้ยินจากการอยู่ข้างกายบิดาในหลายปีมานี้ ทว่าขอเพียงหลินจงชิงไม่ได้ทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อพวกเขา เขาเองก็ไม่คิดเป็นคนเลวมาเปิดโปงอีกฝ่ายเหมือนกัน
เรื่องของหลินจงชิงพิสูจน์แล้วว่าหลิงหลานไม่ใช่คนที่คิดอะไรง่ายๆ แน่นอน นี่ทำให้หานจี้จวินดีใจมาก ถึงขนาดที่รู้สึกว่าติดตามหลิงหลานแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน แต่อยากให้เขายอมรับสุดหัวใจนั้น อาศัยเรื่องพวกนี้ยังไม่พอ เขาเลยจงใจจัดการบอกใบ้แบบนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้ให้เร็วที่สุด ถ้าหากหลิงหลานไม่สังเกต หานจี้จวินย่อมไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ขนาดนี้ เขาจะให้โอกาสหลิงหลานสามหน ถ้าหากหลิงหลานจับสังเกตโอกาสสามครั้งนี้ไม่ได้เลย เขาก็ได้แต่บอกหลิงหลานถึงจุดยืนของเขาให้ชัดเจนด้วยความเสียใจเท่านั้น
เพียงแต่ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็วของหลิงหลานทำให้เขาตกตะลึงอยู่บ้าง นี่ก็พิสูจน์แล้วว่าเขากับฉีหลงเลือกลูกพี่ไม่ผิดเลย บอกใบ้ครั้งแรก หลิงหลานก็สังเกตได้แล้ว ถึงขนาดที่ในคำพูดยังแฝงความหมายลึกซึ้งเปิดเผยที่มาของเขา ทำให้เขายอมรับสุดจิตสุดใจ นี่พิสูจน์แล้วว่ามีความเป็นไปได้สูงที่หลิงหลานจะฉลาดกว่าที่เขาจินตนาการไว้….
การแตะกระป๋องสุดท้ายคือคำมั่นของเขาต่อหลิงหลานว่า ชาตินี้หานจี้จวินจะยอมรับหลิงหลานเป็นลูกพี่เท่านั้น ไม่ลังเลอีกแล้ว
หลิงหลานไม่รู้ว่าหานจี้จวินสับสนเพราะเรื่องนี้อยู่ ความจริงแล้วเธอไม่เคยเอาคำพูดของฉีหลงกับหานจี้จวินที่ยอมรับเธอเป็นลูกพี่มาใส่ใจเลย นึกว่านี่เป็นแค่คำพูดล้อเล่นของเด็กๆ เท่านั้น เธอไม่รู้เลยว่าเด็กในโลกนี้โตเป็นผู้ใหญ่เร็วเกินไป ให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญาของตัวเองอย่างหาใดเปรียบ ไม่ผิดคำพูดง่ายๆ
……
ทีมของหลิงหลานกับอู่จย่งยึดโต๊ะกลมไว้แต่ละตัว หลี่อิงเจี๋ยที่มาช้ามองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าตำแหน่งที่ดีสองแห่งถูกหลิงหลานกับอู่จย่งแย่งชิงไปแล้ว หลี่อิงเจี๋ยก็ถลึงตามองพวกเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวมาก สุดท้ายก็นั่งลงที่โต๊ะกลมด้านข้างพวกเขาอย่างขุ่นเคือง ใครใช้ให้พวกเขามาช้าขนาดนี้ล่ะ ยึดตำแหน่งดีๆ ไม่ได้ก็พูดอะไรไม่ได้เช่นกัน
เฉิงหย่วนหังตรวจนับจำนวนคนอย่างรวดเร็ว เมื่อยืนยันแล้วว่านักเรียนในห้องทุกคนขึ้นมาบนยานหมดแล้ว ถึงค่อยแจ้งคนขับให้พายานแล่นออกไปจากท่าบินขึ้นไปบนท้องฟ้า
ระยะทางช่วงนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกว่า ทัศนียภาพตลอดทางที่ผ่านมาทำให้หลิงหลานผิดหวังอยู่บ้าง ตอนเริ่มต้นยังดีนิดหน่อย สามารถมองลงมาเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ทำให้หลิงหลานอดอุทานชื่นชมความใหญ่ของสถาบันอีกครั้งไม่ได้ ยิ่งใหญ่เสียจริง แทบจะมีขนาดใหญ่เท่าเมืองระดับพิเศษเลย แต่หลังจากที่เข้าสู่ชั้นอากาศสูง นอกจากเมฆแล้วก็คือเมฆ สุดท้ายหลิงหลานก็หมดความสนใจไปโดยสิ้นเชิง เธอกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้นวมหลับตาลงพักสายตาแล้ว
เวลาที่พวกเขามาถึงท่าอวกาศห่างจากกำหนดการไม่เกินหนึ่งนาที นักเรียนทั้งหมดเดินออกมาจากยานบินอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะเห็นท่าอวกาศขนาดใหญ่โตมโหราฬอย่างหาใดเปรียบ เมื่อยืนอยู่ด้านในสุดแล้วมองออกไปไกลๆ ก็จะรู้สึกว่าท่าอวกาศแห่งนี้ใหญ่เหนือจินตนาการ ท่าอวกาศมียานอวกาศจอดเทียบท่าเกือบหนึ่งหมื่นกว่าลำ ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงในการเดินจากหนึ่งท่าไปอีกท่าหนึ่ง ถ้าหากวิ่งไปผิดที่โดยไม่ระมัดระวัง อยากจะเปลี่ยนท่าก็ยากลำบากอยู่บ้าง แน่นอนว่ารัฐบาลสหพันธรัฐนั้นเฉลียวฉลาด ถึงได้มีรถไฟเฉพาะท่าอากาศยานนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นที่นี่ และขยายเพิ่มขึ้นต่อไปเรื่อยๆ
อาจารย์พาพวกเขาไปยังรถไฟเหาะสำหรับท่าหมายเลข 117 เส้นทางนี้รวดเร็วมาก ไม่ถึงห้านาทีก็ส่งพวกหลิงหลานไปถึงจุดหมายได้อย่างแม่นยำ
พอลงจากรถอีกครั้ง หลิงหลานก็เห็นยานอวกาศทรงกรวยยิ่งใหญ่มหึมาตั้งตระหง่านอยู่บนท่าหมายเลข 117 หัวจรวดที่เรียงติดกันเป็นถี่ๆ โผล่ออกมาข้างนอกเป็นหลักฐานว่านี่คือยานอวกาศติดอาวุธลำหนึ่ง ไม่ใช่ยานท่องเที่ยวที่ให้ประชาชนใช้แน่นอน แม้กระทั่งรูกระสุนที่หลงเหลืออยู่บนลำตัวยานก็พิสูจน์แล้วว่าประวัติความเป็นมาของอีกฝ่ายไม่ธรรมดาเลย
หลิงหลานมองอาจารย์เฉิงหย่วนหังที่นำกลุ่มด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าเขาหายานอวกาศที่น่าเกรงขามขนาดนี้ได้ยังไง ควรรู้ไว้ว่ายานอวกาศที่เคยผ่านการต่อสู้อย่างเห็นได้ชัดแบบนี้ไม่มีทางถูกครอบครองโดยสถาบันลูกเสือเด็ดขาด
เฉิงหย่วนหังพาพวกนักเรียนเดินเข้าไปในยานอวกาศ จากนั้นก็เห็นชายร่างกำยำยืนตัวตรงอยู่หน้าประตูยาน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้สวมเครื่องแบบทหาร แต่หลิงหลานสัมผัสได้ชัดเจนถึงกลิ่นอายทหารอย่างรุนแรงบนร่างของชายผู้นี้ ราวกับว่ายังหลงเหลือไออำมหิตกระหายเลือดที่เพิ่งกลับมาจากสนามรบอย่างไม่จบไม่สิ้น
“เหล่าเหลียน ไม่นึกเลยว่าคนที่มาคือนายนะ ครั้งนี้ต้องรบกวนนายแล้ว” ท่าทีของเฉิงหย่วนหังต่อคนผู้นั้นดูกระตือรือร้นมาก และยังแฝงไปด้วยความเคารพเล็กน้อย
“ฮ่าๆ…เสี่ยวเฉิง ไม่หรอกน่า ขอแค่ฉันมีเวลาว่าง ฉันก็ชอบรับภารกิจของสถาบันพวกนายนะ พี่น้องใต้บังคับบัญชาของฉันหลายคนก็มาจากที่นั่น นายอบรมเขาได้ดีเลย” เหล่าเหลียนตบบ่าเฉิงหย่วนหังพลางหัวเราะเสียงดัง
เขาพูดจบก็ดึงเฉิงหย่วนหังเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบาว่า “เปิดเผยมานะ นักเรียนที่นายพามาคราวนี้ มีคนไหนที่ทำให้นายพอใจบ้าง?”
เฉิงหย่วนหังจ้องมองเขาอย่างไร้คำพูด จากนั้นก็กล่าวว่า “อย่าสนใจพวกเขาเลย พวกเขายังเป็นเด็กนะ”
เหล่าเหลียนคล้ายกับถูกแฉความคิดชั่วร้ายอะไรก็ไม่ปาน จากนั้นก็หัวเราะโง่ๆ ด้วยความกระอักกระอ่วนขึ้นมา เขาหันตัวหนีไปไม่กล้าพูดอะไรอีก ก่อนจะสั่งการพวกลูกน้องเสียงดังว่าให้พาพวกนักเรียนของเฉิงหย่วนหังไปที่ห้องรับรองของพวกเขา
เมื่อเห็นพวกนักเรียนแยกย้ายกันไปแล้ว เฉิงหย่วนหังค่อยดึงเหล่าเหลียนอย่างเงียบเชียบ ส่งสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายมองไปทางอู่จย่งแล้วพูดว่า “นั่นคืออู่จย่ง มาจากตระกูลทหาร นายน่าจะรู้จักปู่ของเขา เป็นเสาหลักตระกูลอู่ของกองทัพ”
เหล่าเหลี่ยนแลบลิ้น อุทานด้วยความตกใจว่า “ไม่นึกเลยว่านั่นคือหลานเขา เขาน่าจะเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์มากที่สุดของชั้นนายแล้วใช่ไหม”
“ไม่ใช่!” เฉิงหย่วนหังกล่าวอย่างเฉียบขาด เขาชี้ไปที่ฉีหลงกับหลิงหลานสองคนแล้วพูดเสียงเบาว่า “เด็กผู้ชายที่หน้าตาโง่ๆ พูดจาโผงผางคนนั้น พรสวรรค์ของเขาไม่ด้อยไปกว่าอู่จย่งแน่นอน ถึงขนาดที่ยังดีกว่าเล็กน้อย เขาชื่อฉีหลง ว่าไปแล้ว พ่อของเขาก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน นายน่าจะรู้จักฉีเย่าหยางใช่ไหม”
“รู้จักอยู่แล้ว นั่นเป็นไพ่ราชาที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่หน่วยผู้ควบคุมหุ่นรบที่สามของเราเชียวนะ ได้ยินว่าคราวนี้เขาจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมระดับราชันแล้ว ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า….” เหล่าเหลียนตกใจจนพูดไม่ออกอีกครั้ง ที่มาของเด็กกลุ่มนี้น่าตกใจอยู่บ้าง
“ก็น่าจะเลื่อนขั้นนะ ตอนแรกเขาจงใจระงับและยืดเวลาเลื่อนขั้นออกไปเพื่อที่จะออกรบได้อย่างราบรื่น ผ่านมาหลายปี เขาน่าจะระงับไว้ไม่อยู่แล้วล่ะ” เนื่องจากเฉินหย่วนหังติดต่อกับผู้อำนวยการสถาบันโดยตรง ดังนั้นจึงได้รับข่าวคราวบางอย่างรวดเร็วมาก
…………………………
Related