แววตาของหลิงเซียวดูพึงพอใจ ความเร็วของหลิงหลานไปถึงเงื่อนไขของเขาแล้วจริงๆ นอกจากนี้ยังเร็วกว่าความต้องการของเขาอยู่นิดหน่อย ในขณะที่หลิงเซียวกำลังคิดจะเอ่ยปากบอกว่าผ่านนั้น เสียงกระทบกันของลูกปัดคริสตัลก็ดังเร็วขึ้นอีกครั้ง จนถึงขนาดก่อตัวเป็นเสียงกริ๊งดังยาวเป็นเสียงเดียว และในเวลานี้นิ้วมือของหลิงหลานได้หายไปแล้ว…
พอเห็นฉากนี้เข้า หลิงเซียวที่เดิมทีมีใบหน้ายิ้มแย้ม สีหน้าก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะรบกวนหลิงหลานแล้วละก็ เขาอาจจะอุทานด้วยความตกใจแล้วก็ได้ เพราะว่าความเร็วมือของหลิงหลานไปถึงขั้นไร้รูปแล้ว นี่เข้าสู่เงื่อนไขตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ของผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาแล้ว ลูกของเขาน่าจะยังอายุไม่เกินสิบขวบใช่ไหมนะ…
เสียง ‘ฟึบ’ ดังอู้อี้ นิ้วมือของหลิงหลานหยุดชะงักลง ทั่วทั้งร่างตื่นขึ้นจากขอบเขตแห่งการไร้รูปเมื่อสักครู่นี้ เธอขมวดคิ้วก่อนจะแบมือออกมา แล้วก็เห็นว่าข้างในยังคงมีลูกปัดคริสตัลอยู่สี่เม็ด ทว่ามีฝุ่นผงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
“แปะๆๆ…” หลิงหลานได้ยินเสียงปรบมือดังขึ้นข้างกาย เธอเงยหน้ามองไป เป็นหลิงเซียวที่ปรบมือช้าๆ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หลิงหลาน ไม่เลวมากๆ ลูกไปถึงระดับไร้รูปแล้ว”
“ไร้รูป?” หลิงหลานเอ่ยถามด้วยความงุนงง หลิงหลานเรียนรู้การฝึกหุ่นรบด้วยตัวเอง ไม่ก็เป็นการสั่งสอนของอาจารย์ในมิติการเรียนรู้ ดังนั้นจึงไม่มีใครอธิบายมาตรฐานบางอย่างของที่นี่ให้เธอฟัง เดิมทีเสี่ยวซื่อควรจะเก็บรวบรวมข้อมูลพวกนี้ไว้ เพียงแต่เสี่ยวซื่อเข้าใจผิดคิดว่าลูกพี่ของเขาต้องเรียนรู้แค่ทักษะของแมนโดราพวกเขาก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นก็เขาเลยมองข้ามเรื่องนี้ไปด้วยความจงใจและไม่ได้ตั้งใจ
หลิงเซียวคล้ายกับมีการเตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว เมื่อได้ยินหลิงหลานสอบถามก็เอ่ยปากอธิบายให้หลิงหลานฟังว่า “ความเร็วมือในการบังคับหุ่นรบแบ่งออกเป็นทั้งหมดห้าขั้น แรกเริ่ม หมายถึงความเร็วขั้นพื้นฐาน ผู้ควบคุมหุ่นรบที่มีความสามารถทั่วไปและผู้ควบคุมหุ่นรบระดับต่ำต่างก็อยู่ในขอบเขตขั้นพื้นฐานนี้ พากเพียร เป็นขั้นต่อมาของความเร็วแรกเริ่ม ปกติแล้วคนที่หมั่นเพียรฝึกฝนต่างก็สามารถไปถึงระดับนี้ได้ ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางก็อยู่ในขั้นนี้ สุดยอด ก็หมายถึงผู้ควบคุมหุ่นรบระดับสูง นี่บ่งบอกว่าความเร็วมือไปถึงระดับขีดจำกัดร่างกายมนุษย์แล้ว เงา ก็คือระดับของผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษ แน่นอนว่าก็มีคนบางส่วนสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาระดับต้นได้ และไร้รูป ค่อยเป็นตัวพิจารณาว่าคือความเร็วมาตรฐานของผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาหรือเปล่า….เดิมทีเงื่อนไขของพ่อคือให้ไปถึงระดับสุดยอดก็พอแล้ว ไม่นึกเลยว่าลูกจะมอบความประหลาดใจอย่างใหญ่หลวงให้พ่อตั้งแต่เริ่มแรกขนาดนี้”
หลิงหลานตั้งใจฟังคำอธิบายของหลิงเซียว จากนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า “ไร้รูปแล้ว ด้านบนยังมีระดับที่สูงกว่าอีกหรือเปล่า? แล้วก็…” ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงหลานจ้องไปหลิงเซียวด้วยความจริงจัง “แล้วความเร็วของคุณคืออะไร?”
หลิงเซียวเงียบสักพักแล้วก็เอ่ยปากพูดว่า “เหนือกว่าไร้รูปคือ ก่อร่าง…แต่ว่านี่ยังเร็วเกินไปหน่อยสำหรับลูก ลูกไม่จำเป็นต้องไปทำความเข้าใจมัน” หลิงเซียวแค่บอกชื่อเรียก แต่ไม่อธิบายรายละเอียด
“แล้วคุณล่ะ?” หลิงหลานไล่ถามต่ออย่างไม่ยอมแพ้ คำถามต่อมานั้นถึงจะเป็นเรื่องที่เธอให้ความสำคัญ
หลิงเซียวมองหลิงหลานนิ่งๆ หลิงหลานมองหลิงเซียวกลับโดยไม่เกรงใจเลยสักนิดเดียว แววตาเต็มไปด้วยความหมายว่าจะไม่มีทางประนีประนอมเด็ดขาด
หลิงเซียวถอนหายใจลึกๆ “ความเร็วมือของพ่อคือ ว่างเปล่า…” น้ำเสียงนั้นฟังดูโอ๋อยู่บ้าง ราวกับจนปัญญาต่อนิสัยดื้อดึงของลูกตัวเองนิดหน่อย
“นี่คงเป็นความเร็วมือสูงสุดแล้วสินะ” หลิงหลานเอ่ยเฉียบขาด ไม่อย่างนั้นหลิงเซียวก็คงเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะไม่ได้
หลิงเซียวส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีใครรู้ว่าขีดจำกัดของมนุษย์อยู่ที่ไหน บางทีตอนนี้ ขั้นว่างเปล่าอาจจะเป็นขีดจำกัดสูงสุด แต่นี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่แท้จริงเหรอ? ไม่มีใครบอกเรื่องที่แน่นอนในอนาคตได้…” แววตาของหลิงเซียวดูเลื่อนลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังหวนนึกถึงอะไรบางอย่าง
หลิงหลานผงกศีรษะด้วยความใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ในชาติก่อนเธอไม่เคยคิดว่ามนุษย์จะแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ แค่มองพละกำลังร่างกายเพียงอย่างเดียวก็เหนือกว่าชาติที่แล้วหลายสิบเท่า….ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีพลังช้างสารในชาติก่อนเทียบได้กับเรี่ยวแรงของเด็กอายุสิบขวบของที่นี่ เห็นได้ว่าหนึ่งหมื่นปีมานี้ มนุษย์ได้ทะลวงสิ่งที่เรียกว่าขีดจำกัดร่างกายมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว
หลิงเซียวได้สติกลับมาในชั่วพริบตา เขารู้สึกได้ว่าหลิงหลานไม่มีคำถามอื่นแล้วก็พูดต่อว่า “ในเมื่อลูกมาถึงเงื่อนไขของพ่อแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็จะมอบมรดกส่วนที่สองให้ลูกแล้ว”
หลิงเซียวกล่าวจบก็โบกมือให้หลิงหลานทีหนึ่ง หลิงหลานรู้สึกว่าตัวเองถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งผลักออกมา หลังจากนั้นก็ตกลงมาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับร่วงลงมาจากที่สูงโดยที่ไม่อาจควบคุมได้
สีหน้าของหลิงหลานซีดเผือดสุดขีด ถึงแม้ว่าเธอจะเคยผ่านช่วงเวลาฝึกฝนอย่างยากลำบากนี้มาแล้ว เอาชนะปัญหาเรื่องกลัวความสูงได้แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่สูญเสียการควบคุมโดยที่ไม่อาจควบคุมได้แบบนี้ เธอยังรู้สึกขนลุกชัน ถ้าไม่ใช่เพราะเธอแน่ใจว่าหลิงเซียวพ่อขี้เหนียวของเธอไม่มีเจตนาร้ายอะไรกับเธอแล้วละก็ ตอนนี้เธอต้องร้องอุทานเสียงหลงแน่นอน ทว่าต่อให้เป็นแบบนี้เธอก็กลัวจนหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาเช่นกัน
หลิงหลานตกลงไปในเขตสีเทาที่เต็มไปด้วยหมอกจนมองไม่เห็นสภาพแวดล้อมรอบด้าน ในขณะที่หลิงหลานกำลังงุนงงอยู่นั้น ข้อมูลนับไม่ถ้วนรวมไปถึงภาพล้ำค่าได้อัดเข้ามาในสมองของเธออย่างเต็มที่…ตัวเลข ท่วงท่า สูตร ประสบการณ์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่หลิงเซียวได้เรียนรู้ ความเข้าใจเรื่องการบังคับ ประสบการณ์ต่อสู้ รวมไปถึงการตระหนักรู้ต่างๆ ได้ยัดเข้าใส่สมองน้อยๆ ของหลิงหลานทีเดียวทั้งหมด
“พอลูกศึกษาเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้วค่อยมาหาพ่อนะ…” หลิงหลานได้ยินหลิงเซียวเอ่ยคำพูดประโยคนี้ท่ามกลางความมึนงง หลังจากนั้นก็หมดสติไปโดยสิ้นเชิง…
อืม ก่อนหน้าที่จะหมดสติ อย่างน้อยที่สุดหลิงหลานยังจำได้ว่าต้องชูนิ้วกลางใส่พ่อของเธออย่างดุดัน เชี่ยเอ๊ย มรดกนี้มันเผด็จการมากไปแล้ว! นี่มันเกินไปแล้วจริงๆ!
ช่างเป็นเด็กที่ดื้อรั้นเหลือเกิน! ลั่วเฟิ่ง เธอเลี้ยงลูกมาไม่เลวเลยจริงๆ!
…………
หลิงหลานได้สติขึ้นมาก็เป็นตอนเช้าวันที่สองแล้ว เธอปีนออกมาจากในแคปซูลเสมือนจริง กุมศีรษะกลับไปที่ห้องนอนตัวเองแล้วพักผ่อนสักครู่หนึ่ง แน่นอนว่านี่ย่อมทำให้หลานลั่วเฟิ่งกังวลใจเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลานลั่วเฟิ่งยังคงเลือกเชื่อในลูกของตัวเอง คิดว่าหลิงหลานสามารถแก้ไขเรื่องทุกอย่างได้
หลังจากที่นอนหลับไปยกหนึ่ง และปิดผนึกสิ่งที่ไม่ต้องใช้ยามนี้ไว้ในส่วนลึกของสมอง จัดการล้างข้อมูลส่วนใหญ่ที่ยัดเต็มสมองภายใต้การช่วยเหลือของเสี่ยวซื่อ ถึงค่อยมีพื้นที่ประมวลผลต่อไป หลังจากนั้นหลิงหลานก็พบว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของส่วนที่สองมรดกหลิงเซียวคือ การฝึกฝนและควบคุมพลังจิต และนี่ก็เป็นกุญแจสำคัญที่ผู้ควบคุมหุ่นรบไพ่ราชาเลื่อนขั้นเป็นราชันด้วย
โดยเฉพาะหลังจากอายุสิบขวบ พลังจิตก็จะเกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา…นี่จะส่งผลกระทบต่อแนวทางการพัฒนาในอนาคตของเจ้าตัว
“เสี่ยวซื่อ นายรู้เรื่องการกลายพันธุ์ทางจิตหรือเปล่า?” หลิงหลานพลันตระหนักขึ้นมาได้ว่าตัวเองอยู่ในช่วงเวลาสำคัญ
“โลกนี้มีคำเรียกขานแบบนี้จริงๆ แต่ว่าจากการวิจัยของระบบแมนโดราเราแล้ว นี่คือการปรากฏขึ้นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ หลังจากอายุสิบขวบ มนุษย์จะเริ่มย่างเข้าสู่กระบวนการที่การทำงานต่างๆ ค่อยๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ พลังจิตที่เดิมทีพัฒนาช้าๆ ได้เข้าสู่ช่วงเวลาเติบโตอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็เริ่มปลุกพรสวรรค์ที่ร่างกายแต่ละคนครอบครองไว้ การตื่นขึ้นมาของพลังจิตที่แฝงด้วยพรสวรรค์แบบนี้ก็คือ สิ่งที่โลกใบนี้เรียกว่าการกลายพันธุ์ของพลังจิต” เสี่ยวซื่อบอกข้อมูลที่พวกเขาวิจัยออกมาให้หลิงหลาน
“ถ้าพูดแบบนั้น การกลายพันธุ์พลังจิตก็เป็นเรื่องดีสิ” หัวใจหลิงหลานรู้สึกผ่อนคลายลงทันที
“ย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน” คำพูดของเสี่ยวซื่อทำให้หลิงหลานนิ่วหน้า สุดท้ายเป็นเรื่องดีหรือว่าเรื่องร้ายล่ะ?
“นี่ต้องดูว่าพรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาคืออะไร ไม่ใช่ว่าพรสวรรค์ทุกอย่างจะเหมาะกับการควบคุมหุ่นรบ”
“อ้อ? แล้วเป็นยังไงล่ะ?” หลิงหลานสงสัยขึ้นมาแล้ว
“พรสวรรค์บางอย่าง เช่น เสียงแห่งความเสื่อมทราม การเต้นรำสู่สวรรค์ หนึ่งยิ้มล่มเมือง…” เสี่ยวซื่อเริ่มรายงานข้อมูลที่เขารวบรวมมา
“บอกรายละเอียดความสามารถของพรสวรรค์ด้วยสิ นายพูดชื่อ ฉันจะไปรู้อะไรได้ล่ะ?” หลิงหลานค้อนใส่เสี่ยวซื่ออย่างดุดันแวบหนึ่ง ไม่พอใจที่เขาขี้เกียจ
เสี่ยวซื่อกรอกตาหนึ่งที เรื่องเข้าใจง่ายมากชัดๆ แต่ลูกพี่ดันอยากให้มันซับซ้อน เขาบุ้ยปากพูดว่า “ความจริงแล้วมันเข้าใจง่ายมากๆ เลยนะ เสียงแห่งความเสื่อมทราม พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาก็คือเสียง หมายความว่าเสียงของเขาสามารถดึงดูดความสนใจผู้คนโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ถึงขนาดที่หลงใหลเคลิบเคลิ้ม ส่วนการเต้นรำสู่สวรรค์คือภาษากายอย่างหนึ่ง สามารถทำให้คนรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าว เหมือนกับความฝันภาพลวงตา หนึ่งยิ้มล่มเมืองนั้นก็ยิ่งเข้าใจง่ายมากขึ้น หนึ่งยิ้มล่มเมือง ยิ้มอีกครั้งล่มประเทศ ยิ้มที่สามล่มอวกาศ…เหอะๆๆ อันที่จริงนะลูกพี่ เธอมีพรสวรรค์ทางด้านนี้มากเลย” เสี่ยวซื่อปิดปากลอบยิ้ม แน่นอนว่าเขาย่อมโดนหลิงหลานที่โกรธเคืองด้วยความอับอายจับตัวไปใช้กำลังรุนแรงในบ้านสักยก….
เสี่ยวซื่อหนีพ้นจากฝ่ามือมารของหลิงหลานด้วยความยากลำบากแล้วค่อยพูดด้วยความคับแค้นใจว่า “ป่าเถื่อนจริงๆ เลย ฉันบอกความจริงไม่ได้แล้ว…” พอเห็นหลิงหลานจ้องมองด้วยดวงตาโหดเหี้ยมอีกครั้ง เขาก็รีบเก็บอาการ ไม่พูดเล่นอีก จากนั้นก็กล่าวต่อด้วยท่าทีตรงไปตรงมาว่า “ผู้ที่มีพวกพรสวรรค์เมื่อสักครู่นี้ตื่นขึ้นมาค่อนข้างเหมาะกับเดินไปทางสายบันเทิง นักร้อง นักเต้นและนักแสดงชื่อดังมากมายในโลกนี้ต่างก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ตื่นขึ้นมา”
“และยกตัวอย่างเช่น แฮคเกอร์ที่พัฒนาเป็นผีซวีที่พวกเราเจอเมื่อหลายปีก่อนคนนั้นก็เป็นการตื่นของพรสวรรค์อย่างหนึ่งเหมือนกัน เพียงแต่พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นมาของเขาเป็นพลังทำลายทางด้านเสมือนจริง” เสี่ยวซื่อยกตัวอย่างที่หลิงหลานคุ้นเคยมาอธิบายอีก
สุดท้ายเสี่ยวซื่อก็มองหลิงหลานแวบหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้มสนุกสนานว่า “อันที่จริง พรสวรรค์ของลูกพี่ก็ตื่นแล้วนะ”
“ว่าไงนะ?” หลิงหลานอุทาน “ทำไมฉันไม่รู้เลยล่ะ?”
“ลูกพี่ไม่สังเกตมาตลอดเลยหรือไง? เรื่องที่เธอสามารถมองทะลุจุดอ่อนของคู่ต่อสู้ในแวบเดียวมันแปลกประหลาดมากไม่ใช่เหรอ?” เสี่ยวซื่อเบ้ปาก ดูถูกความอืดอาดของลูกพี่ตัวเอง
หลิงหลานพลันเข้าใจแจ่มแจ้งทันที มิน่าล่ะ ทุกครั้งที่เธอต่อสู้ถึงสามารถมองเห็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ในแวบเดียวเสมอ ต่อให้ต่อสู้ชี้ขาดกับหุ่นรบของจักรวรรดิฮิงูเระในดาวสัตว์อสูร เธอก็มีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นเธอถึงได้สามารถสร้างกลยุทธ์ได้อย่างราบรื่น ทำให้อีกฝ่ายเคลื่อนไหวเหมือนกับที่เธอต้องการ สุดท้ายก็สังหารมันได้โดยที่ไม่ติดขัดอะไร
“นี่ก็คือพรสวรรค์ของลูกพี่ไง! เพียงแต่พรสวรรค์ของลูกพี่ยังไม่ได้ตื่นมาโดยสมบูรณ์ เธอยังต้องพยายามต่อไป ใช่แล้ว ลูกน้องหมายเลขสองของลูกพี่ (ลูกน้องอันดับหนึ่งคือเขา เสี่ยวซื่อ ส่วนคนอื่นก็ตามหลังไป) สิ่งที่เรียกว่าลางสังหรณ์ที่เหมือนกับสัตว์ป่าของฉีหลงคนนั้นก็เป็นการตื่นขึ้นของพสวรรค์อย่างหนึ่งด้วย…” เสี่ยวซื่อเปิดเผยข้อมูลต่อ
“ที่แท้ฉีหลงก็ปลุกพรสวรรค์แล้วเหมือนกัน!” หลิงหลานอุทาน ทันใดนั้นก็ตะโกนด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่ถูกสิ ฉีหลงมีลางสังหรณ์สัตว์ป่ามาตั้งแต่ตอนที่เด็กมากๆ แล้ว ไม่ใช่ว่าสามารถปลุกพรสวรรค์ได้หลังจากอายุสิบขวบเหรอ?”
“ลูกพี่โง่เง่า เด็กที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมย่อมสามารถปลุกได้เร็ว เหมือนกับลูกพี่ เหมือนกับฉีหลงต่างก็เป็นเด็กแบบนี้ไง แต่ว่าการปลุกล่วงหน้ายังค่อนข้างเป็นเรื่องหายากอยู่ดี เด็กส่วนใหญ่ต่างก็เริ่มต้นตั้งแต่สิบขวบขึ้นไป นอกจากนี้ต่อให้ปลุกล่วงหน้าแล้ว นอกเสียจากเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งแล้วถึงจะสามารถทำให้คนสังเกตเห็นได้ เหมือนกับการตื่นขึ้นมาอย่างลับๆ แบบลูกพี่กับฉีหลง ความจริงแล้วมันเห็นได้ไม่ชัดเลยถูกคนมองข้ามมาตลอด…นี่ถ้าฉันไม่พูด ลูกพี่ก็ไม่รู้เลยหรือไง!” เสี่ยวซื่อเอ่ยอย่างดูถูก
…………………………….