พูดถึงพวกเขาสี่คน ตอนนี้พวกเขาเป็นนักเรียนห้องสเปเชียลบีแล้ว โดยเฉพาะเหอเฉาหยางกับหลี่จิงหง เนื่องจากพรสวรรค์ด้อยกว่าเล็กน้อย พวกเขาจึงพยายามจนเหมือนกับเคี่ยวกรำตัวเองมาตลอดเพื่อที่จะไล่ตามลูกรักของสวรรค์อย่างพวกหลิงหลาน หลังจากที่ผ่านการดิ้นรนฟันฝ่ามาสี่ปี ในที่สุดพวกเขาก็โค่นล้มได้สำเร็จและเบียดเข้าสู่ห้องสเปเชียลบีที่มีการแข่งขันอย่างดุเดือด กลายเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกับหยวนโหยวอวิ๋น หลัวเส่าอวิ๋น หานซู่หย่าและลั่วเฉา และปีนี้พวกเขาก็ก่อตั้งทีมได้อย่างราบรื่นเช่นกัน กลายเป็นสมาชิกทีมที่เติบโตไปด้วยกัน ชื่อทีมของพวกเขาคือ 072 เพื่อที่ระลึกถึงกลุ่ม 072 ที่เข้าสอบด้วยกันในปีนั้น!
สิ่งที่ทำให้คนประหลาดใจมากที่สุดคือ หัวหน้าทีม 072 ก็คือลั่วเฉาที่ปกติมีใบหน้าแดงก่ำ ขัดเขินง่ายดายคนนั้น…คนเราไม่สามารถตัดสินกันที่หน้าตาจริงๆ ด้วย
ตรงกันข้ามกับทีมหลิงหลานที่ขาดหนึ่งคนมาตลอด หลิงหลานไม่สนใจเรื่องนี้ พวกฉีหลงเองก็ไม่ได้ร้อนใจเช่นกัน
คนที่อยู่ด้านหลังพวกหยวนโหยวอวิ๋นก็คือ หานจี้จวิน ลั่วล่างและหลินจงชิงสามคน ถึงแม้ว่าใบหน้าพวกเขาข ข่มกลั้นความตื่นเต้นของตัวเองไว้ได้ แต่แววตายังเผยความตื่นเต้นของพวกเขาอยู่ดี เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกฉีหลงสี่คนเข้าใจความหมายการมาของพวกเขาในครั้งนี้มากกว่า นี่จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สัมผัสถึงโลกของหลิงเซียว ผู้ควบคุมขั้นเทวะ โดยเฉพาะภรรยาในตำนานของหลิงเซียวคนนั้น (นั่นคือแม่ฉันนะ! ←หลิงหลานกลุ้มใจ ลูกน้องกลุ่มนี้ไม่สนใจเธอเลยจริงๆ…)
หลายคนเดินตามหลิงหลานเข้าไปในบ้านพักด้วยความกระสับกระส่าย จากนั้นก็เห็นผู้หญิงที่ดูงดงามคนหนึ่งกำลังยิ้มให้พวกเขา แน่นอนว่าโดยพื้นฐานแล้ว ยุคนี้ต่างก็มีแต่สาวสวยชายหล่อ อย่างไรก็ตาม พวกเด็กๆ ยังคงสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นบนตัวของหลานลั่วเฟิ่ง ทำให้ความรู้สึกตึงเครียดแต่เดิมของพวกเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อยทันที
เด็กๆ ที่ตัวค่อนข้างใหญ่หลายคนเอ่ยทักทายคุณแม่หลิงด้วยความขัดเขินแต่มีมารยาท นี่ทำให้หลานลั่วเฟิ่งดีใจมาก เพราะว่าหลิงหลานของเธอทำหน้าเคร่งเครียดเป็นผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ เสมอ ทำให้บางครั้งเธอไม่มีความรู้สึกประสบความสำเร็จในการเป็นมารดาเลย แต่ในที่สุดตอนนี้เธอก็สัมผัสได้แล้ว…ฮือๆๆ ถ้าหากลูกสาวของเธอร่าเริงมีชีวิตชีวาเหมือนกับพวกเด็กๆ ตรงหน้าก็ดีสิ….
ความหมายที่แฝงอยู่ในแววตาของหลานลั่วเฟิ่งทำให้หน้าผากของหลิงหลานขึ้นขีดดำ ไม่รู้จริงๆ ว่าแม่ของเธอเห็นเด็กพวกนี้ร่าเริงมีชีวิตชีวาจากตรงไหน? เรื่องอื่นไม่ต้องไปพูดถึง พูดแค่หานจี้จวินก็พอ ใบหน้าเคร่งเครียดนั้นไม่ได้ดีไปกว่าเธอที่ไหนเลยนะ…
บอกได้แค่ว่า ผู้ปกครองไม่มีทางพอใจสภาพในปัจจุบันตลอดกาล พวกเขาจะอิจฉาตรงจุดที่ลูกตัวเองทำไม่ได้และไม่สนใจว่าสุดท้ายแล้วมันเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม
หลานลั่วเฟิ่งที่อารมณ์ดีมากย่อมมีท่าทีดีจนทำให้พวกเด็กๆ รู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนลมในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อเทียบกับแม่ที่เป็นทีเร็กซ์ในบ้านแล้วก็อดอิจฉาชีวิตที่มีความสุขของลูกพี่หลานไม่ได้ นี่เป็นการยืนยันอีกครั้งแล้วว่าบ้านคนอื่นดีที่สุดตลอดกาล
ในขณะที่ทานอาหาร หลิงหลานได้เห็นฝีมือทางการทูตที่ยอดเยี่ยมของมารดาตัวเองเป็นครั้งแรก เธอพูดอ้อมๆ โดยไม่ได้เปิดเผยร่องรอยเพื่อทำความเข้าใจพื้นเพครอบครัวของเด็กๆ ทั้งสิบคนได้ทั้งหมด แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าไม่มีคนรู้สึกตัว หานจี้จวินจับสังเกตได้ แต่เขาไม่ได้แปลกใจมากนัก นี่เป็นวิธีการที่มารดาตามมาตรฐานต้องทำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพื่อทำความเข้าใจสภาพการคบหาเพื่อนๆ ของลูกตน ในใจหานจี้จวินเตรียมตัวไว้นานแล้ว และทำการตอบได้เหมาะสมมากที่สุดเช่นกัน
หลานลั่วเฟิ่งมองดูพวกเด็กๆ ตรงหน้าด้วยความพอใจมาก นานมากแล้วที่ไม่ได้คึกคักแบบนี้ ในที่สุดลูกของเธอก็มีเพื่อนของตัวเองแล้ว…ไม่รู้ว่าคนไหนจะกลายเป็นผู้ชายที่ใช่ของลูกสาวเธอกันนะ?
เด็กที่ชื่อฉีหลงมีนิสัยดีมาก และก็เชื่อฟังมากด้วย ไม่เลว ไม่เลวเลย แต่ว่าเด็กที่ชื่อลั่วล่างคนนั้นก็หน้าตาดีมาก เห็นแล้วทำให้คนรู้สึกชอบพอ (หลานลั่วเฟิ่งเป็นพวกบ้าหน้าตา) ถึงแม้ว่าหานจี้จวินคนนั้นจะเคร่งขรึมไปหน่อย แต่ก็ฉลาดมาก จัดการเรื่องราวได้เป็นระเบียบ เหมาะกับลูกสาวเธอมากเหมือนกัน….ส่วนหลินจงชิงคนนั้น ถึงแม้ว่าจะด้อยกว่านิดหน่อย แต่ก็เข้าใจการทำตัวให้ผู้ใหญ่ชอบได้ดีมาก ต่อไปต้องเป็นที่ยอมรับของคนอื่นแน่นอน ไม่เลวเหมือนกัน น่าเสียดายที่เธอมีลูกสาวคนเดียว…
ถึงยังไงหลานลั่วเฟิ่งเห็นเด็กผู้ชายคนไหนก็พึงพอใจและรู้สึกชอบทั้งหมด เธอเริ่มสับสนกับปัญหาแล้วว่าสุดท้ายจะเลือกใครดี
ความคิดเลวร้ายของหลานลั่วเฟิ่งถูกหลิงหลานมองออกในแวบเดียว หน้าผากของเธออดหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาได้ ‘แม่คะ แม่มองด้วยสายตาเหมือนเห็นลูกเขยทำไมฟะ? ตอนนี้ลูกสาวแม่เพิ่งจะสิบขวบเองนะ แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้ลูกสาวแม่เป็นผู้ชายนะ…’
บนโต๊ะอาหารต่างเต็มไปด้วยบรรยากาศสนิทสนมครื้นเครงของเจ้าบ้านและแขกภายใต้การต้อนรับเป็นพิเศษของหลานลั่วเฟิ่งเช่นนี้เอง พวกเด็กๆ ไม่ได้ดูเก้ๆ กังๆ เหมือนในตอนแรกแล้ว
แน่นอนว่าก็มีข้อยกเว้นเหมือนกัน ลั่วเฉาเป็นเพียงคนเดียวบนโต๊ะอาหารที่ก้มหน้ากล้าคีบแค่ข้าวเปล่าในชาม แต่ไม่กล้ายกตะเกียบมาคีบกับข้าว ทำให้หลิงหลานหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้อยู่บ้าง สาวน้อยคนนี้เตรียมตัวจะกินแค่ข้าวเปล่าไปจนถึงตอนสุดท้ายเลยหรือไง?
“เฮ้ กินเนื้อย่างให้มากหน่อยสิ ร่างกายเธออ่อนแอเกินไปแล้วนะ” ที่นั่งของหลิงหลานนั่งอยู่ตรงข้ามเยื้องๆ กับลั่วเฉาพอดี จึงคีบเนื้อสีขาวไปวางไว้ในชามของลั่วเฉาได้สบายๆ ลั่วเฉาที่ขัดเขินน่ารักน่าเอ็นดูทำให้หัวใจเธออ่อนยวบ ความจริงแล้วเนื่องจากพลังจิตของลั่วเฉาเพิ่มเร็วกว่าคนทั่วไป ดังนั้นสภาพร่างกายของเธอจึงไม่ค่อยดีมาตลอด นี่ทำให้หลิงหลานเกิดความรู้สึกหัวอกเดียวกันขึ้นมา ก็เลยดูแลและให้ความสนใจลั่วเฉามากมาตลอด
“ขอบคุณนะ พี่ใหญ่หลาน!” ใบหน้าของลั่วเฉาเป็นแดงเถือก แววตาที่เหมือนกวางน้อยเปล่งประกายระยิบระยับทำให้หลิงหลานเก็บตะเกียบโดยที่หมดคำพูดอย่างยิ่ง หนูจ๋า พี่แค่ใส่ใจร่างกายเธอเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอย่างอื่นเลยจริงๆ…บางทีต่อไปเธออาจจะต้องลดความเอาใจใส่อย่างอดไม่ได้แบบนี้แล้ว
การกระทำเช่นนี้ของหลิงหลานทำให้โต๊ะอาหารที่เดิมทีครึกครื้นเงียบงันลงไปทันที โดยเฉพาะฉีหลงที่อ้าปากกว้าง ตกตะลึงอย่างมากที่จู่ๆ ลูกพี่หลานใจดีห่วงใยลั่วเฉา ส่วนลั่วล่างก็ทำหน้าสับสนว่า สุดท้ายแล้วเขาต้องแยกลูกพี่กับน้องสาวของเขา หรือว่าปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติดี…คนอื่นๆ จ้องมองหลิงหลานกับลั่วเฉาครั้งแล้วครั้งเล่า หรือว่าลูกพี่คบหากับน้องเล็กของพวกเขาในตอนที่พวกเขาไม่รู้?
มีเพียงหานจี้จวินที่ทำหน้านิ่งราวกับไม่ได้รับผลกระทบอะไร น่าเสียดายที่ตะเกียบของเขาคีบกับข้าวพลาดติดต่อกันหลายที ก็เลยรู้ว่าตอนนี้ในใจเขาไม่ได้สงบเหมือนสีหน้าของเขาแน่นอน…
หลิงหลานใช้สายตาดุดันกวาดมองพวกเด็กๆ ที่มีสีหน้าแตกต่างกันไปอย่างไม่สบอารมณ์ ขู่ขวัญจนพวกเขาต้องรีบกอดชามข้าวตัวเองและกลืนข้าวเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง โฮๆๆ ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่สามารถดูดราม่าของลูกพี่ได้…น่าเศร้าที่บนโต๊ะมีอาหารน่าทานมากมายขนาดนี้ แต่ตอนนี้ไม่กล้าเอื้อมมือไปคีบกับข้าวแล้ว!
รอยยิ้มที่เดิมทีงดงามเรียบร้อยของหลานลั่วเฟิ่งแข็งทื่อขึ้นมาฉับพลัน แววตาของเธอสับสนเล็กน้อย หรือว่าเด็กผู้ชายพวกนี้จะไม่มีหวัง? สุดท้ายเธอจะมีลูกสะใภ้เหรอ? ไม่ถูกสิ ดูเหมือนเธอจะคลอดลูกสาวไม่ใช่เหรอ?
ท้ายที่สุดเมื่อเพลงจบแล้วผู้คนก็แยกย้าย พวกเด็กๆ ออกจากบ้านของหลิงหลานไปด้วยความพึงพอใจ ความจริงแล้วหลิงหลานเชิญพวกเขามาเป็นแขกที่บ้านก็ยืนยันแล้วว่า หลิงหลานยอมรับพวกเขาแล้วจริงๆ นี่ก็คือเรื่องที่พวกเขาพอใจมากที่สุดในการมาครั้งนี้
พูดก็คือในที่สุดพวกเขาก็กอดต้นขาได้แล้ว…เอ่อ ควรพูดว่าในที่สุดพวกเขาก็กลายเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของลูกพี่หลานแล้ว!
หลานลั่วเฟิ่งรอคอยหลิงหลานกลับมาจากการส่งแขกอย่างยากลำบาก จากนั้นเธอก็ลากหลิงหลานมาถามด้วยความเคร่งเครียดว่า “หลานน้อยที่รัก ลูกชอบผู้ชายหรือว่าผู้หญิงกันแน่?” เมื่อหลานลั่วเฟิ่งตกอยู่ในสภาพตื่นตระหนกก็จะเรียกหลิงหลานว่าหลานน้อยที่รัก
หลิงหลานลอบกลอกตาอย่างไม่สบอารมณ์ พูดก็พูดเถอะ ตอนนี้เธอยังเป็นเด็กอายุสิบขวบไม่ใช่หรือไง? แม่เธอเริ่มกลุ้มเรื่องนี้เร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า?
“ผมจำได้ว่าแม่ไม่ได้คลอดผมเป็นผู้ชายนะ?” ร่างกายและหัวใจของพี่เป็นผู้หญิงนะคะ จะไปชอบผู้หญิงได้ยังไงเล่า?
“งั้นลั่วเฉาคนนั้นหมายความว่ายังไง?” หลานลั่วเฟิ่งยังคลายข้อสงสัยไม่ได้ จะว่าไปก็เป็นเรื่องหายากเหมือนกันกว่าเธอจะได้รับการปฏิบัติดูแลเอาใจใส่ของหลานน้อยที่รักแบบนี้…เอาเถอะ หลานลั่วเฟิ่งแค่รู้สึกอิจฉานิดหน่อย!
“แม่ไม่คิดว่าเธอน่าเอ็นดูมากเหรอ? น่ารักกว่าเจ้าพวกเด็กกลุ่มนั้นเยอะเลย…” หลิงหลานตอบ “ผมชอบน้องสาวแบบนี้!”
พอเห็นหลานลั่วเฟิ่งทำสีหน้าเหมือนได้รับบาดเจ็บหนัก หลิงหลานก็เอ่ยเสริมด้วยความจนใจว่า “เป็นความรู้สึกของพี่ชายน้องสาวล้วนๆ แม่ครับ อย่าคิดเลยเถิดสิ”
หลิงหลานกล่าวจบก็วิ่งจู๊ดไปทันที! ทิ้งหลานลั่วเฟิ่งที่โดนคำพูดประโยคนี้ของหลิงหลานโจมตีจนกลายเป็นหิน
หลังจากนั้นก็มีเสียงร้องตีโพยตีพายดังขึ้นมาในห้องโถงที่กว้างโล่งว่า
“อ้าๆๆ…คุณน้าหนาน ฉันจะบ้าแล้ว!” หลานลั่วเฟิ่งทึ้งผมฉับพลัน ตอนนี้เธอไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความสง่างามเป็นผู้ดีอีกต่อไปเลยสักนิดเดียว
หลิงหนานอีพุ่งออกมาจากห้องครัวโดยที่ถือมีดไว้เล่มหนึ่ง “คุณนาย เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?”
“ฮือๆๆ คุณน้าหนาน หลานน้อยที่รักคิดว่าตัวเองเป็นผู้ชายไปแล้วจริงๆ…คราวนี้ควรจะทำยังไงดี?” ในสมองหลานลั่วเฟิ่งเต็มไปด้วยคำพูดที่ว่า เป็นความรู้สึกของพี่ชายน้องสาวล้วนๆ…น้องสาวย่อมหมายถึงลั่วเฉา ถ้าอย่างนั้นพี่ชายไม่ใช่หลิงหลานหรอกเหรอ?
หลิงหนานอีได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าก็พลันเยือกเย็นลง “แบบนี้ถึงจะถูกต้องสิคะ ไม่อย่างนั้นคุณชายหลานก็คงปลอมตัวสมบูรณ์แบบขนาดนี้ไม่ได้แล้ว”
“แต่ว่าต่อไปฉันไม่อยากมีลูกสะใภ้ ฉันอยากได้ลูกเขยนะ…” หลานลั่วเฟิ่งกล่าวด้วยความเสียใจ
“วางใจเถอะค่ะ คุณนาย ต่อให้คุณชายหลานมีคุณนายน้อย ด้วยรูปแบบของเทคโนโลยีในตอนนี้สามารถทำให้คุณนายน้อยคลอดลูกของคุณชายหลานได้…” แววตาของหลิงหนานอีเปล่งประกาย เริ่มใคร่ครวญความเป็นไปได้แบบนี้ ว่าเธอต้องไปหาอสุจิที่มียีนยอดเยี่ยมที่ไหน หลังจากนั้นก็ให้อสุจิผสมกับไข่ของคุณชายหลานกับคุณนายน้อยพร้อมกันแล้วให้กำเนิดฝาแฝดออกมาคู่หนึ่ง แน่นอนว่ามีแค่ลูกของคุณชายหลานเท่านั้นถึงจะเป็นผู้นำตระกูลหลิง ส่วนลูกของคุณนายน้อยก็อมรบสั่งสอนให้เป็นหน่วยกล้าตายของลูกคุณชายหลาน…
หลานลั่วเฟิ่งโดนแม่บ้านหลิงหนานอีพูดกล่อมแบบนี้ก็รู้สึกว่าถูกต้องเหมือนกัน ถึงยังไงไม่ว่าลูกสาวของเธอจะรับภรรยาหรือว่าตบแต่งสามีก็ไม่ได้ส่งผลกระทบในการมีหลานของเธอ ดังนั้นเธอถึงค่อยอารมณ์ดี ไม่ได้รู้สึกสับสนอีกต่อไป
หลิงหลานที่เพิ่งจะเดินมาถึงจุดเลี้ยวโค้งได้ยินบทสนทนาของมารดาตนกับแม่บ้าน หน้าผากก็พลันขึ้นขีดดำทันที คนพวกนี้เป็นอะไรกัน…วิธีการคิดของเธออยู่กันคนละคลื่นกับพวกเธอจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลิงหลานไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจเหมือนกัน ตอนนี้เธอเพิ่งจะสิบขวบ ไม่ว่าจะแต่งภรรยาหรือแต่งสามีก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวมาก ตอนนี้ไม่สู้ใช้เวลาทุกวินาทีเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นดีกว่าถึงจะเป็นหลักการที่ถูกต้อง
………….
เวลาสามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว! สามปีมานี้ทำให้หลิงหลานแตกหน่อจากถั่วสั้นออกมาเป็นหนุ่มน้อยเย็นชาหล่อเหลารูปร่างสง่างาม เมื่อเทียบกับสามปีก่อนแล้ว ตอนนี้สถานะของหลิงหลานในห้องสเปเชียลเอของรุ่น 4738 สูงส่งอย่างมาก ต่อให้คนที่มีอิทธิพลอย่างพวกอู๋จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยก็ได้แต่หันปลายดาบออกชั่วคราว ยอมรับหลิงหลานด้วยความเต็มใจว่าเป็นลูกพี่เพียงหนึ่งเดียวของห้องเอ
ความจริงแล้ว สามปีมานี้หลิงหลานไม่ได้ใช้ชีวิตสบายๆ อย่างในสายตาของคนอื่นๆ เลย ตอนกลางวันเธอสง่าผ่าเผยจริงๆ แต่ตอนกลางคืนเธอก็ตกระกำลำบาก โดนอาจารย์หมายเลขสองเคี่ยวกรำทรมานในมิติการเรียนรู้ไปจนถึงที่สุด
…………………..