“ปีสิบ! พวกเขาเห็นปีเจ็ดของเราขัดหูขัดตา เลยอาศัยการกลั่นแกล้งเด็กผู้หญิงห้องบีมายั่วโมโหเรา…” หลิงหลานได้ยินลำดับเรื่องที่ลั่วล่างรายงานก็รู้ว่านี่ย่อมเป็นเป้าหมายของพวกนักเรียนปีสิบที่ต้องการแสดงอำนาจบารมีสักครั้งแน่นอน
“ปีสิบ…ลูกพี่หลาน นายเป็นลูกพี่จริงๆ ฉันยอมรับนายถึงที่สุดแล้ว” เดิมทีอู่จย่งคิดว่าเป็นแค่การต่อสู้ตะลุมบอนกับพวกปีแปดสักครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าคนที่หลิงหลานท้าประลองจะเป็นระดับสูงสุด ขัดแย้งกับพวกปีสิบที่แข็งแกร่งที่สุดโดยตรง ความกล้าหาญแบบนี้ทำให้อู่จย่งยอมรับไปโดยสิ้นเชิง
“อู่จย่ง ฉันได้มายินว่าห้องบีมีคนที่กลายพันธุ์พลังจิตน้อยมาก ขนาดห้องเอก็ยังมีคนครึ่งหนึ่งที่แสดงผลไม่ชัดเจนเลย?” หลิงหลานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
อารมณ์ของอู่จย่งดิ่งลงเล็กน้อย “ใช่แล้ว หลายปีมานี้การกลายพันธุ์พลังจิตของพวกเพื่อนร่วมชั้นเรียนน้อยลงเรื่อยๆ ถ้าเกิดยังไม่กลายพันธุ์ก่อนอายุสิบหกละก็ เกรงว่าจะสูญเสียความเป็นไปได้ในการควบคุมหุ่นรบไป…” คนที่ไม่มีการกลายพันธุ์พลังจิต ต่อให้ควบคุมหุ่นรบก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ผู้ควบคุมหุ่นรบระดับกลางได้ ดังนั้นการสมัครสอบเข้าโรงเรียนทหารใหญ่ๆ หลังจากอายุสิบหก ทางโรงเรียนก็จะไม่รับเด็กๆ เหล่านี้เข้าไปในห้องเรียนหุ่นรบ
“บางครั้งการต่อสู้ที่โหดร้ายจะทำให้พวกเขาพัฒนาและทะลวงขีดจำกัดไปได้…การต่อสู้ประจัญบานเป็นโอกาสครั้งหนึ่ง” หลิงหลานชี้แจงสาเหตุที่เธอต้องการการต่อสู้ประจัญบานออกมาอย่างกำกวม
แววตาของอู่จย่งเปล่งประกาย ยิ่งนับถือหลิงหลานมากขึ้นไปอีก เขาตบหน้าอกทันทีและพูดว่า “ลูกพี่หลานวางใจได้เลย ฉันจะแจ้งเพื่อนเราที่อยู่ในห้องพิเศษทั้งหมด…”
อู่จย่งโด่งดังมากในหมู่ชั้นปี เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับแต่ละกลุ่มมาก ดังนั้นปกติแล้วเพื่อนๆ ในชั้นปีมีเรื่องอะไรที่จัดการลำบาก ก็จะชอบให้อู่จย่งช่วยเหลือ มีเพียงตอนที่อู่จย่งช่วยเหลือไม่ได้แล้วเท่านั้น พวกเขาถึงค่อยคิดขอความช่วยเหลือจากหลิงหลานอย่างระมัดระวัง
ช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะไม่เคยโมโหมาก่อน แต่ว่าใบหน้าเย็นชาที่ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาจางๆ และแววตานิ่งเรียบนั้นทำให้พวกเขาไม่กล้าเข้าใกล้เลย ความจริงแล้วยิ่งเด็กๆ โตขึ้น ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความสูงต่ำของความสามารถ เห็นได้ชัดว่าความสามารถของหลิงหลานหลุดพ้นจากขอบเขตของลูกเสือแล้ว ทำให้ในใจพวกเขาอดเกิดแรงกดดันขึ้นมาไม่ได้ ถึงขนาดที่พวกเขารู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับหลิงหลานน่ากลัวกว่าเผชิญหน้ากับเหล่าอาจารย์อีก
นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงหลานต้องการให้อู่จย่งแจ้งเพื่อนร่วมชั้น ใครใช้ให้เขามนุษยสัมพันธ์ดีล่ะ แน่นอนว่านอกจากหมายเลขติดต่อของอู่จย่งแล้ว หลิงหลานไม่มีเบอร์คนอื่นแล้วจริงๆ เธออยากแจ้งก็ไม่สามารถแจ้งได้
หลิงหลานจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ค่อยออกจากโลกเสมือนจริง เธอเปลี่ยนเป็นสวมฟลายอิ้งสเก็ตและออกไปจากบ้านพักอย่างรวดเร็ว
หลิงหลานเพิ่งจะขี่ฟลายอิ้งสเก็ตลอยขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นเพื่อนร่วมชั้นในหอพักห้องเอจำนวนไม่น้อยที่ได้รับการแจ้งข่าวขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินออกมา
“ลูกพี่หลาน!” ทุกคนต่างหยุดชะงักและทักทายเธอด้วยใบหน้านับถือ ถ้าหากบอกว่าฉีหลงเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของรุ่น 4738 อู่จย่งเป็นเสากลาง ถ้าอย่างนั้นหลิงหลานก็เป็นเสาค้ำสมุทรของชั้นปีพวกเขา เมื่อมีเธออยู่เห็นได้ชัดว่าในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
“อืม ทุกคนมากันหมดแล้ว?” หลิงหลานหยุดฟลายอิ้งสเก็ตให้ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่ถึงหนึ่งนาทีก็มีเพื่อนร่วมชั้นมารวมกลุ่มกันข้างกายเธอสามสิบกว่าคน
“ก็ใกล้แล้ว มีบางคนเดินทางไปก่อนแล้ว” เพื่อนร่วมชั้นหนึ่งในนั้นพูด “ยังมีอีกหลายคนกำลังมา”
“งั้นพวกเราไปกันเถอะ!” หลิงหลานเอ่ยเรียบๆ หลังจากนั้นปากปล่อยพลังงานขับเคลื่อนทั้งสองฝั่งของฟลายอิ้งสเก็ตก็พ่นไอออกมา จากนั้นมันก็เปิดใช้งานในพริบตาก่อนจะบินตรงไปที่โรงอาหารเขตระดับสูงของสถาบัน
“ไป!” เพื่อนร่วมชั้นที่ตามหลังตะโกนเสียงดัง นักเรียนสามสิบกว่าคนขี่ฟลายอิ้งสเก็ตบินรวมกลุ่มตามหลิงหลานอยู่บนท้องฟ้าของสถาบันตามใจชอบ
……………
เวลานี้ในโรงอาหารใหญ่เขตระดับสูงของสถาบัน มีกลุ่มวัยรุ่นชุดแดงอายุสิบห้าสิบหก บางคนนั่งบางคนยืน บางคนพิงบางคนเข้าประชิดล้อมวงพื้นที่หนึ่งเหมือนตั้งใจและไม่ตั้งใจ ส่วนคนผู้หนึ่งที่ค่อนข้างอยู่ใกล้กับด้านในกำลังนั่งไม่ยี่หระอยู่บนเก้าอี้ คนที่ยืนตรงข้ามเขาคือเด็กหนุ่มชุดแดงที่อ่อนเยาว์กว่าพวกเขาเล็กน้อย ทว่าด้านหลังเขากลับมีเด็กสาวกับเด็กหนุ่มอายุเท่าเขายืนอยู่หลายคน มีทั้งชุดเครื่องแบบสีแดงและสีขาว
“ว่าไง ฉีหลง นายคิดจะรับผิดชอบเรื่องนี้เหรอ?” นักเรียนห้องเอชั้นปีสิบคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยัน
ฉีหลงยิ้มกว้างเผยรอยยิ้มอ่อนโยนออกมาและกล่าวว่า “รุ่นพี่ ไม่ว่าเรื่องมันเกิดขึ้นยังไง ตอนนี้ตีก็ตีกันไปแล้ว ด่าก็ด่าไปแล้ว ควรจะหยุดมือกันแล้วใช่ไหม?” ฉีหลงไม่ได้กลัว เพียงแต่ถ้าทะเลาะกันต่อไป ต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา เพื่อนนักเรียนหญิงหลายคนของห้องบีจะต้องประสบหายนะได้รับบาดเจ็บแน่นอน เดิมทีที่เขายื่นมือออกมาขัดขวางก็ไม่อยากเห็นพวกเธอได้รับบาดเจ็บนะ
“ฉีหลง กล้าดีนักนะ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้าใช้น้ำเสียงแบบนี้มาพูดกับรุ่นพี่?” คนผู้นั้นถูกคำพูดที่แฝงไปด้วยกระดูกทิ่มแทงของฉีหลงจนเด้งตัวขึ้นมาด้วยโทสะ ด่าออกมาเสียงดังลั่น
“รุ่นพี่ นายก็คิดมากเกินไปแล้ว!” มุมปากของฉีหลงเผยรอยยิ้มหยันออกมา เวลานี้ทำไมเขาจะดูไม่ออกว่า เดิมทีอีกฝ่ายก็ตั้งใจจะก่อเรื่องให้ใหญ่ คิดจะแสดงอำนาจบาตรใหญ่ให้พวกเขาชั้นปีเจ็ดที่เพิ่งเข้ามาในเขตระดับสูง!
“ฉีหลง! นาย…” ท่าทีแบบนี้ของฉีหลงทำให้นักเรียนปีสิบเดือดดาลมาก นี่เป็นนักเรียนที่เข้ามาใหม่ในเขตระดับสูงเหรอ? คิดถึงตอนแรกที่พวกเขาเพิ่งจะเข้ามาและถูกรุ่นพี่ปีสิบกลั่นแกล้ง ท่าทีของพวกเขาเคารพนอบน้อมสุดขีด ทำไมพอถึงตาพวกเขาแล้วกลับเจอพวกหัวแข็งที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแบบนี้ล่ะ?
“ฉีหลง อย่าอวดดีให้มากนัก! ถึงแม้ว่านายเป็นอันดับหนึ่งของปีเจ็ด แต่ว่าต่อหน้าพวกเราแล้ว นายก็ไม่ได้เป็นอะไรทั้งนั้น…” คนที่เป็นผู้นำเอ่ยด้วยใบหน้าทะมึน “พวกเราอยากเล่นกับนาย ก็เหมือนเล่นกับแมลงตัวเล็กๆ ที่น่าสงสาร…อ่านสถานการณ์หน่อย คุกเข่าขอโทษให้ฉันซะ!”
“คุกเข่า!”
“คุกเข่า!”
“คุกเข่า!”
เสียงคำว่าคุกเข่าดังก้องต่อเนื่องไปทั่วทั้งโรงอาหารของสถาบัน นักเรียนปีสิบรู้สึกโกรธแค้นศัตรูเดียวกันแล้ว ทยอยกดดันฉีหลงที่เป็นผู้นำของพวกปีเจ็ด
นักเรียนปีแปดและปีเก้าทั้งหมดต่างหดตัวอยู่ในมุมไม่กล้าส่งเสียงออกมา นี่เป็นฉากที่เกิดขึ้นทุกปี เป็นการแสดงอำนาจของปีสิบในเขตเรียนระดับสูงใส่ปีเจ็ดที่เลื่อนเข้ามาในเขตเรียนระดับสูงเป็นครั้งแรก นี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อ เด็กปีเจ็ดคนอื่นๆ ปรากฏตัวก็จะได้รับการปฏิบัติแบบนี้…ตอนที่พวกเขาอยู่ปีเจ็ดก็เคยทนรับเหมือนกัน รสชาตินั้นย่อมยากจะลืมเลือน แต่นี่ก็เป็นเขตระดับสูง ใครกำปั้นใหญ่ คนนั้นก็เป็นผู้พูด!
ที่นี่ไม่มีอาจารย์สอดมือยุ่งเกี่ยวกับการกดขี่และความขัดแย้งแบบนี้ ควรพูดว่า เมื่อเข้าสู่เขตเรียนระดับสูงแล้ว พวกเขาคือนักเรียนที่สามารถจบการศึกษา สิ่งที่สถาบันควรสอนก็สอนไปหมดแล้ว หนทางข้างหน้าต่างต้องอาศัยนักเรียนพุ่งไปคว้าด้วยตัวเอง ดังนั้นที่นี่จึงกลายเป็นโลกของผู้ใหญ่ขนาดเล็กๆ เป็นโลกที่พูดด้วยกำลังไม่พูดด้วยเหตุผลล้วนๆ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมทุกปีถึงมีเหตุการณ์ที่นักเรียนปีสิบกดขี่นักเรียนปีเจ็ด เพราะว่ามันกลายเป็นธรรมเนียมสีดำอย่างหนึ่งแล้ว ตอนนั้นได้รับการดูถูก วันนี้ก็เลยต้องการเอาคืนจากรุ่นน้อง
เพราะฉะนั้นต่อให้เดิมทีนักเรียนปีเจ็ดพวกนี้เป็นลูกรักของสวรรค์ของเขตระดับกลาง แต่พวกเขาต้องเรียนรู้ที่จะเดินเก็บหาง[1]ในเขตระดับสูงก่อนเถอะ!
“เหอะๆๆๆ…คุกเข่า? ลูกพี่ฉันบอกฉันว่า ลูกผู้ชายทำได้แค่ตายกระทั่งที่ยืนเท่านั้น จะคุกเข่ารอดชีวิตไม่ได้เด็ดขาด!” รอยยิ้มบนใบหน้าฉีหลงหายไปแล้ว เขาสามารถยอมถอย แต่ไม่อาจสูญเสียเกียรติและศักดิ์ศรีได้
“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็อยากดูว่ากระดูกของนายมันจะแข็งมากแค่ไหนกันแน่!” คนที่เป็นผู้นำเด็กปีสิบเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา ในโรงอาหารก็มีคนยืนออกมาเจ็ดแปดคน ถูกำปั้นเตรียมพร้อมรุมอัดฉีหลง
ฉีหลงเห็นดังนั้นก็ตั้งท่าป้องกันทันที ปากก็แค่นเสียงเย็นว่า “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่า พวกรุ่นพี่จะมีความสามารถเท่าไหร่กันแน่ จะทำให้ผมยอมแพ้ได้หรือเปล่า…”
“ไม่เลว ฉัน ลั่วล่างก็อยากเห็นเหมือนกัน!” ลั่วล่างรู้ว่าไม่สามารถยืดเยื้อได้แล้ว เขาก็เลยยื่นตัวออกมาข้างหน้า ยืนอยู่ข้างๆ ฉีหลง ชูกำปั้นเตรียมพร้อมจะต่อสู้ครั้งใหญ่กับคนพวกนี้
หานซู่หย่าเหนี่ยวกำปั้นทันทีและเอ่ยเสียงดังลั่นว่า “ยังมีฉันด้วย แม่งเอ๊ย ฉันไม่กลัวไอ้สารเลวพวกนี้หรอก!” เธอดูถูกผู้ชายที่กลั่นแกล้งผู้หญิงและคนอ่อนแอมากที่สุด รุ่นพี่ปีสิบพวกนี้ทำผิดหมดทั้งสองอย่าง เธอเลยโกรธแค้นสุดขีด
ลั่วเฉาเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ถูกโอบล้อมแบบนี้ สีหน้าก็ซีดเผือดด้วยความตกใจกลัวอยู่บ้าง ทว่าเธอกลับฝืนประคองเพื่อนผู้หญิงข้างกายที่ถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บไว้โดยไม่ถอยหลังไปสักก้าว เธอไม่มีทางลืมคำพูดที่ลูกพี่หลานบอกกับเธอว่า เธอกลัวได้ ตื่นตระหนกได้ แต่หดหัววิ่งหนีไม่ได้เด็ดขาด!
“เป็นคนอวดดีจริงๆ แค่อันดับหนึ่งของปีเจ็ดคนเดียวก็คิดว่าสถาบันนี้เป็นแผ่นดินของเขาแล้วหรือไง?” นักเรียนปีสิบเริ่มร้องเอะอะ ยิ่งเห็นความใจเด็ดแบบนี้ พวกเขายิ่งอยากทำลาย ตอนนั้นพวกเขาทำไม่ได้ แล้วเด็กปีเจ็ดพวกนี้อาศัยอะไรมีมันได้?
“สั่งสอนมัน!”
“สั่งสอนมัน!”
“สั่งสอนมัน!”
นักเรียนปีสิบต่างต้องการแสดงอำนาจใส่ปีเจ็ด ทั่วทั้งโรงอาหารพลันตกอยู่ท่ามกลางคลื่นเสียงคำว่า ‘สั่งสอนมัน’
“ในเมื่อรุ่นพี่ปีสิบอยากสั่งสอนพวกเราปีเจ็ดขนาดนี้ ถ้างั้นพวกเรานักเรียนปีเจ็ดทุกคนจะรับไว้!” เสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้นที่หน้าประตูใหญ่
ฉีหลงหันหน้ามองไปด้วยความตื่นเต้นยินดี และก็เห็นร่างคุ้นตาที่อยู่ด้านหน้าสุด จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ลูกพี่ นายมาแล้ว!”
นักเรียนสวมชุดเครื่องแบบสีแดงกลุ่มใหญ่ถลันเข้ามาจากหน้าประตู และคนที่นำหน้านั้นก็คือ หลิงหลาน!
เมื่อเห็นว่าจู่ๆ นักเรียนปีเจ็ดก็ออกมากันมากมาย สีหน้าของคนที่เป็นผู้นำนักเรียนปีสิบเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เด็กปีเจ็ดอย่างพวกนายอยากจะกบฏหรือไง?”
“กบฏ? ในสายตาของฉัน พวกนายยังไม่มีคุณสมบัติพอให้พวกเราใช้คำนี้?” คำพูดของหลิงหลานทำให้นักเรียนปีสิบเอะอะโวยวายขึ้นมา แม่งเอ๊ย เด็กปีเจ็ดกลุ่มนี้เข้ามาพร้อมกับความบ้าระห่ำอวดดีมากขึ้นเรื่อยๆ ดูท่าไม่สั่งสอนพวกเขาให้ดีๆ จะไม่ได้แล้ว
“ในเมื่อพวกนายอยากสู้ขนาดนี้ ก็ให้สมดั่งใจพวกนาย พวกเราปีเจ็ดขอท้าต่อสู้ประจัญบานกับนักเรียนปีสิบของพวกนาย!”
“ต่อสู้ประจัญบาน?” นักเรียนปีสิบงุนงงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็พลันนึกอะไรออก แล้วตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกว่า “พวกนายบ้าไปแล้ว!”
เขามองจำนวนคนข้างกายหลิงหลานแล้วพลันโล่งอก “ไม่สิ พวกนายไม่สามารถยื่นคำขอต่อสู้ประจัญบานได้ แค่คนของพวกนายเท่านี้ เป็นไปไม่ได้…”
การต่อสู้ประจัญบานต้องได้รับการยอมรับ 95% จากในนักเรียนหนึ่งร้อยคนของห้องสเปเชียลเอและห้องสเปเชียลบีในชั้นปีถึงจะยื่นผ่านได้
“ถูกต้อง พวกเราขอยื่นคำท้าต่อสู้ประจัญบานกับพวกนายปีสิบ!” อีกเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังหลิงหลาน ที่แท้อู่จย่งได้พานักเรียนกลุ่มหนึ่งเข้ามาเช่นกัน ส่วนใหญ่ต่างก็เป็นนักเรียนห้องปีที่สวมชุดสีขาว
สาเหตุที่อู่จย่งมาสายเป็นเพราะเขาต้องติดต่อคนของห้องบี การต่อสู้ประจัญบานต้องการการเห็นด้วยเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์จากจำนวนคนของห้องสเปเชียลเอและบีถึงจะสามารถยื่นผ่าน ดังนั้นอู่จย่งจึงต้องพูดคุยกับทีมของห้องบีรอบหนึ่ง จนในที่สุดก็มีความคิดเห็นเป็นเอกฉันท์ได้
“พวกนายบ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว!” นักเรียนปีสิบทำหน้าหวาดผวา พวกเขาแค่อยากแสดงอำนาจใส่เด็กปีเจ็ด แต่ไม่ได้อยากเปิดการต่อสู้ประจัญบานที่น่ากลัว นั่นเป็นการเอาชีวิตคนเลยนะ
………………………………..