ภายในเส้นทางเล็กๆ ตรงป่าแห่งหนึ่งของสถาบัน ทีมชุดขาวกลุ่มหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงหลบหนี ตัวอักษรที่ปักตรงหน้าอกแสดงให้เห็นว่าคนกลุ่มนี้คือนักเรียนปีเจ็ด
“พวกเขาไล่ตามเข้ามาแล้ว…” หนึ่งคนในนั้นคล้ายกับสัมผัสอะไรได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวด บอกข่าวร้ายนี้ให้กับสมาชิกทีมข้างกาย
หัวหน้าทีมรู้ว่าวิ่งต่อไปก็ไม่มีประโยชน์? เดิมทีหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะเลยผ่านปล่อยทีมพวกเขาไปได้ ตอนนี้ดูแล้ว ฝ่ายตรงข้ามเล็งจ้องมาที่พวกเขาชัดๆ เขากัดฟัน สั่งการลูกทีมว่า “พวกนายไปก่อน!”
“หัวหน้า!” ลูกทีมทุกคนต่างตื่นตระหนกขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าทีมเตรียมพร้อมจะอยู่ขัดขวางคนที่ไล่ตามมาคนเดียว
“วางใจได้ ถ้าต้านทานไม่ไหวจริงๆ ฉันจะยอมแพ้! แต่พวกเราจะสูญเสียคนทั้งทีมอยู่ในนี้ไม่ได้เด็ดขาด” หัวหน้าทีมคิดจนแจ่มแจ้มมากแล้วว่า พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกลุ่มคนที่ไล่ตามหลังมาเลย ต่อให้ทุกคนในทีมอยู่ต่อสู้ ผลลัพธ์ก็คือพ่ายแพ้อยู่ดี และการตัดสินแพ้ชนะสุดท้ายของการต่อสู้ประจัญบาน หลักๆ แล้วคือดูจำนวนคนที่หลงเหลืออยู่ในตอนสุดท้าย เดิมทีจำนวนคนที่เข้าร่วมการต่อสู้ประจัญบานของปีเจ็ดก็น้อยอยู่แล้ว หากสามารถอยู่ต่อไปได้หนึ่งคนก็ให้อยู่หนึ่งคน
“หัวหน้า นายพาพวกเขาไปก่อน!” ลูกทีมที่อยู่หลังสุดพลันหยุดฝีเท้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิม ในเมื่อต้องทิ้งหนึ่งคนไว้ขัดขวางศัตรู ก็ไม่สู้ให้เขาที่เป็นสมาชิกทีมที่อ่อนแอที่สุดทำ ต่อให้เขาออกจากการต่อสู้ประจัญบานก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถของทั้งทีมมากนัก
“เสี่ยวหมิง…” พวกสมาชิกทีมทำหน้าอาลัยอาวรณ์ พวกเขาเป็นเพื่อนที่เติบโตขึ้นมาด้วยกันนะ
“ยังไม่รีบไปอีก อยากจบเห่อยู่ตรงนี้กันหมดเลยหรือไง?” นักเรียนที่ชื่อเสี่ยวหมิงอดตวาดด้วยความโกรธเกรี้ยวไม่ได้
หัวหน้าทีมเห็นเสี่ยวหมิงรั้งอยู่ด้านหลังไกลมากเกินไป ต่อให้สับเปลี่ยนคนก็ไม่ทันแล้ว เวลานี้เขาจะลังเลไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงกระทืบเท้าแรงๆ เอ่ยสั่งการอย่างเฉียบขาดว่า “พวกเราไป!”
บรรดาลูกทีมได้แต่เก็บสายตาอาลัยอาวรณ์ กัดฟันวิ่งไปข้างหน้าตามหัวหน้าทีมสุดชีวิต จากนั้นร่างของพวกเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว
เด็กหนุ่มชุดแดงคนหนึ่งที่กำลังพุ่งทะยานอยู่ไม่ไกลจากตรงด้านหลังเห็นเสี่ยวหมิง เด็กหนุ่มชุดขาวกำลังยืนอยู่ตรงกลางถนนก็หยุดฝีเท้าลง
เมื่อเขาหยุดชะงัก เด็กหนุ่มชุดแดงหลายคนที่อยู่ด้านหลังก็หยุดก้าวเท้าเช่นเดียวกัน ชุดเครื่องแบบสีแดงของพวกเขาปักตัวเลขสิบเอาไว้ชัดเจน บ่งบอกว่าพวกเขาคือนักเรียนปีสิบ
“เหอะๆ ดูท่าพวกเขาคิดจะเสียสละหนึ่งคนมารักษาสมาชิกทีมคนอื่นๆ ไว้ หัวหน้า พวกเราควรจะทำยังไงดี?” เด็กหนุ่มที่หยุดฝีเท้าคนแรกสุดเอ่ยถามหัวหน้าทีมที่อยู่ด้านหลัง
“สือฉี นายบันทึกข้อมูลคนที่หนีไปพวกนั้นไว้แล้วหรือยัง?” หัวหน้าทีมเอ่ยถามเด็กหนุ่มชุดแดงที่อยู่ข้างๆ อย่างเฉยชา
“หัวหน้า ไม่มีปัญหา ขอเพียงไม่เกินรัศมีสองกิโลเมตร พวกเขาหนีไม่พ้นหรอก” สือฉีเอ่ยอย่างลำพอง พรสวรรค์ที่เขาปลุกขึ้นมาคือ พรสวรรค์ล็อกเป้าหมาย ขอเพียงบันทึกข้อมูลเป้าหมายที่ล็อกเป้าไว้ในสมองก็จะสามารถหาศัตรูได้ภายในขอบเขตรัศมีสองกิโลเมตร
“พวกเขาใช้เวลาประมาณเท่าไหร่ถึงจะหนีออกจากขอบเขตการค้นหาของนายได้?” หัวหน้าทีมถามต่อ
“สี่นาที!” สือฉีตอบอย่างเด็ดขาด
“หยวนเฉิน ฉันมอบคนด้านหลังให้นายเล่นสนุกไปละกัน!” หัวหน้าทีมกล่าวกับคนที่หยุดเดินเป็นคนแรก “นายมีเวลาแค่สามนาทีสามสิบวิเท่านั้น!”
หยวนเฉินถูกำปั้นด้วยความตื่นเต้นพลางกล่าวว่า “เพียงพอแล้ว!” เขาเพิ่งพูดจบก็ทะยานลงจากต้นไม้ไปยังเบื้องหน้าเสี่ยวหมิง เด็กหนุ่มชุดขาวปีเจ็ดที่กำลังยืนอยู่ตรงกลางถนนรอคอยการมาของพวกเขา
คนที่ไล่ตามทีมห้องบีปีเจ็ดกลุ่มนี้ก็คือทีมของจางจิงอันที่กำลังค้นหาเหยื่อนี่เอง
เมื่อเสี่ยวหมิงที่สวมชุดขาวเห็นคนที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเป็นเพียงเด็กหนุ่มชุดแดงคนหนึ่ง เขาก็กำกระบองสั้นในมือแน่นด้วยความตึงเครียด แววตาเผลอจ้องมองไปที่สองฝั่งราวกับกำลังหาสมาชิกทีมคนอื่นๆ ของฝ่ายตรงข้าม
“วางใจได้ คนที่จะจัดการนายมีแค่ฉันเท่านั้น!” คำพูดของหยวนเฉินทำให้เขาโล่งใจ ในขณะเดียวกันก็อดเป็นกังวลพวกเพื่อนๆ ในทีมของเขาไม่ได้
“น่าสงสารจริงๆ ถูกเพื่อนในทีมทรยศทิ้งให้เป็นเหยื่อสังเวย!” หยวนเฉินเดาะลิ้นในปากกล่าวคำว่าน่าสงสารออกมา ทว่ากระบองสั้นในมือกลับไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียว เขาพุ่งเข้าไปฟาดอีกฝ่ายทันทีด้วยความอำมหิต
ทักษะของเสี่ยวหมิงที่สวมชุดขาวปราดเปรียวมาก เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามโจมตีเข้ามาก็กระโดดไปข้างหลังหลบการโจมตีของอีกฝ่าย
“ไม่เลยนี่…ดูเหมือนว่ายังคิดดิ้นรนก่อนตายสินะ” หยวนเฉินเลียริมฝีปากด้วยความตื่นเต้น เขาชูกระบองสั้นขึ้นมาบุกโจมตีต่อ คราวนี้ความเร็วในการจู่โจมของเขาเร็วขึ้นเยอะมาก เหวี่ยงกระบองลงไปราวกับพายุที่โหมกระหน่ำก็ไม่ปาน ดูท่าการโจมตีในตอนแรกจะเป็นเพียงการโจมตีส่งๆ เท่านั้น ไม่ใช่พลังที่แท้จริงของเขา ไม่เพียงเท่านั้น ในปากเขายังไม่ลืมเอ่ย เสียดแทงคู่ต่อสู้ว่า “น่าสงสาร ความสามารถของนายอ่อนด้อยเกินไปแล้ว ต้านทานฉันไม่ได้หลายท่าเลย นายถูกกำหนดให้โดนฉันทรมานแล้ว”
เสี่ยวหมิงที่สวมชุดขาวฟังได้ยินคำพูดของหยวนเฉินก็ไม่สนใจ เขาเพียงแต่กัดฟันแน่น ต้านทานสุดชีวิต ในที่สุดก็ป้องกันการโจมตีอย่างรุนแรงของอีกฝ่ายในรอบนี้ได้ แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เสี่ยวหมิงรู้ได้ว่ามือขวาที่กุมกระบองของตัวเองถูกพลังของอีกฝ่ายสะเทือนกลับจนชา ค่อยๆ สูญเสียความรู้สึกไป เขารู้ว่าถ้าเกิดอีกฝ่ายโจมตีแบบนี้อีก เขาต้องป้องกันไม่ไหวแน่นอน…
เสียงผัวะดังขึ้น! นี่เป็นเสียงกระบองสั้นตีใส่กายเนื้อ!
“อ๊าก!” เสี่ยวหมิงร้องด้วยความเจ็บปวด ร่างของเขาถูกพลังโจมตีจนกระเด็นออกไป ความชาทำให้มือขวาช้าลง ในที่สุดก็ไม่สามารถสกัดกั้นการโจมตีอย่างโหดเหี้ยมของอีกฝ่ายได้ทันเวลา
หยวนเฉินเห็นดังนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เดิมทีนี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้แล้ว ดังนั้นเมื่อเขาได้เปรียบก็จะไม่ปรานี เข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เตรียมพร้อมจะฟาดกระบองใส่อีกฝ่ายแรงๆ
เวลานี้เอง สือฉีที่กำลังอยู่บนต้นไม้ชมการต่อสู้เงียบๆ นั้นก็พลันร้องเอ๊ะด้วยความตกใจ
จางจิงอันเลิกคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น? สือฉี?”
“ไม่มีอะไร หัวหน้า! แค่หนูที่หนีไปพวกนั้นย้อนกลับมาแล้ว!” สือฉีบอกสิ่งที่เขาพบให้ทุกคนฟัง
“อยากจู่โจมกลับเหรอ? หรือว่าคิดจะลอบโจมตี? นี่ดูถูกพวกเรามากไปแล้วใช่ไหม?” ลูกทีมอีกคนอดหัวเราะเยาะขึ้นมาไม่ได้
“แบบนี้ยิ่งดีเลย ไม่ต้องให้พวกเราเปลืองแรงไล่ตาม” จางจิงอันกลับรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี ดังนั้นเขาจึงตะโกนบอกหยวนเฉินที่อยู่ด้านล่างเสียงดังว่า “หยวนเฉิน ค่อยๆ เล่นนะ หนูน้อยพวกนั้นกลับมาแล้ว นายมีเวลาอยู่”
คำพูดของจางจิงอันทำให้เสี่ยวหมิงที่สวมชุดขาวตื่นตระหนก ในใจเขาทั้งโกรธทั้งกังวล โมโหว่าทำไมพวกเพื่อนร่วมทีมถึงตัดสินใจกลับมา กังวลว่าพวกเขาอาจจะถูกกำจัดจนหมดเพราะแบบนี้ได้
ต่อให้ในใจเสี่ยวหมิงที่สวมชุดขาวจะโกรธเกรี้ยวร้อนใจอีกสักแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถสะกดกลั้นความอบอุ่นมหาศาลที่โจมตีหัวใจได้ เขารู้ว่าที่พวกเพื่อนๆ ในทีมตัดสินใจแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเป็นเพราะไม่อยากทิ้งเขาไว้
หยวนเฉินได้ยินคำพูดของจางจิงอัน ความเร็วในการโจมตีแต่เดิมก็พลันช้าลง เขากวัดแกว่งกระบองไปพลาง กล่าวเยาะหยันเสี่ยวหมิงในชุดสีขาวที่กำลังต้านทานอยู่ตรงข้ามเขาสุดชีวิตไปพลาง “เหอะ ดูเหมือนว่าพวกเพื่อนร่วมทีมของนายยังคาดหวังในตัวนายมากเลยนะ ถึงได้ตัดสินใจกลับมาช่วยนาย…แต่ว่า การตัดสินใจแบบนี้โง่เง่ามากเกินไปแล้ว ทีมของนายอ่อนแอมากจริงๆ ใครเป็นหัวหน้าทีมนะ? ไม่ต้องพูดถึงความอืดอาดยืดยาดลังเลไม่กล้าตัดสินใจเลย นี่ยังไม่รู้จักประมาณตนอีก…พวกนายไม่มีทางกลายเป็นทีมที่แข็งแกร่ง ไม่มีทางกลายผู้แข็งแกร่งภายใต้การนำของเขาหรอก ก็เหมือนกับตอนนี้ไง พวกนายเป็นได้แค่ก้อนหินให้พวกเราเหยียบย่ำเท่านั้น!”
“ทีมพวกเราอ่อนแอหรือเปล่า ฉันไม่รู้ แต่ฉันรู้ว่าทีมของฉันดีกว่าทีมของนายหน่อยนึง อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็มีความเป็นคนมากกว่าพวกนาย” เสี่ยวหมิงในชุดขาวตอบกลับอย่างเย็นชา บอกว่าเขาอ่อนแอก็ไม่เป็นไร แต่จะมาดูถูกหัวหน้าทีมกับเพื่อนๆ ของเขาไม่ได้
“รนหาที่ตาย!” คำถากถางของเสี่ยวหมิงที่สวมชุดขาวยั่วโทสะของหยวนเฉินโดยสิ้นเชิง ความเร็วในการโจมตีเพิ่มขึ้นอีกครั้ง กระบองยางฟาดไปที่ร่างกายของอีกฝ่ายติดต่อกันโดยไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียว เขาซัดอีกฝ่ายกระเด็นออกไปอย่างรุนแรงอีกรอบ การโจมตีอย่างหนักหน่วงติดต่อกันแบบนี้ทำให้เสี่ยวหมิงในชุดขาวได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสสุดขีด จนอดกระอักเลือดออกมาไม่ได้
บนกิ่งไม้ของต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งในบริเวณที่ไม่ไกลนั้น หลิงหลานกำลังมองจดจ่อมายังที่นี่ ในมือเธอปรากฏลูกแก้วน้ำแข็งที่มีไอเย็นคุกคามอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นประโยชน์อื่นๆ ของพันธะน้ำแข็ง แต่ว่าตอนที่ลอบลงมือทำร้ายนั้น เธอไม่จำเป็นต้องเสียแรงไปหาอาวุธสังหารก็ได้ เธอแค่คิดก็ได้มันแล้ว
หลิงหลานเล็งไปยังทิศทางหนึ่ง ตรงนั้นมีร่างของคนผู้หนึ่งกำลังนอนหมอบอยู่…เธอลอบดีดนิ้วอย่างคล่องแคล่วทีหนึ่ง ลูกแก้วน้ำแข็งก็ถูกดีดออกไป…
“อุ๊ย!” เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งที่กำลังหมอบลอบชมเรื่องสนุกอยู่บนต้นไม้ใหญ่รู้สึกว่าแผ่นหลังถูกพลังสายหนึ่งกระแทกใส่เบาๆ พลังนี้ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวด แต่ทำให้เขาสูญเสียสมดุลไปโดยสิ้นเชิง ก่อนจะร่วงลงมาจากกิ่งไม้ที่อยู่สูงๆ
เขาหันหน้ามองไปแต่ก็ไม่พบใครสักคน ในอากาศคล้ายกับมีแสงระยิบระยับแวววาวบางอย่าง เพียงแต่เมื่อเขาเพ่งตามองไป มันก็หายไปแล้วราวกับว่านั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาของเขาเท่านั้น
“อ๊ากๆๆ…ช่วยด้วย!” เด็กหนุ่มชุดขาวหาตัวการไม่เจอ ได้แต่หันหน้ากลับมา ทำท่าดิ้นรนสุดชีวิตอยู่กลางอากาศ แต่สุดท้ายก็ยังกระแทกพื้นในท่าหมอบกราบ
ฉากไม่คาดฝันนี้ทำพวกจางจิงอันสะดุ้งด้วยความตกใจ เท้าของหยวนเฉินที่เดิมทียังคิดจะบุกเข้าไปโจมตีพลันหยุดชะงักลง เขาหันหน้ากลับมาเพ่งมองแขกไม่คาดฝันที่รบกวนการต่อสู้ของเขาคนนี้
เมื่อเทียบกับความตกใจของคนอื่นๆ แล้ว ใบหน้าของจางจิงอันกลับปรากฏร่องรอยความจริงจังออกมารางๆ สามารถเข้าใกล้พวกเขาอย่างไร้สุ้มเสียงและไม่ทำให้เขารู้สึกตัว เด็กหนุ่มชุดขาวคนนี้ไม่ธรรมดาอย่างไม่ต้องสงสัย มีความเป็นไปได้สูงว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถลับเฉพาะ จางจิงอันกำจัดเหตุผลว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเขาไปทันที เขาไม่คิดว่าความสามารถของเด็กห้องบีจะแข็งแกร่งกว่าเขาตรงไหน
เด็กหนุ่มชุดขาวส่งเสียงโอดครวญกระเสือกกระสนลุกขึ้นมาจากพื้น ท่าทีน่าขบขันแบบนี้ทำให้ทุกคนมองเขาด้วยความสนใจ
ส่วนเสี่ยวหมิงในชุดขาวที่บาดเจ็บสาหัสล้มอยู่บนพื้นเห็นใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดขาวเข้า ก็อดอุทานออกมาไม่ได้ “เซี่ยอี๋ นายมาได้ยังไง?”
“ที่แท้ก็เป็นรุ่นน้องปีเจ็ดนี่เอง มาช่วยเพื่อนร่วมชั้นของนายเหรอ? ช่างมีมิตรภาพของเพื่อนร่วมห้องจริงๆ” หยวนเฉินเห็นตัวเลขที่ปักอยู่บนหน้าอกของอีกฝ่ายได้ชัดเจน มือที่กุมกระบองสั้นเคาะไปที่มือซ้ายของตัวเองเบาๆ เอ่ยเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
เซี่ยอี๋ปัดฝุ่นบนตัว เอ่ยด้วยใบหน้าขมขื่นว่า “นายก็มองฉันดีเกินไปแล้ว เจอทีมอันดับหนึ่งของปีสิบ ถ้าฉันมีความคิดนี้ก็คงสมองพิการแน่นอน ความจริงฉันแค่ไม่ได้กอดกิ่งไม้ไว้แน่นๆ ก็เลยพลัดตกลงมาโดยไม่ได้ระวัง ถ้าเกิดเป็นไปได้ พวกนายก็ทำเหมือนมองไม่เห็นฉันเถอะ…”
“นายว่าเป็นไปได้ไหมล่ะ?” หยวนเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา
เซี่ยอี๋ทำหน้าหนักอึ้งทันใด ในปากก็พ่นคำพูดออกมาว่า “ฉันเพิ่งจะรู้ว่า ถ้ากอดกิ่งไม้ไว้ไม่แน่นก็จะมีจุดจบแบบนี้…แค่ก ฉันนี่ช่างน่าสงสารจริงๆ แค่ดูละครก็ถูกดึงเข้าไปพัวพันข้างใน…ไม่งั้น พวกรุ่นพี่ก็มีเมตตา แลกเปลี่ยนกันสักกระบวนท่าเพื่อแสดงให้ดูเฉยๆ ก็ดีนะครับ”
เซี่ยอี๋พูดถึงตรงนี้ แววตาก็เปล่งประกาย ท่าทีอยากปรึกษาหารือกับรุ่นพี่ปีสิบทำให้นักเรียนปีสิบหงุดหงิดอย่างยิ่ง หมอนี่สมองบกพร่องจริงๆ หรือไง?
………………………..