“พลโทไห่เสินของสหพันธรัฐเรา อสูรเฒ่าของตระกูลมู่ฉีกวนตง ราชามาคิโนะของจักรวรรดิฮิงูเระรวมไปถึงนายพลเรย์ของโดซา ไกลขึ้นอีกหน่อยก็เช่น ราชินีเฮเลนของสมาพันธ์โอยา ปราชญ์วารีของกาแล็กซีดาวใต้ จักรพรรดิน้ำแข็งของดินแดนโกลาหลต่างก็มีความสามารถของเขตแดนที่คล้ายกัน” ซูชิงเอ่ยชื่อยอดฝีมือชื่อดังทั่วโลกมนุษย์ที่มีเงื่อนไขต่างๆ สอดคล้องอย่างมากออกมาทีละคน
“คล้ายกัน? งั้นก็หมายความว่าไม่ใช่คนพวกนี้สินะ…” ผู้อำนวยการฟังความหมายแฝงของซูชิงออก
“ครับ ถึงแม้ว่าความสามารถเขตแดนของยอดฝีมือเหล่านี้จะคล้ายคลึงกับที่ผมสัมผัสได้มาก แต่ว่ามันก็แค่คล้ายเท่านั้น” ซูชิงรู้ดีว่า ความสามารถของเขตแดนคนเหล่านี้ยังแตกต่างอยู่บ้าง
“พูดอีกอย่างก็คือ นี่เป็นยอดฝีมือระดับเขตแดนที่ยังไม่ได้บันทึกลงในแฟ้มสินะ…” คิ้วของผู้อำนวยการขมวดแน่นมากกว่าเดิม “ซูชิง นายหมายความว่า นี่เป็นยอดฝีมือระดับเขตแดนบางคนที่ประเทศศัตรูจงใจปิดบังอำพรางไว้และพยายามวางแผนร้ายพุ่งเป้ามาที่สหพันธรัฐของเราอย่างนั้นเหรอ”
ซูชิงพูดไม่ออก ความกังวลของท่านผู้อำนวยการไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่ที่จักรวรรดิฮิงูเระวางแผนสังหารพลตรีหลิงเซียวผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะ ทำให้พลังต่อต้านศัตรูภายนอกของสหพันธรัฐลดลงไปสามขั้น ทุกสิ่งทุกอย่างต่างก็มีความเป็นไปได้ทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม เขาครุ่นคิดสักพักแล้วก็เอ่ยปากว่า “เป็นไปได้ว่ามียอดฝีมือระดับเขตแดนที่เพิ่งเลื่อนขั้นขึ้นมา เพียงแต่พวกเราที่นี่ไม่ได้รับข้อมูลเท่านั้น” นี่เป็นผลสรุปที่ดีที่สุด แต่ซูชิงไม่ได้กอดความหวังกับเรื่องนี้ เพราะว่าการเลื่อนขั้นใหม่หนึ่งคนยังมีความเป็นไปได้ แต่การที่ยอดฝีมือระดับเขตแดนลึกลับสามคนปรากฏตัวพร้อมกันในช่วงเวลาสั้นๆ อย่างหาสาเหตุไม่ได้ นี่เห็นได้ชัดว่าฟังไม่ขึ้นอยู่บ้าง
ผู้อำนวยการเองก็รู้จุดนี้ดีเหมือนกัน เขาเงียบไปสักพักแล้วก็ถามต่อว่า “หาร่องรอยของอีกฝ่ายตอนนี้ได้หรือเปล่า?” ไม่ว่าผู้มาจะมีเจตนาอะไร พวกเขาต้องรีบหาอีกฝ่ายให้เจอโดยเร็วที่สุด ลงมือก่อนถึงจะดี
ซูชิงได้ยินคำพูดนี้ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “ท่านผู้อำนวยการครับ คุณลืมไปแล้วนะว่าผมไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องตามรอย…”
ผู้อำนวยการเคาะหัวตัวเองด้วยความหงุดหงิดและพูดอย่างกลัดกลุ้มว่า “ให้ตายสิ ถูกปัญหาพวกนี้ทำเอาเลอะเลือนไปแล้ว…ลู่หนาน มาแล้วหรือยัง?” เขาถามพลางมองไปยังพวกอาจารย์ที่มากันหลายคน
“ผมอยู่นี่ครับ ท่านผู้อำนวยการ!” อาจารย์คนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลชูมือตะโกนด้วยความจนใจ เมื่อไหร่ท่านผู้อำนวยการจะจำหน้าเขาได้นะ? อยู่ข้างๆ เขา แล้วยังจะถามว่ามาแล้วหรือยัง นี่มันน่าเสียใจจริงๆ!
ถึงแม้ว่าลู่หนานจะเศร้าใจเล็กน้อย แต่เขายังคงล็อคพลังงานธาตุน้ำที่รุนแรงที่สุดในนั้นทันทีก่อนจะทำการค้นหา อย่างไรก็ตาม คราวนี้เขากลับทำล้มเหลว เพราะว่านอกจากในพื้นที่หนึ่งร้อยเมตรที่มีพลังงานแบบนี้แล้ว ด้านนอกก็ไม่มีพลังงานแบบนี้อีก ดูเหมือนยอดฝีมือระดับเขตแดนคนนั้นจะไม่ได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้เลย
ลู่หนานไม่ยอมแพ้ เขาล็อคไปยังพลังงานที่ดูว่างเปล่าอยู่บ้างนั้นโดยไม่ลังเลเลยสักนิด แต่ไม่ว่าเขาจะล็อคเป้าหมายยังไง ก็ไม่สามารถจับพลังงานจางๆ นั้นได้เลย หลังจากที่ลองแล้วล้มเหลวมาห้าหกครั้ง ลู่หนานก็ได้แต่เลือกยอมแพ้และไปล็อคพลังงานที่ทำให้คนรู้สึกอึดอัดเป็นปฏิปักษ์อยู่บ้าง
เดิมทีลู่หนานคิดว่าอาจจะไม่สำเร็จเลยสักครั้ง ไม่นึกเลยว่าเขาจะล็อคเป้าหมายได้ทันที แต่เขายังไม่ทันเปิดการค้นหาเส้นทางก็พบว่าพลังงานที่สัมผัสกับพลังงานเขตแดนของเขาเผาตัวเองโดยไม่มีลม จากนั้นก็เริ่มกลืนกินแหล่งพลังงานของเขา…
เหตุการณ์ประหลาดแบบนี้ทำให้ลู่หนานหน้าเปลี่ยนสีอย่างมาก เขาตัดการล็อคเป้าหมายแหล่งพลังงานของพลังงานสายนั้นอย่างเด็ดขาด ปฏิกิริยาตอบสนองของเขานับว่ารวดเร็วขั้นเทพ แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วินาทีนี้ แหล่งพลังงานน่ากลัวนั้นพลันกลืนกินพลังงานของเขาหนึ่งในห้าส่วนไปแล้ว
ผู้อำนวยการเห็นสีหน้าของลู่หนานเปลี่ยนไปยกใหญ่และถอยหลังติดต่อกันหลายก้าว ทั่วทั้งร่างดูซูบซีดอ่อนปวกเปียกก็อดถามด้วยความตกใจไม่ได้ว่า “ลู่หนาน นายเป็นอะไร?”
ลู่หนานพูดด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ขอโทษครับ ท่านผู้อำนวยการ ผมค้นหาทิศทางที่อีกฝ่ายไปไม่ได้ครับ…”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” แววตาของผู้อำนวยการกดลงฉับพลัน ในใจหวั่นไหวตกตะลึง
ควรรู้ไว้ว่า ต่อให้ความสามารถในการติดตามรอยของลู่หนานจะเรียกว่าอันดับหนึ่งไม่ได้ แต่ว่าก็เพียงพอให้ไปติดในสามอันดับแรก ขอเพียงเขาออกหน้าติดตามรอย ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งระดับเขตแดนก็หนีออกจากการค้นหาของเขาได้ยาก เดิมทีเขาคิดว่าคราวนี้ลู่หนานต้องหาเบาะแสบางอย่างพบแน่นอน ไม่คิดเลยว่าเขาเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
“ยอดฝีมือระดับเขตแดนความสามารถธาตุน้ำที่ซูชิงพูดมาไม่ได้ออกจากพื้นที่ประมาณหนึ่งร้อยเมตรนี้เลย นี่จะให้ผมไปค้นหาอะไร…ส่วนพลังงานที่ว่างเปล่าอีกอัน ผมก็ล็อกมันไม่ได้ แล้วอีกอัน…” ลู่หนานหน้าซีดเผือด ใบหน้าดูหวาดกลัว “พลังงานนั้นน่ากลัวมากเกินไป พอล็อคเป้าหมายและสัมผัสมันแล้ว มันก็เผาตัวเองเหมือนกับอยากกลืนกินแหล่งพลังงานทั้งหมดเลย โชคดีที่ผมทิ้งแหล่งพลังงานส่วนนั้นของผมไปโดยไม่ลังเล ไม่อย่างนั้น…”
ถ้าเกิดในใจอาลัยอาวรณ์อยู่บ้างและกังวลใจเพิ่มขึ้นอีกนิดจนช้าไปหลายวินาทีละก็ บางทีกระทั่งตัวเขาอาจจะโดนพลังงานน่ากลัวนั่นเผาทั่วทั้งร่างจนหมดสิ้นไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิดเดียว…นี่มันน่ากลัวมากเกินไปแล้ว! ลู่หนานยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว เขาไม่เคยเห็นพลังงานที่น่ากลัวและประหลาดแบบนี้มาก่อน ยอดฝีมือระดับเขตแดนที่ครอบครองพลังงานนั้นเป็นใครกันแน่?
คนที่อยู่ที่นี่ได้ยินคำพูดของลู่หนานอย่างกระจ่างแจ้ง สีหน้าของทุกคนต่างเปลี่ยนไป มีหลายคนถึงขนาดอดถอยหลังหนึ่งก้าวไม่ได้ ราวกับกลัวว่าจะแตะโดนพลังงานน่ากลัวนี้แล้วนำหายนะมาให้ตัวเอง
ผู้อำนวยการได้ยินคำพูดของลู่หนาน ร่างของเขาก็เงียบไปหลายวินาที จากนั้นก็พูดเสียงแผ่วเบาว่า “พวกนายคิดว่า ยอดฝีมือระดับเขตแดนธาตุน้ำคนนั้นจะตายอยู่ในมือของคนๆ นี้หรือเปล่า?”
คำพูดของผู้อำนวยการทำให้ทุกคนตระหนักขึ้นมาได้ นี่ก็สามารถอธิบายได้เหมือนกันว่า ทำไมยอดฝีมือระดับเขตแดนธาตุน้ำคนนั้นถึงไม่ได้ออกไปจากสถานที่แห่งนี้
“แต่ที่นี่ไม่มีศพเลยนะ…”หนึ่งในอาจารย์พูดด้วยความไม่เข้าใจ แต่เขาพูดได้แค่ครึ่งประโยคก็หยุดลง เนื่องจากเขานึกถึงคุณลักษณะพิเศษของเขตแดนอีกฝ่ายขึ้นมาได้ บางทีอาจะเป็นเพราะสัมผัสกับพลังงานนี้เข้า ยอดฝีมือระดับเขตแดนธาตุน้ำคนนั้นเลยโดนเผาจนไม่เหลือไปแล้ว?
ทุกคนต่างนึกถึงเรื่องนี้และอดหนาวสั่นไม่ได้ พวกเขามองไปยังจุดพื้นที่เปื้อนเลือดนิดหน่อยก่อนจะรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก อยากจะออกไปจากที่นี่ทันที
ความจริงแล้วผู้อำนวยการกล่าวคำพูดนี้ก็ไม่ต้องการคำตอบของอาจารย์คนอื่นๆ เขามองไปทางจุดที่การต่อสู้ประจัญบานปะทะกันอย่างรุนแรงแล้วถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “ตอนนี้ฉันหวังแค่ว่า ยอดฝีมือลึกลับสองคนนั้นจะไม่ได้เล็งเป้าหมายมาที่นักเรียนของสถาบันลูกเสือเรานะ…”
ผู้อำนวยการเพิ่งจะกล่าวจบก็เปิดใช้พลังทั่วทั้งร่างทันใด เขาสั่งการด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ซูชิง กลับไปที่ห้องควบคุมหลักทันที แล้วยื่นคำขอระวังภัยทั่วทุกพื้นที่ระดับสีแดงกับออปติคัลคอมพิวเตอร์หลัก ต้องให้แน่ใจว่าการต่อสู้ประจัญบานจะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบ!”
“คนอื่นๆ เลือกขอบเขตการตรวจตราได้อย่างอิสระ ต้องให้ครอบคลุมเขตพื้นที่ทั้งหมดที่ทำการต่อสู้ประจัญบาน จับตามองความคืบหน้าของการต่อสู้ประจัญบานอย่างใกล้ชิด ถ้ามีเรื่องน่าสงสัยอะไรให้ยื่นขอความช่วยเหลือกับหน่วยหุ่นรบของสถาบันทันที!”
ผู้อำนวยการออกคำสั่งเป็นชุดทำให้เหล่าอาจารย์ระดับเขตแดนทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ทำการเคลื่อนไหวขึ้นมา ยอดฝีมือระดับเขตแดนลึกลับปรากฏตัวขึ้นในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือโดยไม่คาดฝันครั้งนี้ทำให้เหล่ายอดฝีมือระดับเขตแดนที่ซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของสถาบันมาตลอดโผล่ขึ้นมาทีละคน และพุ่งความสนใจทั้งหมดเพื่อเฝ้าระวังการต่อสู้ประจัญบาน! และเนื่องจากมีพวกเขาอยู่ การต่อสู้ประจัญบานจึงอยู่ในการควบคุมของพวกเขาโดยตลอด ดังนั้นจึงไม่เกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างใหญ่หลวงอะไร สำหรับนักเรียนทั้งสองชั้นปีแล้ว นี่นับว่าเป็นเรื่องน่าประหลาดใจแกมยินดีอย่างคาดไม่ถึง
…..
ในป่าเล็กๆ แห่งหนึ่งของสถาบัน เด็กหนุ่มที่สวมชุดเครื่องแบบสีขาวค่อนข้างเตี้ยและตัวเล็กชนกับเด็กหนุ่มร่างผอมสูงที่สวมชุดเครื่องแบบสีแดงอย่างดุเดือด จนเกิดเสียงชนกันอย่างรุนแรง หลังจากนั้นพวกเขาก็ดีดตัวออกจากกันแล้วล้มลงไปกับพื้นอย่างหนักหน่วง…
เด็กหนุ่มชุดขาวโซเซลุกขึ้นมาแล้วเช็ดคราบเลือดที่มุมปากแรงๆ แววตาอำมหิตราวกับหมาป่าชั่วร้ายจับจ้องไปยังเด็กหนุ่มชุดแดงตรงข้ามที่ลุกขึ้นมาด้วยความยากลำบากเหมือนกัน
พวกเขาคือเซี่ยอี๋ในชุดขาวปีเจ็ดกับหยวนเฉินในชุดแดงปีสิบนี่เอง เดิมทีหยวนเฉินคิดว่าจัดการเด็กชุดขาวตัวน้อยๆ ปีเจ็ดหนึ่งคนเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก แต่ไม่นึกเลยว่าเซี่ยอี๋จะซ่อนความสามารถไว้ลึกมาก อันที่จริงความสามารถของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างยากลำบากมาก ก่อนจะตกสู่สภาวะชะงักงัน
แรกเริ่มเดิมที พวกเขายังใช้ทักษะต่อสู้กันไปมา ใช้หนึ่งท่าไม้ตายแลกเปลี่ยนกับหนึ่งกระบวนท่าที่ชาญฉลาดจนดูแพรวพราว แต่เมื่อถึงช่วงท้าย ทั้งสองคนใช้ความอดทนส่วนใหญ่ของตัวเองไปหมดแล้ว พวกเขาก็ไม่มีอารมณ์ต่อสู้พัวพันอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจใช้แรงปะทะแรง คิดจะใช้พลังของตัวเองเอาชนะอีกฝ่าย
พวกเขาเลยปะทะกันอย่างดุเดือดติดต่อกันหลายครั้งเช่นนี้เอง นับดูแล้วก็มียี่สิบสามสิบครั้งได้ ควรพูดว่า ทั้งสองคนต่อสู้กันจนถึงตอนนี้ พวกเขาถึงช่วงตะเกียงหมดน้ำมันแล้ว ก็ต้องดูว่าใครจะทนไม่ไหว หมดกำลังใจไปก่อน
‘เชี่ย เด็กปีสิบชุดแดงจัดการยากจริงๆ ฉันยังดูถูกพวกเขาอยู่สินะ…’ เซี่ยอี๋ถุยเลือดจากในปากออกมา คิดในใจด้วยความกลัดกลุ้ม
เซี่ยอี๋เป็นคนที่ชอบแสร้งเป็นหมูกินเสือ ดังนั้นเขาถึงอดทนอยู่ในห้องบีมาตลอด ถึงแม้ว่าฉีหลง อู๋จย่ง จางอิงเจี๋ยของห้องเอจะมีชื่อเสียงโด่งดังในชั้นปีมาก แต่เขาก็ไม่สนใจ เขาเชื่อว่าความสามารถของตัวเองไม่แพ้อีกฝ่ายแน่นอน มีเพียงคนเดียวที่ทำให้เขาคาดเดาไม่ได้ก็คือหลิงหลาน ราชาไร้มงกุฎของชั้นปีพวกเขา
เซี่ยอี๋คิดมาตลอดว่า ความแข็งแกร่งในสถาบันลูกเสือไม่นับว่าเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริง มีเพียงแค่ในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งซึ่งเป็นทะเลที่รับแม่น้ำร้อยสายเท่านั้นถึงจะเป็นแหล่งรวบรวมอัจฉริยะอย่างแท้จริง ที่นั่นรับอัจฉริยะระดับสุดยอดที่มาจากดาวทั้งหมดของสหพันธรัฐ การกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในนั้นได้ถึงจะเป็นความแข็งแกร่งที่แท้จริง
ดังนั้น เป้าหมายของเขานับตั้งแต่อายุหกขวบก็คือ โรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เขาอดทนเงียบๆ มาถึงวันนี้ก็คืออยากเปิดตัวแสดงผลงานที่น่าตื่นตะลึงในตอนที่สมัครสอบโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง!
“ดูท่าต้องใช้ไพ่ตายของฉันแล้วสินะ ถึงแม้ว่าจะใช้ยุ่งยากสักหน่อยก็ตาม…” เซี่ยอี๋ไม่ได้เป็นคนชอบลังเลไม่กล้าตัดสินใจ หลังจากที่เขารู้สึกว่าจากสภาพในตอนนี้ไม่สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้ เขาก็เตรียมตัวเทหมดหน้าตัก
เซี่ยวอี้ตั้งท่าเตรียมตัวชกออกไปเหมือนกับก่อนหน้านี้ ทว่าแสงสีม่วงส่องแสงผ่านร่างกายของเขารวดเร็วสุดขีด หลังจากแสงสีม่วงที่ส่องวาบนี้ กล้ามเนื้อบนใบหน้าเขาพลันบิดเบี้ยวขึ้นมา สีหน้าแฝงไปด้วยความข่มกลั้นเล็กน้อยราวกับว่ามีอะไรบางอย่างที่รู้สึกไม่สบาย
“ตายซะ!” เซี่ยอี๋คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว เขาพุ่งออกไปโดยพลัน ส่วนหยวนเฉินปีสิบที่เป็นคู่ต่อสู้ก็ทำท่าเตรียมตัวบุกโจมตีเช่นเดียวกัน พวกเขาแทบจะตะโกนประโยคนี้ออกมาพร้อมกัน และกำปั้นของทั้งคู่ก็ปะทะกันอีกครั้ง
“อ๊าก!” หยวนเฉินร้องโหยหวน ทั่วทั้งร่างชักกระตุกขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับว่าร่างกายถูกไฟกระแสไฟฟ้าก็ไม่ปาน
สภาพของเซี่ยอี๋ไม่ได้ดีไปกว่าหยวนเฉินเลย ร่างกายเขาสั่นเทาเบาๆ เช่นกัน มองเห็นความเจ็บปวดบนใบหน้าได้อย่างชัดเจน
ผ่านไปหลายวินาที ทั้งสองคนก็ดีดตัวออกมาและร่วงลงพื้นพร้อมกัน เวลานี้ท่าทางของหยวนเฉินดูอเนจอนาถสุดขีด เขาสลบไสลไม่ได้สติแล้ว มีควันสีดำลอยขึ้นมาจางๆ จากในปากที่เผยอน้อยๆ ร่างกายยังคงชักกระตุกเป็นครั้งคราว
………………………………………