ผู้อำนวยการคิดว่าตัวเองได้ความจริงแล้ว เขาเองก็อธิบายได้แล้วด้วยว่า ทำไมยอดฝีมือระดับเขตแดงธาตุน้ำถึงไม่ได้ออกไปจากสถานที่แห่งนั้น เกรงว่าเขาคงจะถูกมู่สุ่ยชิงสังหารตรงนั้นแล้ว และเพราะเรื่องนี้เอง มู่สุ่ยชิงถึงได้รู้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นยอดฝีมือระดับเขตแดนธาตุน้ำ
ผู้อำนวยการเชื่อมหลายเรื่องเข้าด้วยกันก็ได้รับคำตอบ นี่ก็อธิบายได้ว่าเพราะอะไรลู่หนานถึงไม่สามารถล็อคเป้าหมายพลังงานอีกสองอันได้ ลองคิดดูสิ คนระดับเขตแดนจะสามารถข้ามขั้นไปสืบหาทิศทางการเคลื่อนไหวของยอดฝีมือระดับเขตเทวะได้ยังไง…บางทีพริบตาที่กำลังล็อคเป้าหมายก็ถูกอสูรเฒ่าคนนี้สังเกตเห็น ดังนั้นเลยให้คำเตือนเล็กน้อย ใช้วิธีการประหลาดทำลายแหล่งพลังงานส่วนหนึ่งของลู่หนาน
ผู้อำนวยการมีคำตอบในใจแล้ว จิตใจที่เดิมทีรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อยเนื่องจากเรื่องของยอดฝีมือระดับเขตแดนลึกลับพลันสงบลง ไม่ว่าอะไรก็ตามก็ดูน่ากลัวและน่ากังวลมากที่สุดในยามที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมัน เมื่อมีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล มันก็ไม่ได้ดูน่ากลัวขนาดนั้นแล้ว
สีหน้าของผู้อำนวยการที่รู้สึกโล่งอกดูเคารพนับถือมากยิ่งขึ้น เขากล่าวกับมู่สุ่ยชิงว่า “อาจารย์มู่ ผมจะลืมผู้อาวุโสอย่างคุณได้ยังไงครับ คุณเป็นอาจารย์ของผมกับจอมพลตลอดไป ว่าแต่ผู้อาวุโสมาที่นี่ได้ยังไงครับ?”
“ถ้าไม่มาที่นี่ แล้วจะให้ฉันจ้องมองลูกของหลิงเซียวตายอยู่ที่นี่หรือไง? มาตรการความปลอดภัยของพวกนายเป็นยังไงกันแน่? ให้ศัตรูที่ไม่รู้จักเข้ามาได้ตามใจชอบเนี่ยนะ?” สีหน้าของมู่สุ่ยชิงดูไม่พอใจสุดขีด โมโหที่สถาบันลูกเสือโดนศัตรูแอบเข้ามาได้ง่ายๆ
ผู้อำนวยการฟังแล้วก็เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มในใจว่า ‘ต่อให้ป้องกันความปลอดภัยเข้มงวดมากอีกสักแค่ไหน ก็เป็นขยะในสายคุณหมดเลยไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่คุณเองก็อยากมาก็มา อยากไปก็ไปเหมือนกันเหรอ?’ แน่นอนว่าผู้อำนวยการกล้าพึมพำแค่ในใจเท่านั้นเช่นกัน เผชิญหน้ากับการดุด่าโดยที่ไม่มีความปรานีเลยสักนิดเดียวของมู่สุ่ยชิง เขาก็ไม่กล้าโต้แย้ง ได้แต่พยักหน้าติดต่อกันและพูดว่า “ครับ ครับ ครับ พวกเรายังทำงานกันไม่พอ จะแก้ไขแน่นอนครับ”
“ในเมื่อรู้ แล้วยังไม่ไปหาอีกว่ายอดฝีมือระดับเขตแดนธาตุน้ำคนนั้นเป็นใคร? ตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนกันแน่?” ในใจมู่สุ่ยชิงรู้สึกกังวลอยู่บ้าง ยอดฝีมือระดับเขตแดนที่ไม่รู้จักซ่อนตัวอยู่ข้างกายหลิงหลาน สำหรับหลิงหลานแล้ว นี่เป้นเรื่องที่อันตรายสุดขีด ถึงยังไงเขาก็ไม่สามารถปกป้องอยู่ข้างๆ หลิงหลานได้ตลอดเวลา
“เอ่อ…” ผู้อำนวยการมองไปที่มู่สุ่ยชิงแวบหนึ่งอย่างไร้คำพูด เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายตายอยู่ในมือเขา แล้วทำไมยังต้องให้เขาไปตรวจสอบด้วย?
เขานึกได้ว่าแต่ก่อนมู่สุ่ยชิงเป็นคนใจดำ ผู้อำนวยการอดครุ่นคิดให้มากขึ้นอีกไม่ได้ หรือว่าอาจารย์มู่อยากฉวยโอกาสนี้เก็บกวาดอำนาจอิทธิพลอื่นๆ ในสถาบัน?
ผู้อำนวยการรู้สึกคล้อยตาม ความเย็นชาอำมหิตผุดขึ้นมาบนใบหน้าเงียบๆ จริงๆ ด้วย นี่เป็นโอกาสดี หลายปีมานี้ แรงกดดันทุกด้านทำให้เขาจำเป็นต้องประนีประนอม ให้คนที่มีเป้าหมายต่างๆ นานาจากฝ่ายอำนาจอิทธิพลที่แตกต่างกันเข้ามาเป็นอาจารย์ในสถาบันจริงๆ และก็ทำให้บรรยากาศของสถาบันปรากฎเค้าลางไม่ดีบางอย่าง เขาควรหาโอกาสจัดการสถาบันให้หวนกลับมาเป็นโลกที่บริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงจริงๆ นั่นแหละ
เหมือนกับที่จอมพลเตือนไว้ สถาบันลูกเสือคือเปลที่บ่มเพาะทหารร้อยศึก มันต้องการทรัพยากรทุกอย่าง สิ่งเดียวที่ไม่ต้องการคือการเมือง
“เข้าใจแล้วครับ อาจารย์มู่!” ผู้อำนวยการที่ใคร่ครวญทะลุปรุโปร่งแล้วรีบพยักหน้าตอบรับทันที แต่เขาก็กล่าวต่ออีกว่า “แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาต่อสู้ประจัญบาน ไม่สามารถจัดการเป็นวงกว้างได้ ผมอยากจะจัดระบบสถาบันลูกเสือให้หมดหลังจากที่การต่อสู้ประจัญบานสิ้นสุดลง ให้สถาบันกลับมามีระเบียบดังเดิม และก็จะมอบคำอธิบายให้กับอาจารย์และคุณนายหลิงครับ”
“ดี จัดการตามที่นายพูด อย่าลืมคำสัญญาของนายล่ะ” มู่สุ่ยชิงตบบ่าผู้อำนวยการอย่างฮึกเหิม ถึงแม้ว่านักเรียนคนนี้จะมีนิสัยอ่อนปวกเปียกอยู่บ้าง แต่ว่าเวลาจำเป็นยังคงทำการตัดสินใจได้ ความไม่พอใจแต่เดิมของมู่สุ่ยชิงที่มีต่อเยี่ยอีฝานก็หายไปเช่นกัน และอดตบบ่าเขาบ่งบอกว่าชมเชยไม่ได้
ความจริงแล้วทั้งสองคนพูดกันคนละเรื่อง แต่ว่ากลับเข้ากันอย่างไม่มีสะดุด ทั้งคู่คิดว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายของตัวเองแล้ว ในขณะเดียวกันก็เข้าใจความคิดของอีกฝ่ายด้วยเหมือนกัน….
ผู้อำนวยการเห็นมู่สุ่ยชิงพอใจก็ฉวยโอกาสเสนอว่า ให้หลานลั่วเฟิ่งแจ้งหน่วยหุ่นรบตระกูลหลิงที่อยู่ด้านนอกว่าอย่าล่วงล้ำโดยไม่มีเหตุผล อดทนรอให้การต่อสู้ประจัญบานสิ้นสุดลง ให้เวลาเขาสักระยะ เขาจะต้องให้คำตอบที่น่าพอใจกับตระกูลหลิงแน่นอน
หลานลั่วเฟิ่งได้รับคำตอบที่เธอต้องการก็ตกลงให้หน่วยหุ่นรบตระกูลหลิงกลับไปที่คฤหาสน์ของตระกูลหลิงก่อน…เรื่องใหญ่ที่เดิมทีกำลังจะเกิดขึ้นก็ถูกหยุดไว้ภายใต้การเข้าใจกันทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายต่างอดทนรอให้การต่อสู้ประจัญบานสิ้นสุดลงเช่นนี้เอง
สาเหตุที่หลานลั่วเฟิ่งตกลงรอคอยอย่างเต็มใจแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่าการต่อสู้ประจัญบานคือสิ่งที่หลิงหลานริเริ่มตั้งขึ้นมา เธอไม่อยากให้การต่อสู้ประจัญบานที่ดุเดือดหยุดลงครึ่งๆ กลางๆ
…………..
ยี่สิบสี่ชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็เหลือ 319 คนของปีเจ็ด VS 171 คนของปีสิบ คะแนน 14922 VS 10776 กดปีสิบทั่วทุกด้านและได้รับชัยชนะไป กลายเป็นผู้ชนะของการต่อสู้ประจัญบาน
ในขณะเดียวกัน พวกเขากลายเป็นชั้นปีที่แข็งแกร่งที่สุดของสถาบันลูกเสืออย่างเป็นทางการ เมื่อนักเรียนทุกชั้นปีเผชิญหน้ากับนักเรียนปีเจ็ด (หมายถึงนักเรียนที่มีสีเครื่องแบบเหมือนกัน) ก็ต้องแสดงความอ่อนน้อมให้เกียรติ นี่เป็นการยอมรับต่อผู้แข็งแกร่ง เพราะว่านี่เป็นความสำเร็จที่นักเรียนปีเจ็ดต่อสู้มา และได้รับการยอมรับจากทั่วทั้งสถาบัน แน่นอนว่าถ้าหากมีคนไม่ยินยอม หลังจากผ่านไปหนึ่งปีก็สามารถท้าประลองกับนักเรียนปีเจ็ด เปิดการต่อสู้ประจัญบาน…เพื่อแย่งชิงฉายาชั้นปีที่แข็งแกร่งที่สุดมา!
ส่วนหลิงหลานที่หมดสติไปหลายวัน ในที่สุดเธอก็ฟื้นขึ้นมา เธอเข้ามาในมิติการเรียนรู้ของตัวเอง ทั่วทั้งร่างดูมึนงงสับสนอยู่บ้าง
“ลูกพี่ ในที่สุดเธอก็ฟื้นแล้ว!” เสี่ยวซื่อที่เล่นนิ้วตัวเองอยู่คนเดียวในมิติการเรียนรู้เห็นหลิงหลานปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาก็โถมตัวเข้าไปด้วยความตื่นเต้นทันใด…น้ำตาของเขาทะลักออกมาราวกับน้ำตก แทบจะท่วมใส่หลิงหลานทันที
“หยุดนะ! ถ้าไม่หยุดอีก ต่อให้ฉันไม่ตายก็จะถูกน้ำตานายท่วมใส่จนตายแล้วนะ…” หลิงหลานแตะศีรษะของเสี่ยวซื่ออย่างอ่อนระโหยโรยแรง ให้เขาเก็บน้ำตาไร้ค่าพวกนั้นไป
“ลูกพี่ หลายวันนี้ฉันเป็นห่วงจะตายอยู่แล้ว ฉันหาตัวเธอไม่เจอเลย…” เสี่ยวซื่อเสียงสะอื้น
“ไม่เป็นไรไม่ใช่เหรอ? ฉันยังมีชีวิตอยู่นะ ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่ฉันสลบไปจะมีคนช่วยฉันไว้…เสี่ยวซื่อ ฉันอยากรู้ว่าใครช่วยฉันไว้ ตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลิงหลานอยากรู้ความจริงจึงเอ่ยถามเสี่ยวซื่อ
“หมายเลขห้าเข้าควบคุมร่างกายลูกพี่ไว้ในช่วงเวลาเส้นยาแดงผ่าแปด แล้วก็กำจัดคนชั่วช้านั่น… เดิมทีหมายเลขเก้าควรเป็นคนออกมา แต่หมายเลขห้าไม่เชื่อฟัง แย่งออกมาก่อน และเป็นเพราะเขา สภาพร่างกายของลูกพี่ถึงเปลี่ยนเป็นย่ำแย่ขนาดนั้น หมายเลขเก้าบอกว่า ความสามารถของหมายเลขห้าเหนือกว่าลูกพี่มากเกินไป ดังนั้นความเสียหายที่มีต่อร่างกายของลูกพี่ถึงได้เปลี่ยนเป็นมากมายขนาดนั้น ถ้าเกิดเธอออกมา สถานการณ์จะดีกว่านี้หน่อย” เสี่ยวซื่อเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้หลิงหลานฟังด้วยเสียงอุบอิบ
“ที่แท้พวกอาจารย์ควบคุมร่างกายฉันได้ด้วย ฉันเพิ่งรู้เป็นครั้งแรก…” หลิงหลานไม่นึกเลยว่าอาจารย์ของมิติการเรียนรู้สามารถยืมร่างกายเธอมาที่โลกของเธอได้ นี่ทำให้เธอตกตะลึงนิดหน่อยว่า มิติการเรียนรู้คืออะไรกันแน่? มันเป็นแค่อุปกรณ์การเรียนรู้เพียงอย่างเดียวจริงๆ เหรอ?
หลิงหลานยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าอุปกรณ์เรียนรู้นี้ดูลึกลับ ในใจอดกระสับกระส่ายเล็กน้อยไม่ได้ ไม่รู้ว่านี่จะดีหรือว่าร้ายสำหรับเธอ
“นี่นับเป็นอะไรได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีของพวกเธอที่นี่แย่ละก็ พวกเขาสามารถสร้างร่างจริงได้แล้ว” เสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยความไม่พอใจ ถ้าหากเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้นอีกหน่อย เขาไม่มีทางทำได้แค่จ้องมองทุกครั้งที่ลูกพี่เจออันตรายโดยที่ไม่สามารถช่วยเหลือได้หรอก
“สร้างร่างจริง?” หลิงหลานประหลาดใจ อดถามจี้ไม่ได้ว่า “เสี่ยวซื่อ นี่หมายความว่ายังไงกันแน่?”
เสี่ยวซื่อรู้สึกว่าตัวเองหลุดปากครั้งใหญ่แล้วก็ทำเป็นมองไปรอบๆ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอะไร ไม่ว่ายังไงก็พูดเรื่องนี้ต่อไม่ได้
หลิงหลานเห็นท่าทางของเสี่ยวซื่อก็ตระหนักได้ว่า นี่ต้องเกี่ยวพันกับกฎและข้อจำกัดอะไรบางอย่างของระบบแน่นอน ระบบเหมือนกับมีข้อจำกัดต่อเสี่ยวซื่อมากมายในฐานะที่เป็นสิ่งมีชีวิตปัญญาประดิษฐ์สนับสนุน หลิงหลานที่คิดเข้าใจแล้วก็ไม่อยากสร้างความลำบากให้เสี่ยวซื่อ เลยไม่ไล่ถามต่ออีก หลิงหลานรู้ว่า ถ้าหากบอกได้จริงๆ เสี่ยวซื่อไม่มีทางปิดบังเธอแน่นอน ถึงแม้ว่าเธอสนใจเรื่องสร้างร่างจริงมากเลยจริงๆ แต่เธอไม่อยากให้เสี่ยวซื่อได้รับความเสียหายหรือการลงโทษจากระบบเพราะเหตุนี้ ว่าตามตรงแล้ว เสี่ยวซื่อสำคัญกว่าเรื่องพวกนี้อีก
เสี่ยวซื่อเห็นลูกพี่หลิงหลานปล่อยเขาไปด้วยความเข้าใจก็พลันรู้สึกต้นตันใจสุดขีด ฮือๆๆ…ลูกพี่ของเขาช่างดีเหลือเกิน! เขาต้องพยายามพัฒนาตัวให้แข็งแกร่งมากขึ้น ขอเพียงแข็งแกร่งจนข้อจำกัดและข้อผูกมัดพวกนั้นไม่มีผลต่อเขาแล้ว เขาก็จะบอกความลับพวกนี้ให้ลูกพี่ได้
เวลานี้ความคิดเรื่องแข็งแกร่งขึ้นของเสี่ยวซื่อรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งรู้สึกต่อต้านข้อผูกมัดของระบบมากยิ่งขึ้น…นี่ก็กระตุ้นให้เขาเลือกหนทางพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นจากแนวทางการพัฒนาที่ระบบตั้งค่าไว้แต่เดิมในอนาคต กลายเป็นเสี่ยวซื่อที่แข็งแกร่ง เป็นอิสระและมีความรู้สึก
หลิงหลานข้ามหัวข้อนั้นไปและเปลี่ยนถามเรื่องอื่นๆ แทน ดังนั้นเธอจึงรู้ว่าสุดท้ายปีเจ็ดก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ได้รับชัยชนะในการต่อสู้ประจัญบาน กลายเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ในท้ายที่สุด การจับตามองอันยอดเยี่ยมและการช่วยเหลืออย่างรวดเร็วของอาจารย์สถาบันทำให้การต่อสู้ประจัญบานครั้งนี้ไม่ได้เกิดการบาดเจ็บล้มตายอะไร แน่นอนว่าตัวเลขผู้ได้รับบาดเจ็บดูน่ากลัวอยู่บ้างจริงๆ มีสามพันคนเต็มๆ ที่บาดเจ็บจนเห็นเลือด ส่วนตัวเลขคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเกือบจะถึงแปดร้อย มองเห็นระดับความรุนแรงและโหดเหี้ยมของการต่อสู้ประจัญบานได้เลย
หลังจากที่หลิงหลานรู้เรื่องทุกอย่างนี้ ในใจก็โล่งอก การต่อสู้ประจัญบานเป็นสิ่งที่เธอริเริ่มขึ้นเอง ถึงแม้เธอเตรียมใจแล้วว่าจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายขึ้น แต่ผลสรุปสุดท้ายนั้นดีเยี่ยมอย่างไม่ต้องสงสัย…นี่ทำให้เธอดีใจมาก
อย่างไรก็ตาม เรื่องต่อมาที่เสี่ยวซื่อบอกให้เธอฟังทำให้เธออึ้งไป ไม่นึกเลยว่ายอดฝีมือระดับสุดยอดที่มาจากคฤหาสน์จะมีสถานะตัวตนไม่ธรรมดาขนาดนี้ คำพูดธรรมดาประโยคเดียวก็ตัดสินชะตาชีวิตต่อไปของเธอได้…นี่เธอต้องออกจากสถาบันลูกเสือที่ใช้ชีวิตอยู่มาเจ็ดปีจริงๆ เหรอ?
หลิงหลานนึกถึงพวกเพื่อนๆ ที่เติบโตมาด้วยกันกับเธอ ในใจก็อาลัยอาวรณ์อยู่บ้างทันที ที่แท้เธอยอมรับพวกเขาโดยไม่รู้ตัวแล้ว เห็นพวกเขาเป็นน้องชายน้องสาวแท้ๆ ของตัวเองจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ความเยือกเย็นที่หลิงหลานบ่มเพาะออกมาจากในมิติการเรียนรู้ ทำให้เธอขับไล่ความอาลัยอาวรณ์นี้ไปอย่างรวดเร็ว หลิงหลานรู้ดีว่า ทุกคนต่างมีเส้นทางที่ตัวเองต้องเดิน เธอไม่สามารถคุ้มครองพวกเขาให้อยู่ใต้ปีกตัวเองได้ตลอดไป ให้พวกเขาเรียนรู้การพึ่งตนเองให้เร็วที่สุดจะดีต่อการพัฒนาในอนาคตของพวกเขามากกว่า
นอกจากนี้ ในใจหลิงหลานมีความลับอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เธอไม่มีทางสมัครโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เธอจะเลือกโรงเรียนทหารรวมของกาแลคซี่ที่ห่างไกลสักแห่งและสำเร็จหลักสูตรการเรียนสุดท้าย หลังจากนั้นก็จะท่องไปทั่วๆ อวกาศ หายตัวไปจากตรงหน้าทุกคนช้าๆ…ท้ายที่สุดเธอก็จะกลับคืนสู่สถานะผู้หญิง การออกห่างจากคนที่คุ้นเคยเป็นผลสรุปที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น แทนที่จะให้พวกเขาเสียใจงุนงงในตอนนั้น ไม่สู้ฉวยโอกาสแยกจากพวกเขาตอนนี้เลยดีกว่า พอถึงเวลานั้นเธอก็สามารถหาข้ออ้างที่ดีมากในการออกจากดาวดวงนี้ได้ด้วยเหมือนกัน
…………………………..