“ลาก่อน!” หลิงหลานเห็นริมฝีปากของหลิงเซียวขยับทิ้งสองคำสุดท้ายนี้ไว้ หลังจากนั้นเธอก็ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งขับไล่ออกไป หลิงเซียวไล่เธอออกมาอีกครั้ง….
หลิงหลานยังไม่ทันได้สติ ทว่าสีหน้าของเสี่ยวซื่อพลันเปลี่ยนไปอย่างยิ่งและกล่าวว่า “แย่แล้ว มิติมรดกของพ่อกำลังหายไป!”
หลิงหลานได้ยินคำพูดก็ตื่นตระหนก เธอพยายามเข้าไปอีกครั้งแต่กลับถูกมิติมรดกขัดขวางไว้ กระทั่งเสี่ยวซื่อที่แทบจะเป็นเทพที่ทำได้ทุกอย่างในโลกเสมือนจริงก็ถูกพลังน่ากลัวบางอย่างในมิติมรดกฝืนขับไล่ออกมา ไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้เลย…
เวลานี้เอง เสียงของหลิงเซียวก็ดังขึ้นในสมองของหลิงหลานว่า “หยุดได้แล้ว ลูกพ่อ ได้โปรดให้อภัยพ่อที่ไม่มีความรับผิดชอบคนนี้ ได้โปรดสานต่อหน้าที่ของพ่อ คุ้มครองหลานลั่วเฟิ่งแม่ของลูกให้ดีด้วย!”
ทันทีที่เสียงนี้หายไป มิติมรดกของหลิงเซียวก็หายไปจากโลกเสมือนจริงของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ ไม่เหลือร่องรอยเลยสักนิดเดียว ราวกับว่ามิติมรดกของหลิงเซียวไม่เคยมีตัวตนมาก่อนก็ไม่ปาน
“ลูกพี่ พ่อ หายไปแล้วจริงๆ…” เสี่ยวซื่อปรากฏตัวขึ้นมาที่ข้างกายหลิงหลานฉับพลัน เสี่ยวซื่อสามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ตามที่เขาต้องการได้อย่างอิสระภายในโลกเสมือนจริง ดังนั้น เด็กอายุห้าหกขวบคนหนึ่งคว้าชายเสื้อของหลิงหลานเอาไว้แน่นๆ น้ำตาไหลพรั่งพรูลงมาจากดวงตาทั้งสองข้างด้วยความเสียใจ
สาเหตุที่เสี่ยวซื่อเสียใจแบบนี้เป็นเพราะเขายังไม่ทันได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหลิงเซียว แนะนำตัวเองให้เขา เรียกหลิงเซียวว่าพ่อเลย…
หลิงหลานฝืนข่มกลั้นกระบอกตาที่กำลังจะหลั่งน้ำตาออกมา ลูบศีรษะเสี่ยวซื่อเอ่ยปลอบใจว่า “พ่อไม่ได้หายไป เขาจะอยู่ในใจพวกเราเสมอ ไม่ใช่เหรอ?”
คำพูดของหลิงหลานทำให้เสี่ยวซื่อนึกอะไรขึ้นได้ เขากลั้นน้ำตาที่ไหลนองลงมาราวกับน้ำตกของตัวเอง ขณะที่เขากำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่างก็สังเกตเห็นข้อความที่มิติเสมือนจริงส่งเข้ามา จากนั้นก็อดพูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปไม่ได้ว่า “ลูกพี่ พวกเรารีบออกไปจากที่นี่เร็วเข้า มีแฮคเกอร์กับผีซวีกำลังเข้ามาใกล้ที่นี่….”
เสี่ยวซื่อรีบพาหลิงหลานหนีออกจากสถานที่แห่งนี่ พุ่งตัวไม่กี่ทีก็รีบกลับเข้ามาในแคบซูลรักษา เสี่ยวซื่อไม่ลืมลบร่องรอยทุกอย่างที่พวกเขาเหลือทิ้งไว้ในมิติเสมือนจริงในระหว่างทางที่กำลังหนีอยู่ เสี่ยวซื่อเชื่อว่าอาศัยสิ่งมีชีวิตสติปัญญาระดับเขาแล้ว คนทั่วไปไม่สามารถเจอข้อสงสัยได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามเสี่ยวซื่อยังคงรอบคอบมาก หลังจากที่เขาส่งหลิงหลานกลับไปแล้ว เขาก็ซ่อนตัวกลับมาที่เดิมอีกครั้ง เขาเคยคิดว่า ถ้าหากไม่ระวังถูกคนสังเกตเห็นร่องรอยอะไรบางอย่างเข้า เขาก็จะทำลายโลกเสมือนจริงของสถาบันลูกเสือให้เหี้ยน ทำลายข้อมูลด้านในทั้งหมดจนไม่สามารถนำอันตรายมาสู่ลูกพี่ของเขาได้แน่นอน
เสี่ยวซื่อเพิ่งจะพาหลิงหลานหนีไปได้ไม่กี่วินาที ทันใดนั้นก็มีคนปรากฏตัวขึ้นตรงตำแหน่งที่พวกเขาอยู่ห้าคน มีสี่คนในหมู่พวกเขาสวมชุดเครื่องแบบ ส่วนอีกคนกลับสวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดทั่งทั้งร่างกาย มองไม่เห็นรูปลักษณ์ของเขาเลย นี่เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของผู้มีความสามารถพัฒนาเป็นผีซวี
หนึ่งในคนที่สวมชุดเครื่องแบบซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีตำแหน่งค่อนข้างสูงเอ่ยถามกับคนอื่นๆ ว่า “น่าจะเป็นที่นี่ พวกนายรีบตรวจสอบที่นี่ดูว่ามีอะไรผิดปกติบ้าง”
สี่คนที่เหลือได้ยินคำสั่งก็เริ่มเคลื่อนไหวขึ้นมา หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็บอกผลการค้นหาของพวกเขาให้หัวหน้าเขาฟัง
“พันเอกครับ ที่นี่สัมผัสตัวตนของมิติมรดกไม่ได้แล้วและก็หาร่องรอยที่ถูกคนเคลื่อนย้ายไม่ได้เหมือนกัน…” หนึ่งในสมาชิกทีมที่สวมชุดเครื่องแบบเอ่ยด้วยสีหน้าคลุมเครือ เขารู้ดีว่ามิติมรดกนั้นเป็นของใคร เมื่อมันหายไปก็จะเกิดความสูญเสียให้กับทั่วทั้งสหพันธรัฐอย่างประเมินค่ามิได้
“พันเอกครับ พวกเราบันทึกข้อมูลนักเรียนทั้งหมดที่เข้าใกล้ที่นี่ในสามชั่วโมงนี้เสร็จแล้ว นี่คือรายชื่อครับ…” หนึ่งในสมาชิกทีมในชุดเครื่องแบบพูดขณะที่ในมือกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนชื่อของนักเรียนเอาไว้แน่นขนัด เขายื่นข้อมูลชุดนี้ให้กับพันเอกที่เป็นหัวหน้าทันที
พันเอกยื่นมือไปรับรายชื่อทว่าไม่ได้ดูมัน หากแต่หันหน้าไปยังชายที่สวมเสื้อคลุมสีดำปกปิดทั่วร่างแล้วเอ่ยว่า “พันโท J คุณพบอะไรหรือเปล่า?”
พันโท J เป็นคนในหน่วยรบพิเศษที่ทางกองทัพส่งมาช่วยเหลือพวกเขาโดยเฉพาะ ส่วนข้อมูลของอีกฝ่าย พันเอกอย่างเขาไม่รู้เลย ต่อให้เป็นรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย เขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเหมือนกัน พันเอกไม่ได้รู้สึกไม่พอใจกับเรื่องนี้ เพราะเขารู้ว่า นอกจากผู้บัญชาการโดยตรงของผีซวีที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขาแล้ว คนอื่นๆ ไม่สิทธิ์รู้เรื่องนี้เลย ทั้งหมดนี้ต่างเป็นวิธีการจำเป็นเพื่อคุ้มครองผีซวี
ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนต่างก็จับตามองผีซวีอย่างสุดความสามารถ โดยเฉพาะกับผีซวีของประเทศศัตรู เรียกได้ว่ายินดีที่ฆ่าทิ้งได้ เมื่อรู้สถานะตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย ขอเพียงมีความเป็นไปได้ที่จะสังหารเขา ต่อให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ทรมานเจ็บปวด พวกเขาก็จะเลือกลงมืออยู่ดี
เนื่องจากสังคมมนุษย์ในตอนนี้ไม่สามารถหลุดพ้นจากโลกเสมือนจริงได้จนหมด และผู้มีความสามารถพัฒนาเป็นผีซวีก็คือตัวตนที่เท่ากับเป็นยมทูตภายในโลกเสมือนจริง ต่อให้คนที่ในชีวิตจริงแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหน เมื่อมาถึงในโลกเสมือนจริงแล้ว ขอเพียงถูกอีกฝ่ายเล็งเป้าไว้ ก็แทบจะไม่มีโอกาสหนีรอดเลย ควรพูดว่าสำหรับโลกเสมือนจริงแล้ว ผีซวีคือตัวตนที่ทำลายสมดุลอย่างหนึ่ง ความสามารถที่คล้ายคลึงกับยมทูตแบบนี้ทำให้ผู้กุมอำนาจของทุกประเทศต่างเกรงกลัวและหวาดหวั่นสุดขีด…
พันโท J ส่งสัญญาณให้พันเอกอดทนรอสักครู่ หลังจากนั้นเขาก็แผ่ความสามารถผีซวีของตัวเองออกมา เริ่มสัมผัสพลังงานที่สับสนวุ่นวายรอบๆ บริเวณ
ส่วนพันเอกก็ฉวยโอกาสนี้ดูรายชื่อในมือคร่าวๆ รอบหนึ่งและก็ไม่ได้เห็นเป้าหมายที่คู่ควรแก่การน่าสงสัยเลย เขาโยนเอกสารชุดนี้ให้กับลูกทีมในชุดเครื่องแบบที่ยืนอยู่ข้างกายเขามาตลอดและเอ่ยว่า “ให้ห้องควบคุมตรวจสอบข้อมูลคนพวกนี้ออกมา ตรวจให้ละเอียด ไม่ว่าจะเป็นจุดน่าสงสัยอะไรก็ปล่อยผ่านไปไม่ได้”
“ครับ พันเอก!” ลูกทีมในชุดเครื่องแบบรับข้อมูลแล้วก็จากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่พันโท J รับสัมผัสไปสักพักก็เอ่ยว่า “สัมผัสร่องรอยพลังงานของผีซวีคนอื่นๆ ที่เหลืออยู่ไม่ได้เลยครับ” มีเพียงผีซวีเท่านั้นถึงจะสัมผัสความสามารถของผีซวีได้ “การหายไปของมิติมรดกน่าจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับผีซวีครับ”
พันเอกได้ยินคำตอบของพันโท J ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเบาๆ ถ้าหากมาจากการทำลายของผีซวีประเทศศัตรูจริงๆ ละก็ เกรงว่าเขาคงจะถูกส่งขึ้นศาลทหาร ความผิดโทษฐานละเลยหน้าที่เป็นสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยได้
“แต่ว่า….” เสียงของพันโท J แฝงไปด้วยความงุนงงเล็กน้อย “พลังงานที่หลงเหลืออยู่ที่นี่ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความอึดอัดเล็กน้อยครับ”
“หืม?” พันเอกเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “นายสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเหรอ?”
พันโท J ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่มีเลยครับ บางทีพลังงานบางอย่างที่ล้นออกมาจากการทำลายตัวเองของมิติมรดกอาจจะส่งผลกระทบบางอย่างต่อความสามารถผีซวีของผมก็ได้ครับ” เขาเองก็บอกสาเหตุไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นเพียงลางสังหรณ์ของเขาเท่านั้น ไม่ใช่อันตราย หากแต่เป็นพลังงานบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งยวด ราวกับว่าความสามารถผีซวีของเขาถูกมันผลักไสอยู่บ้าง
พันเอกได้ยินคำพูดของพันโท J ในใจก็พลันเข้าใจได้ทันที มิติมรดกที่ผู้ควบคุมขั้นเทวะหลงเหลือไว้ย่อมมีร่างพลังงานทางจิตบางอย่างของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะอยู่ ร่างพลังงานเหล่านี้แข็งแกร่งสุดขีด ถ้าหากพูดถึงตัวตนที่เป็นคู่ปรับของผีวซี เพียงหนึ่งเดียวในโลกเสมือนจริง นั่นก็คือยอดฝีมือระดับเทวะเหล่านี้ พลังจิตของพวกเขาแข็งแกร่งจนถึงขั้นทำให้ยมทูตเหล่านี้อับจนปัญญา มองอย่างทอดถอนใจเช่นกัน
หลังจากที่พันเอกใคร่ครวญเข้าใจแล้วก็โยนคำพูดของพันโท J ไปให้พ้นจากสมอง เขาก็เริ่มกลัดกลุ้มว่าจะอธิบายเรื่องการหายไปของมิติมรดกของหลิงเซียวให้กับระดับสูงยังไง ถึงแม้ว่าเขาจะหนีรอดจากการขึ้นศาลทหารได้ แต่ก็ต้องมีเหตุผลอันควรมาอธิบายปรากฏการณ์แปลกประหลาดแบบนี้ ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวดว่า “งั้นจากการคาดเดาของพันโท J คิดว่ามิติมรดกหายไปเพราะสาเหตุอะไร?”
พันโท J เงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นค่อยเอ่ยปากพูดช้าๆ ว่า “ความจริงแล้ว มีสาเหตุอยู่มากมายที่มิติมรดกหายไป หนึ่งก็คือการทำลายของพลังภายนอก ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็มาจากผีซวี แล้วสาเหตุอีกอันก็คือมิติมรดกถูกคนสืบทอดไปแล้ว เมื่อผู้สืบทอดเรียนรู้ความสามารถทุกอย่างในมิติมรดกหมดแล้ว มิติมรดกก็จะเลือกทำลายตัวเองเพื่อปกป้องการผูกขาดเพียงหนึ่งเดียวของผู้สืบทอด…”
แววตาของพันเอกเปล่งประกายขึ้น “นายบอกว่ามีความเป็นไปได้สูงที่มิติมรดกหายไปเพราะถูกคนสืบทอดสำเร็จแล้ว?”
พันโท J พยักหน้าน้อยๆ พลางกล่าวว่า “ใช่ครับ นี่คือความเป็นไปได้หนึ่งในนั้น แน่นอนว่า ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเวลานั้นเจ้าของมิติมรดกได้กำหนดเส้นตายเวลาสุดท้ายเอาไว้แล้ว เมื่อเลยเวลาที่กำหนดนี้ ไม่ว่ามิติมรดกจะถูกคนสืบทอดหรือไม่ มันก็จะเริ่มการตั้งค่าทำลายตัวเอง”
เดิมทีพันเอกได้ยินว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีคนสืบทอดได้สำเร็จก็รู้สึกตื่นเต้นยินดีในใจ ทว่าความเป็นไปได้เรื่องจำกัดเวลาที่พันโท J พูดต่อมานั้นก็ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาไม่หวังให้มิติมรดกของหลิงเซียวทำลายตัวเองเพราะเหตุผลข้อสุดท้าย นี่เป็นการสร้างความเสียหายต่อสหพันธรัฐมากเกินไปแล้ว
ตอนนี้เขาหวังเพียงอย่างเดียวคือความเป็นไปได้แบบที่สอง ขอเพียงพวกเขาหาผู้สืบทอดของหลิงเซียวเจอ พวกเขาก็จะได้รับความลับทุกอย่างในการเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะของหลิงเซียวจากปากของผู้สืบทอดได้ เวลานั้น เชื่อว่าต่อให้พวกเขาไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะได้สำเร็จ สหพันธรัฐก็สามารถผลิตผู้ควบคุมหุ่นรบระดับชั้นยอดออกมาได้เป็นจำนวนมาก สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสังคมมนุษย์ ความฝันในการเป็นประเทศที่แข็งแกร่งชั้นยอดของสหพันธรัฐก็เป็นจริงได้แล้ว
พันเอกที่มีผลการตรวจสอบแล้วก็ไม่มีความคิดที่จะอยู่ในมิติเสมือนจริงอีกต่อไป เขารีบพาห้าคนออกไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที
หลังจากที่พวกเขาออกไปได้ไม่นาน ร่างของเสี่ยวซื่อก็ปรากฏขึ้นมาเงียบๆ ตรงบริเวณที่พวกเขายืนอยู่เมื่อสักครู่นี้ ดวงหน้าน้อยๆ ของเขาเคร่งขรึมอย่างยิ่ง ปากก็พึมพำเสียงเบาว่า “ผู้มีความสามารถด้านผีซวีงั้นเหรอ? มีฝีมืออยู่บ้างตามที่คิดไว้จริงๆ ด้วย…” เขาเพิ่งจะกล่าวจบก็หายตัวไปอีกครั้ง
ในเวลานี้เอง ไม่ว่ามิติเสมือนจริงหรือว่าโลกความเป็นจริง เรื่องมิติมรดกของหลิงเซียวหายไปก็ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างครึกโครม เนื่องจากมิติมรดกของหลิงเซียวไม่เคยถูกคนสืบทอดสำเร็จมาโดยตลอด ดังนั้นพวกนักเรียนยังคงกระตือรือร้นเกี่ยวกับมิติมรดกลึกลับในมิติเสมือนจริงของสถาบันแห่งนี้อย่างยิ่งยวดเสมอมา ให้ความสนใจมันตลอดเวลา ดังนั้นเรื่องการหายไปของมิติมรดกจึงระเบิดแพร่กระจายขึ้นในหมู่นักเรียนทันที ทำให้ทางกองทัพที่เดิมทีคิดจะควบคุมข่าวนี้ไว้ก็รับมือไม่ทัน
เรื่องเดียวที่ทำให้พวกเขารู้สึกยินดีคือ นอกจากระดับสูงบางคนของกองทัพรวมไปถึงคนของผู้อำนวยการสถาบันที่รู้ประวัติที่แท้จริงของมิติมรดกแล้ว คนอื่นๆ ต่างไม่รู้ว่ามิติมรดกมาจากยอดฝีมือท่านไหน
การตรวจสอบของทางกองทัพดำเนินไปอย่างเงียบเชียบ พวกระดับสูงค่อนข้างโน้มเอียงไปทางเรื่องมิติมรดถูกคนสืบทอดได้สำเร็จแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงทำการจับตามองและตรวจสอบคนที่สัมผัสมิติมรดกในหนึ่งเดือนมานี้อย่างกวดขัน เมื่อพบสิ่งผิดปกติก็จะควบคุมนักเรียนเหล่านี้ไว้และสอบถามอย่างเป็นความลับ
พวกเขาถึงขนาดย้ายผู้มีความสามารถด้านการสะกดจิตในหน่วยพิเศษมาสะกดจิตพวกนักเรียน พยายามหาข้อเท็จจริงของเรื่องราวเพื่อการณ์นี้ แต่นักเรียนที่ดูเหมือนน่าสงสัยเหล่านี้ไม่ได้รับมรดกของหลิงเซียวเลย นี่ทำให้พวกเขาผิดหวังสุดขีด และก็ทำให้พวกเขาร้อนใจขึ้นมา การเคลื่อนไหวจึงเริ่มรุนแรงขึ้น ไม่ได้ปิดบังซ่อนเร้นเหมือนอย่างในตอนแรกแล้ว
………………………..