หลิงเซียวใคร่ครวญมาอย่างสมบูรณ์แบบมาก แต่ความคิดของเขาไม่ได้รับการเห็นชอบจากหลานลั่วเฟิ่ง ถึงขนาดที่พอได้ยินว่าหลิงเซียวตัดสินใจให้หลิงหลานเข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง หลานลั่วเฟิ่งก็คลุ้มคลั่งแล้ว
หลานลั่วเฟิ่งไม่อยากให้ลูกสาวปลอมตัวเป็นผู้ชายต่อเลย หลิงหลานอายุสิบหกแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเจริญเติบโตของเด็กสาว แต่หลิงหลานต้องฉีดยาระงับฮอร์โมนตลอดอีก ควบคุมเอสโตรเจนที่เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรงในร่างกายป้องกันไม่ให้กระตุ้นการเจริญเติบโตตามเพศเพื่อปลอมตัวเป็นผู้ชายไม่ให้คนสังเกตเห็น ถึงแม้ว่าทางกองทัพจะประกาศว่าการฉีดยาระงับฮอร์โมนจะไม่สร้างความเสียหายแก่ร่างกายมนุษย์ เมื่อหยุดใช้ก็จะทำให้คนผู้นั้นฟื้นฟูกลับมาอยู่ในระดับมาตรฐานตามปกติภายในช่วงเวลาสั้นๆ
แน่นอนว่าการที่กองทัพคิดค้นยาระงับฮอร์โมนนี้ไม่ได้ทำเพื่อควบคุมการเจริญเติบโต ใช้ผู้หญิงเหมือนผู้ชาย หากแต่ทำเพื่อรับรองความสามารถในการเอาชีวิตรอดบนสนามรบของทหารหญิง
ควรทราบเอาไว้ว่า ผู้หญิงจะมีหลายวันที่ไม่สะดวกและไม่สบายทุกเดือน จิตใจและภายในร่างกายจะอยู่ในสภาพต่ำกว่ามาตรฐานเสมอ ถ้าเกิดเป็นช่วงเวลาปกติก็ยังดี แต่ถ้าเจอสงครามขึ้นมา สาเหตุเหล่านี้จะทำให้พลังรบของทหารหญิงอ่อนแอลง และก็จะพลีชีพไปเพราะเหตุนี้ได้ ดังนั้นขอเพียงทหารหญิงเข้าสู่พื้นที่ช่วงเวลาสงคราม ทหารหญิงทุกคนจะฉีดยาระงับฮอร์โมนหนึ่งเข็มล่วงหน้า รับประกันว่าจะไม่มีความกังวลของผู้หญิงในช่วงเวลาครึ่งปี
แน่นอนว่ายาที่เหมือนยาระงับฮอร์โมนแบบนี้อยู่ในข่ายยากึ่งต้องห้าม ประชาชนทั่วไปไม่สามารถได้มา อย่างไรก็ตาม ถึงยังไงตระกูลหลิงสองรุ่นต่างก็รับตำแหน่งระดับสูงในกองทัพ ต่อให้หลิงเซียวพลีชีพไปแล้ว เครือข่ายที่หลงเหลือไว้ยังคงทำให้ตระกูลหลิงเอายาที่ไม่ได้อยู่ในหมวดยาต้องห้ามที่มีความต้องการในตลาดสูงแบบนี้มาได้ง่ายๆ
นับตั้งแต่ที่หลิงหลานอายุสิบขวบเป็นต้นไปก็เริ่มฉีดยาระงับฮอร์โมนติดต่อกันมาหกปีแล้ว นี่ทำให้หลานลั่วเฟิ่งที่กังวลใจมาตลอดว่าหลิงหลานจะเกิดอาการบาดเจ็บบางอย่างที่แสดงผลขึ้นในภายหลังเนื่องจากฉีดยาระงับฮอร์โมนมากเกินไป ถึงยังไงทหารหญิงก็ไม่ได้ฉีดยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานเหมือนหลิงหลาน พวกเธอแค่ฉีดหนึ่งเข็มเตรียมตัวก่อนสงครามในช่วงเวลาวิกฤติเท่านั้น เมื่อสงครามสิ้นสุดลงก็จะหยุดใช้ทันที
ครั้งนี้หลิงเซียวฟื้นคืนชีพกลับมาอย่างกะทันหันทำให้หลานลั่วเฟิ่งตื่นเต้นยินดีแล้วก็ปลดเปลื้องหินก้อนยักษ์ที่กดแน่นในหัวใจเธอมาตลอดเช่นกัน หลานลั่วเฟิ่งคิดว่าขอเพียงหลิงเซียวกลับมาก็จะแก้ไขปัญหาเรื่องการปลอมตัวเป็นผู้ชายของหลิงหลานได้อย่างง่ายดายแล้ว
นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมตอนที่หลานลั่วเฟิ่งได้ยินว่าหลิงเซียวได้ฝากฝังลูกสาวให้เข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งของสหพันธรัฐก่อนที่จะรู้ความจริง เธอถึงรู้สึกตกตะลึงแต่ว่าไม่ได้โกรธ ถึงยังไงตอนนั้นหลิงเซียวก็ไม่รู้ว่าหลิงหลานเป็นเด็กสาว ดังนั้น หลานลั่วเฟิ่งเลยลากหลิงเซียวกลับมาที่ห้องนอนอย่างเข้าใจเหตุผลแล้วบอกความลับนี้ให้หลิงเซียวฟังอย่างลับๆ
เดิมทีหลานลั่วเฟิ่งหวังว่าหลังจากนี้หลิงเซียวจะคิดหาวิธีได้ว่าจะปฏิเสธการไปโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งยังไง ไม่นึกเลยว่าคำตอบที่ได้รับยังคงเป็นการให้ลูกสาวสุดที่รักของเธอปลอมตัวเป็นผู้ชายต่อไปอีกหกปี ไม่เพียงเท่านั้นยังให้ร่วมอยู่กินด้วยกันกับผู้ชายฝูงหนึ่ง นี่ทำให้หลานลั่วเฟิ่งเดือดดาลแล้ว
“ไม่ได้นะ! ฉันไม่อนุญาตให้ลูกสาวของฉันเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่เป็นชายล้วนเด็ดขาด หลิงหลานเป็นเด็กผู้หญิงนะ” เวลานี้หลานลั่วเฟิ่งต้องขอบคุณที่ห้องนอนทุกห้องของคฤหาสน์ตระกูลหลิงต่างติดอุปกรณ์เก็บเสียง ต่อให้ทั้งสองคนแผดเสียงคำราม ด้านนอกก็ไม่ได้ยินเสียงเช่นกัน
“ฉันรู้ ฉันรับรองว่าจะจัดการให้เรียบร้อย ไม่มีใครค้นพบเรื่องเพศที่แท้จริงของหลิงหลานได้” หลิงเซียวปลอบโยนหลานลั่วเฟิ่งที่อยู่ในอารมณ์ปั่นป่วน พยายามทำให้เธอใจเย็นลง
แต่คำพูดประโยคนี้ของเขากลับทำให้หลานลั่วเฟิ่งโมโหหนักกว่าเดิม เธอชี้ไปที่จมูกของหลิงเซียวด้วยความโกรธเกรี้ยว “หลิงเซียว คุณเอาอะไรมารับรอง? สิบเจ็ดปีก่อน คุณรับรองว่าจะกลับมาให้ได้แต่คุณกลับผิดคำพูด ‘พลีชีพ’ ไปสิบเจ็ดปีเต็มๆ ให้พวกเราสองแม่ลูกทนทุกข์ทรมานถูกเหยียดหยาม และตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตอนนี้คุณพูดรับรองอะไรให้ฉันอีก? อยากให้หลิงหลานชื่อเสียงป่นปี้ในตอนสุดท้าย คุณถึงจะพอใจใช่ไหม?”
เวลานี้หลานลั่วเฟิ่งไม่เชื่อคำพูดใดๆ ของหลิงเซียวแล้ว ในฐานะที่เธอเป็นมารดา ความกังวลและความหวาดกลัวของเธอย่อมมากกว่าหลิงเซียว เธอรู้ดีว่าถ้าหากหลิงหลานถูกคนค้นพบเรื่องเพศสภาพที่แท้จริงและสุดท้ายก็ถูกคนเปิดโปงออกมาในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งละก็ ชีวิตของหลิงหลานคงพังไปแล้วจริงๆ ไม่มีใครยินดีเชื่อในความบริสุทธิ์ของเธอ โดยเฉพาะเมื่อเธอใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ร่วมกับผู้ชายจำนวนมากขนาดนั้น
ต่อให้หลิงหลานไม่สนใจ หลิงเซียวไม่สนใจ แต่เธอที่เป็นแม่คนนี้ยังรับไม่ได้ที่ลูกสาวตัวเองจะถูกคนอื่นปฏิบัติและใช้สายตาผิดปกติใส่หรอกนะ นี่จะทำให้เธอเป็นบ้า
“ฉันจัดการไว้เรียบร้อยแล้วชัดๆ ให้หลิงหลานออกไปไกลๆ จากโดฮา ออกห่างจากสายตาพวกคนระดับสูงของกองทัพ หลังจากนั้นก็หายตัวไปช้าๆ สุดท้ายก็กลับคืนสู่เพศที่แท้จริง ใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ…แต่ทุกอย่างนี้ถูกคุณทำพังไปแล้ว! ทำไมคุณไม่กลับมาให้เร็วกว่านี้หรือกลับมาให้ช้ากว่านี้ ทำไมต้องกลับมาตอนนี้ด้วย?”
หลานลั่วเฟิ่งกล่าวถึงตรงนี้แววตาก็มีความขุ่นเคือง แค้นที่ทำไมหลิงเซียวกลับมาได้ประจวบเหมาะขนาดนี้ กลับมาในช่วงเวลาสำคัญที่ตัดสินเส้นทางในอนาคตของหลิงหลาน และก็แก้ไขเส้นทางที่พวกเธอวางแผนไว้เอาเอง ทำให้หลิงหลานตกอยู่ในสภาพวิกฤติตกอับเช่นนี้อีกครั้ง?
“ขอโทษนะ ลั่วเฟิ่ง ฉันร้อนใจเกินไปแล้ว ตอนที่ฉันเห็นว่าร่างกายของหลิงหลานได้รับบาดเจ็บไม่หายดี พลาดโอกาสเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งไป ฉันก็สูญเสียการควบคุมไป เดิมทีฉันแค่ไม่อยากให้ลูกของฉันผิดหวัง เธอทำได้ยอดเยี่ยมมากขนาดนั้นในสถาบันลูกเสือ คงอยากเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแน่ๆ…ฉันมั่นใจมากเกินไปแล้ว” หลิงเซียวกอดหลานลั่วเฟิ่งไว้แน่นๆ เอ่ยขอโทษซ้ำๆ “ความผิดพลาดแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ฉันได้แต่พยายามชดเชยอย่างสุดความสามารถเท่านั้น ไม่ใช่ว่าปฏิเสธไม่ได้ แต่ความเสี่ยงของหลิงหลานไม่ได้น้อยไปกว่าเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเลย!”
หลานลั่วเฟิ่งได้ยินว่ามีความเสี่ยงก็ใจเย็นลง หลิงเซียวเห็นดังนั้นก็รีบอธิบายสาเหตุให้เธอฟังว่าทำไมเขาถึงตัดสินใจแบบนี้
หลิงเซียวอยู่ฝ่ายของจอมพล มีระดับสูงของกองทัพมากมายที่ไม่ได้ยอมอยู่ใต้จอมพล ในหมู่นายพลทั้งเก้าก็มีสี่คนที่แยกไปอยู่ฝ่ายอิทธิพลอื่นๆ ยังมีนายพลอีกสองที่รักษาความกลางไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่ายอิทธิพลต่างๆ ต่อสู้ขัดแย้งกันเอง ไม่ปรองดองสามัคคีกันเลย จอมพลก็คงไม่มีทางนั่งตำแหน่งจอมพลที่หนึ่งได้อย่างมั่นคงมาหลายสิบปีหรอก
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อลมพัดใบหญ้าไหว ถ้าโดนฝ่ายตรงข้ามหาข้ออ้างมาโจมตีจอมพลได้ จอมพลก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะนั่งตำแหน่งได้อย่างมั่นคงต่อไปเช่นกัน หลิงเซียวจำเป็นต้องคำนึงถึงเรื่องนี้ ควรทราบไว้ว่าจอมพลเป็นคนลงแรงอย่างมากในการฝากฝังให้หลิงหลานเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง
แต่ถ้าเกิดสุดท้ายหลิงหลานปฏิเสธที่จะเข้าเรียน ฝ่ายตรงข้ามย่อมไม่มีทางปล่อยโอกาสนี้ไปแน่นอน พวกเขาจะวางเป้าหมายไว้ที่ตัวหลิงหลาน จับตามองอย่างลับๆ หาเหตุผลที่แท้จริงของการปฏิเสธ…ต่อให้หาไม่เจอ พวกเขาก็น่าจะสร้างอะไรบางอย่างที่ทำให้จอมพลที่ออกคำสั่งอนุมัติต้องเสียหน้า….
นี่ย่อมทำให้ฝ่ายจอมพลตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบเป็นฝ่ายถูกกระทำ ในฐานะที่หลิงเซียวอยู่ฝ่ายจอมพลย่อมไม่อยากเห็นเรื่องนี้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ เขากลัวว่าสองมือของเขายากจะกำจัดศัตรูจำนวนมาก หากเลินเล่อครั้งเดียวก็จะทำให้หลิงหลานตกอยู่ในวิกฤติได้
หลานลั่วเฟิ่งฟังเรื่องอื่นไม่เข้าหู แต่เธอฟังเข้าใจเรื่องที่หลิงหลานจะถูกจับตามองระยะยาวเพราะเหตุนี้จนตกอยู่วิกฤติได้ง่ายๆ หลานลั่วเฟิ่งเป็นผู้หญิงฉลาดคนหนึ่ง เธอคิดออกอย่างรวดเร็วว่าตัวเลือกแบบไหนถึงจะเป็นประโยชน์ต่อหลิงหลานมากกว่า อันที่จริงการตัดสินใจของหลิงเซียวก็ไม่ผิด
หลานลั่วเฟิ่งก็เข้าใจอยู่หรอก แต่หน้าอกเธอยังคงมีโทสะอยู่ ก็เป็นเพราะหลิงเซียวที่อยู่ตรงหน้าเธอลงมือกระทำตามใจตัวเองถึงทำให้ลูกสาวสุดที่รักของเธอจำเป็นต้องยืดเวลาในการกลับคืนสู่ตัวตนที่แท้จริงออกไปอีกหกปี…หลานลั่วเฟิ่งคิดอย่างไรก็รู้สึกแค้นหลิงเซียวอย่างนั้น!
“หลิงเซียว คุณยังจำพวกคำสาบานในตอนที่คุณขอแต่งงานได้หรือเปล่า?” เห็นได้ชัดว่าหลานลั่วเฟิ่งที่ใจเย็นลงดูน่ากลัวอยู่บ้าง
หน้าผากของหลิงเซียวหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา แต่ก็ไม่กล้าไม่ตอบ “ฉันจำได้”
“คำสาบานข้อที่สี่ที่คุณรับปากในตอนนั้นคืออะไร?” หลานลั่วเฟิ่งเอ่ยถามอย่างเย็นชา เวลานี้เธอดูมีกลิ่นอายของทหารอยู่เล็กน้อย
“หลังจากแต่งงานแล้ว จะต้องทำให้ภรรยามีความสุขดีใจตลอดไป จะไม่ทำให้ภรรยาโมโหเป็นอันขาด ถ้าหากผิดคำพูดก็ให้ภรรยาลงโทษตามใจชอบ” หลิงเซียวความจำเป็นเลิศ อ้าปากกล่าวคำสาบานข้อที่สี่ออกมา
“หลิงเซียว ตอนนี้ฉันไม่มีความสุขมากๆ ไม่ดีใจมากๆ ฉันโกรธมาก โกรธเอามากๆ คุณว่าฉันควรจะทำยังไงดี?” หลานลั่วเฟิ่งกัดฟันกล่าวออกมาทีละคำ
“ฉันรู้ ลั่วเฟิ่ง เธอว่ามาเลย จะลงโทษฉันยังไงก็ได้ทั้งนั้น” หลิงเซียวยิ้มเจื่อน เขาไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น เขาทำตามคำสาบานตอนนั้นไม่ได้จริงๆ ไม่เพียงไปรบในช่วงเวลาที่เพิ่งแต่งงานทำให้หลานลั่วเฟิ่งวิตกกังวลแล้ว เขายังหายสาบสูญไปสิบเจ็ดปีเพราะเหตุนี้อีก ทำให้หลานลั่วเฟิ่งต้องประคับประคองบ้านหลังนี้ไว้ด้วยตัวคนเดียวมาอย่างยากลำบาก กระทั่งพอเขากลับมาก็ก่อเรื่องวุ่นวายทำให้หลานลั่วเฟิ่งโมโหเดือดดาล เขาควรได้รับการลงโทษจริงๆ นั่นแหละ
“ฉันตัดสินใจแล้ว ก่อนหน้าที่หลิงหลานจะกลับมาเป็นลูกสาว ฉันไม่อนุญาตให้คุณเข้าห้องฉันแม้แต่ก้าวเดียว…” หลานลั่วเฟิ่งทิ้งท้ายคำพูดประโยคนี้ไว้ก็เปิดประตูห้องจากไปโดยไม่มองหลิงเซียวเลยสักนิด
หลิงเซียวถูกทิ้งจนตะลึงงันไป จากนั้นเขาก็ตะโกนด้วยความแตกตื่นว่า “ลั่วเฟิ่ง อย่าทำแบบนี้กับฉันเลยนะ พวกเรามาปรึกษากันดีๆ เถอะ…” เขารีบไล่ตามไป พยายามทำให้หลานลั่วเฟิ่งเก็บคำพูดโหดเหี้ยมเมื่อสักครู่นี้กลับไป
บทลงโทษของหลานลั่วเฟิ่งโหดร้ายมากเกินไปแล้ว ไม่ใช่ว่านี่ต้องการให้เขาเป็นพระไปอีกหกปีหรอกเหรอ? ถึงแม้ว่าเขาจะทำมาแล้วสิบเจ็ดปี แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้เห็นเนื้อเลย เขาย่อมอดทนได้อยู่แล้ว ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกัน ทุกวันเห็นเนื้อที่ชอบกินล่อลวงอยู่ตรงหน้า แต่ไม่ยอมให้เขากิน นี่ย่อมเป็นการลงโทษและทรมานทางใจอย่างหนึ่งแน่นอน…
หลิงหลานเห็นหลานลั่วเฟิ่งพุ่งกลับมาอย่างขุ่นเคือง ไม่สนใจหลิงเซียวที่ไล่ตามหลังมา เธอก็รู้ว่าสถานการณ์น่าจะย่ำแย่เล็กน้อย
เมื่อหลิงเซียวมาถึงห้องอาหาร อารมณ์ที่เดิมทียังตื่นตระหนกลนลานอยู่บ้างก็หายไปอย่างเงียบเชียบ แทนที่ด้วยความอ่อนโยนและสุขุม อย่างไรก็ตาม หลิงหลานยังคงสัมผัสได้ถึงร่องรอยความกระอักกระอ่วนที่หลงเหลืออยู่ภายในใจเขาได้อย่างชัดเจนมาก ดูท่าเมื่อเผชิญหน้ากับหลานลั่วเฟิ่งที่โทสะพวยพุ่งนั้น หลิงเซียวก็ทำอะไรไม่ได้เช่นเดียวกัน
ความโกรธของหลานลั่วเฟิ่งชัดเจนมากเกินไปจริงๆ เหอซวี่หยางไม่กล้าอ้อยอิ่งอยู่นาน เขารีบทานอาหารเช้าอย่างรวดเร็วก่อนจะหาข้ออ้างออกไปจากห้องอาหาร หลิงหลานส่งสายตาบอกหลิงฉินให้ตามไปส่ง ความจริงแล้วก็เพื่อให้แน่ใจว่ารอบๆ บริเวณไม่มีคนอื่นอีก เนื่องจากต่อไปเป็นการสนทนาของพวกเขาทั้งครอบครัว มันมีความสำคัญมากเกินไปจริงๆ ไม่อาจให้ใครรู้ได้
ถึงแม้ว่าหลิงเซียวจะทานอาการเช้าอย่างสงบเงียบ แต่เขามองเห็นสีหน้าของทุกคนในห้องอาหารได้เป็นอย่างดี พอเห็นการกระทำอย่างระมัดระวังรอบคอบของหลิงหลาน ในใจก็อดรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ ‘ดูสิ นี่ก็คือลูกสาวของฉัน!’
เมื่อเทียบกับลูกชายแล้ว หลิงเซียวยิ่งไม่มีแรงต้านทานต่อลูกสาวมากกว่า…
“การตัดสินใจให้ผมเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้วใช่ไหมครับ?” หลังจากที่หลิงหลานได้รับการยืนยันจากหลิงฉิน เธอก็จ้องไปที่หลิงเซียวพลางเอ่ยปากถาม
“ก็ไม่ใช่ แต่ว่าความเสี่ยงจากการปฏิเสธใหญ่มากเกินไป ไม่ว่าจะต่อฉันหรือว่าต่อเธอ” หลิงเซียวไม่ได้ปกปิด เขาอธิบายผลที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งหมดหลังจากการปฏิเสธให้หลิงหลานฟังทีละอัน “สุดท้ายอำนาจในการตัดสินใจยังอยู่ที่เธอนะ ถ้าเธอไม่อยากไปจริงๆ ฉันก็แบกรับไว้ได้เหมือนกัน เพียงแต่ภัยอันตรายที่มีต่อเธอจะเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย”
………………………