ในตอนนี้เอง หลานลั่วเฟิ่งอดไม่ไหวเอ่ยปากพูดว่า “หลิงหลาน อย่างกังวลมากนักเลย คุณพ่อของลูกสามารถจัดการได้” ถึงแม้ว่าหลานลั่วเฟิ่งจะโมโหหลิงเซียวสุดขีด แต่ความเชื่อมั่นที่มีต่อหลิงเซียวกลับไม่ได้ลดลงไปสักส่วน
หลิงหลานครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “รับรองได้หรือเปล่าครับว่าเพศที่แท้จริงของผมจะไม่ถูกค้นพบ?” ในเมื่อหลิงเซียวตัดสินใจส่งเธอเข้าโรงเรียนทหาร เขาย่อมต้องมีแผนการที่เพียบพร้อมเอาไว้แล้ว
“อื้อ ฉันจะจัดการให้เรียบร้อย” แววตาของหลิงเซียวเต็มไปด้วยความมั่นใจ เขาไม่มีทางเลินเล่อเกี่ยวกับชีวิตของลูกสาวได้แม้แต่น้อย
“งั้นผมไปครับ” หลิงหลานตอบ ความจริงแล้วเหตุผลใหญ่ที่สุดที่เธอไม่อยากไปเรียนที่โรงเรียนทหารก็คือกลัวว่าจะถูกคนพบเรื่องเพศที่แท้จริงของเธอ เนื่องจากรายการที่ตรวจเช็คร่างกายในปีหนึ่งมีมากเกินไปจริงๆ ถ้าเกิดเป็นครั้งสองครั้ง เธอยังมั่นใจว่าจะหลบพ้นได้ แค่ถ้าหลายครั้งแบบนี้ เธอก็ไม่มั่นใจแล้ว ในเมื่อหลิงเซียวสามารถช่วยเธอแก้ไขปัญหาข้อนี้ได้ หลิงหลานย่อมไม่มีความกังวลอะไรแล้ว
นอกจากนี้ หลิงหลานอยากเจอพวกฉีหลง หานจี้จวิน ลั่วล่างมากๆ เธอเชื่อว่าสีหน้าของพวกเขาตอนเห็นเธอเข้าไปเรียนในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งด้วยกันจะต้องน่าตลกสุดยอดแน่ๆ
มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มคลุมเครือ ว่ากันตามตรงแล้ว เธอไม่อยากแยกจากพวกเขาจริงๆ ถึงยังไงก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ ความรู้สึกสลักลึกไปในกระดูกของกันและกันมานานแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เธอนึกอยากจะตัดก็ตัดได้
การตัดสินใจของหลิงหลานทำให้การทะเลาะกันของหลิงเซียวกับหลานลั่วเฟิ่งจบลงชั่วคราว ในที่สุดทั้งสามคนในครอบครัวก็ให้ความสนใจกับอาหารเช้าตรงหน้าได้แล้ว เพียงแต่มื้ออาหารร่วมกันเป็นครั้งแรกของทั้งสามคนควรจะมีบรรยากาศอบอุ่นชัดๆ ทว่าเนื่องจากในใจหลานลั่วเฟิ่งยังคงหงุดหงิด รวมถึงหลิงหลานที่ยังดูไม่ยอมรับหลิงเซียวอย่างคลุมเครือ ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลอยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าหลิงเซียวอยากจะเอาใจหลานลั่วเฟิ่งกับหลิงหลานอย่างสุดความสามารถ แต่ทั้งสองคนต่างไม่มีอารมณ์ร่วมด้วยเลย ทำให้หลิงเซียวทานอาหารเช้ามื้อนี้ด้วยความกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง ใบหน้าดูหงอยเหงาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หลิงหลานเห็นท่าทีที่ดูคุ้นเคยนี้ มือที่กุมตะเกียบก็สั่นระริกเบาๆ ตอนนี้สีหน้าของหลิงเซียวแทบไม่ต่างกับตอนที่เธอไม่ยอมเรียกพ่อในมิติการเรียนรู้เลย นี่ทำให้ในใจหลิงหลานสั่นสะท้านไม่หยุด ความรู้สึกแปลกหน้าที่มีต่อหลิงเซียวแต่เดิมพลันหายวับไป เวลานี้เธอค่อยสัมผัสได้จริงๆ ว่าหลิงเซียวที่อ่อนโยนชอบยิ้มแย้มตรงหน้านี้คือหลิงเซียวที่เธอยินดีเรียกว่าพ่อคนนั้นจริงๆ…เพียงแต่หลิงเซียวในปัจจุบันไม่รู้เรื่องนี้เลย
หลิงหลานอ้าปากแต่ยังไม่ได้เรียกว่าพ่อออกมา หลิงเซียวที่เป็นร่างจิตคือหลิงเซียวเมื่อสิบเจ็ดปีก่อน ส่วนหลิงเซียวคนปัจจุบันกลับเป็นหลิงเซียวอีกสิบเจ็ดปีให้หลัง ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือว่ากลิ่นอายบนตัวต่างก็ไม่เหมือนกันอยู่บ้าง การพูดคุยปฏิสัมพันธ์กันในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่เพียงพอให้หลิงหลานมองข้ามความแตกต่างจุดนี้ไป นอกจากนี้เดิมทีหลิงหลานก็ไม่ใช่เด็กสาวที่เปิดใจง่ายๆ ด้วย
“โลกที่ไม่รู้จักดวงนั้นมีเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์มากอยู่เยอะแยะเลยใช่ไหมครับ?” ถึงแม้จะไม่ได้เรียกคำว่าพ่อออกมาแต่หลิงหลานก็ทนเห็นหลิงเซียวตกอยู่ในสภาพอึดอัดใจไม่ได้ ดังนั้นก็เลยเอ่ยปากถามขึ้นมา
คำถามของหลิงหลานทำให้แววตาของหลิงเซียวเปล่งประกายฉับพลัน แววตาที่เดิมทียังมีความหดหู่ใจเปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขาเอ่ยด้วยความตื่นเต้นว่า “ใช่แล้ว ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีของที่นั่นจะล้าหลัง แต่ทรัพยากรสินแร่กลับอุดมสมบูรณ์มากๆ มีวัตถุดิบมากมายที่สหพันธรัฐขาดแคลนมาก แต่ว่าพวกเธออย่าพูดเรื่องพวกนี้ออกไปนะ ฉันไม่ได้บอกคนอื่นเลย…”
เมื่อเห็นหลิงเซียวเล่าเรื่องโลกที่ไม่รู้จักให้หลิงหลานฟังทีละเล็กทีละน้อยอย่างมีชีวิตชีวา รอยยิ้มจางๆ ค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลานลั่วเฟิ่ง หลิงเซียวกับหลิงหลานคือสองคนที่เธอรักมากที่สุด เธอย่อมอยากให้ทั้งสองคนสนิทสนมกลมเกลียวกัน เวลานี้หลานลั่วเฟิ่งลืมไปแล้วว่าเธอต้องโกรธเคืองหลิงเซียวอยู่
ตอนนี้หลิงหลานกลับนึกเสียใจนิดหน่อยว่าทำไมเธอต้องยกหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมาด้วย เธอไม่นึกเลยว่าหลิงเซียวจะเป็นคนพูดมาก แค่เอ่ยปากก็พูดไม่หยุดแล้ว นี่ทำให้เส้นเลือดบนหน้าผากเธออดกระตุกไม่ได้ แทบจะคว่ำโต๊ะประกาศว่าบทสนทนานี้ควรจบได้แล้ว
หลิงหลานไม่รู้เลยว่า ถ้าหากไม่ใช่คำถามของหลิงหลาน หลิงเซียวก็คงไม่เล่าเรื่องทุกอย่างในโลกที่ไม่รู้จักให้หลิงหลานฟังด้วยความตื่นเต้นแบบนี้เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าคำพูดที่ฟังดูอยากได้ข้อมูลอย่างชัดเจนเช่นนี้ของหลิงหลานทำให้หลิงเซียวดีใจอย่างยิ่งยวด และก็ทำให้หลิงเซียวสูญเสียความเยือกเย็นที่ควรมีโดยสิ้นเชิง เขาแค่อยากเอาใจลูกสาวตัวเองอย่างสุดชีวิตเท่านั้น คุณพ่อกตัญญูยี่สิบสี่ประการต่างก็อดไม่ไหวเปลี่ยนเป็นโง่งม พูดจาเวิ่นเว้อ ไม่มีหลักการเมื่ออยู่ต่อหน้าลูกสาวทั้งนั้นแหละ
ราวกับสวรรค์ทนเห็นหูของหลิงหลานถูกทรมานไม่ไหว ดังนั้นจึงได้ส่งผู้ช่วยเหลือมา เสียงแค่นหัวเราะอย่างเย็นชาดังขึ้นทีหนึ่งในห้องอาหาร “ในเมื่อกลับมาแล้ว ยังไม่ไสหัวมาเจอฉันอีก?”
หลิงเซียวที่เดิมทีกำลังเล่าเรื่องอย่างตื่นเต้นมีความสุขถูกเสียงนี้ทำให้ตกใจจนสะดุ้งขึ้นมาโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยเสียงหลงว่า “อาจารย์! คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงครับ?”
“ไอ้เด็กเวร ฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือไง?” ถึงแม้ว่ามู่สุ่ยชิงจะดุหลิงเซียว แต่ในน้ำเสียงยากจะปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้ เห็นได้ว่าการกลับมาของหลิงเซียวได้กระทบจิตใจของชายชราผู้นี้อย่างยิ่งยวด เชื่อว่าถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้หลิงเซียวมีเวลาอยู่กับครอบครัวละก็ มู่สุ่ยชิงคงจะเข้ามาหาทันทีแน่นอน
หลิงเซียวค่อยนึกขึ้นได้ว่า เป็นเพราะการปรากฏตัวของมู่สุ่ยชิงเมื่อสามปีก่อนถึงได้ช่วยชีวิตของหลิงหลานไว้ อาจารย์เขาน่าจะกลัวว่าหลิงหลานจะเจอเหตุการณ์โดนลอบสังหารอีก ดังนั้นก็เลยอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลหลิงคุ้มครองหลิงหลาน
หลิงเซียวพลันรู้สึกละอายใจไม่หยุด เพราะเขาถึงทำให้อาจารย์ท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกจำเป็นต้องหยุดฝีเท้ารั้งตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลหลิงเพื่อปกป้องหลิงหลาน พูดตามตรงก็ยังเป็นเขาที่อกตัญญู
“หลิงหลาน พาหลิงเซียวเข้ามาพบฉัน” มู่สุ่ยชิงไม่สนใจความคิดของหลิงเซียว เขาสั่งหลิงหลานโดยตรงจากนั้นก็เงียบกริบไปโดยสิ้นเชิง
“ครับ อาจารย์!” หลิงหลานตอบเรียบๆ เสียงของเธอไม่ได้ดังมาก ถึงขนาดที่พูดได้ว่าเบาสุดขีด นี่ทำให้หลิงเซียวที่ตกอยู่ในความรู้สึกละอายใจไม่สังเกตเรื่องนี้เลย
เวลานี้ใบหน้าเย็นเยียบของหลิงหลานอดบิดเบี้ยวไม่ได้ เธอมองไปยังหลิงเซียวที่กำลังจมอยู่ในห้วงความคิดด้วยความสับสนแวบหนึ่ง เธอลืมไปแล้วว่าเธอยังมีอีกสถานะหนึ่ง เธอเป็นลูกศิษย์ของมู่สุ่ยชิงเหมือนกัน หลิงเซียวก็คือศิษย์พี่ของเธอสินะ…..
เป็นพ่อลูก และก็เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ลำดับอาวุโสกับความสัมพันธ์นี้ดูสับสนวุ่นวายแล้วจริงๆ!
หลิงหลานวางชามตะเกียบลงท่ามกลางความขัดแย้งในใจ เธอลุกขึ้นยืนร้องทักหลานลั่วเฟิ่งจากนั้นก็เดินตัวปลิวออกไปจากห้องอาหาร เอาเถอะ ตอนนี้เธอถูกความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนนี้ทำให้สับสนไปแล้วเหมือนกัน
เสียงร้องทักของหลิงหลานก็เรียกสติหลิงเซียวเช่นกัน หลิงเซียวบอกลาหลานลั่วเฟิ่งโดยไม่ต้องให้เธอร้องเรียกแล้วเดินตามหลิงหลานออกจากบ้านหลักมาที่ลานบ้านด้านหลังซึ่งเป็นสถานที่เก็บตัวของมู่สุ่ยชิง
เมื่อเข้าไปในลานบ้านก็เห็นมู่สุ่ยชิงนั่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่งในลาน หลิงเซียวเห็นมู่สุ่ยชิงที่มีเส้นผมสีขาวแกมเทาแล้ว ถึงแม้ว่าเขายังคงยิ้มอยู่ ทว่าดวงตาทั้งสองพลันแดงขึ้น เรียกเบาๆ ว่า “อาจารย์!”
มู่สุ่ยชิงมองสภาพร่างกายของหลิงเซียวด้วยความจริงจังก่อนจะพยักหน้าเอ่ยด้วยความพึงพอใจว่า “ไม่เลว ไม่เหลือปัญหาแอบแฝงอะไรเลย” ที่แท้มู่สุ่ยชิงทำการตรวจสอบสภาพร่างกายของหลิงเซียวทันที ถึงยังไงปีนั้นหลิงเซียวก็ถูกพลังมหาศาลระเบิดใส่จนไปถึงดาวที่ไม่รู้จัก เอาชีวิตรอดมาได้ด้วยความโชคดี เวลานั้นเขาต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
มู่สุ่ยชิงกลัวอย่างยิ่งว่าหลิงเซียวจะจ่ายค่าตอบแทนด้วยการยืมพลังชีวิตจนทำร้ายรากฐานเพื่อที่จะช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตมาได้ ตอนนี้ดูแล้วสถานการณ์ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่เขาคิดไว้ขนาดนั้น นี่จึงทำให้เขาปลื้มปิติยินดีอย่างยิ่ง
“ขอบคุณครับอาจารย์!” หลิงเซียวย่อมรู้ว่ามู่สุ่ยชิงทำอะไรไปบ้าง เขาเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
“นอกจากตรวจดูสภาพที่แน่ชัดของเธอแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ต้องให้เธอทำ” มู่สุ่ยชิงกล่าว
“อาจารย์โปรดสั่ง” หลิงเซียวเก็บรอยยิ้มน้อยๆ เอ่ยด้วยความเคารพ
“ช่วยอาจารย์ประเมินหลานเอ๋อร์ดีๆ หน่อยสิ” มู่สุ่ยชิงกล่าวพลางชี้ไปยังหลิงหลานที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิงเซียว
“เอ่อ? อาจารย์…” รอยยิ้มบางๆ ของหลิงเซียวแข็งทื่อ เขาย่อมไม่คาดคิดว่ามู่สุ่ยชิงจะให้เขาทำเรื่องนี้ หลิงหลานเพิ่งจะอายุสิบหก สามารถรับพลังของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะอย่างเขาไหวเหรอ?
“ลืมบอกเธอไปเลย สามปีก่อนฉันรับหลานเอ๋อร์เป็นลูกศิษย์สืบทอดแท้จริงของฉันแล้ว อันที่จริงเธอเป็นศิษย์น้องของเธอ” ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาสามปี มู่สุ่ยชิงย่อมรู้เพศสภาพที่แท้จริงของหลิงหลาน
มู่สุ่ยชิงกล่าวคำพูดท่อนนี้จบก็หัวเราะขึ้น หลิงหลานรู้สึกมาตลอดว่าข้างในรอยยิ้มของมู่สุ่ยชิงแฝงไปด้วยร่องรอยการกลั่นแกล้งอยู่รางๆ ให้ความรู้สึกของเฒ่าทารก
หลิงเซียวได้ยินคำพูด สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างยิ่งยวดแทบจะกระอักเลือดออกมา รักษาใบหน้ายิ้มแย้มที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว เขาเอ่ยด้วยความลนลานว่า “อาจารย์ หลิงหลานเป็นลูกสาวของผมนะครับ” คุณจะรับเป็นศิษย์ของผมแทนไม่ได้เลยหรือไง?
มู่สุ่ยชิงถลึงตาใส่ด้วยความโกรธ “ต่อหน้าฉันจะยึดตามความสัมพันธ์ในสำนักเราเท่านั้น ส่วนเวลาอื่นพวกเธอจะเรียกกันยังไงก็ตามใจ”
การดึงดันของมู่สุ่ยชิงทำให้หลิงเซียวได้แต่นวดหว่างคิ้วของตัวเองด้วยความปวดหัวเท่านั้น ตอนนี้เขาจะไปมีกลิ่นอายความอบอุ่นได้สักนิดที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่ากลิ่นอายทั่วทั้งร่างเขาดูดุดันอยู่บ้าง ‘ให้ตายสิ นี่นับเป็นอะไร? เขายังไม่ได้ขอการยอมรับจากลูกสาว ก็ต้องลดลำดับไปก่อนหนึ่งรุ่น กลายเป็นศิษย์พี่ของลูกสาวตัวเองไปแล้วเนี่ยนะ? มิน่าล่ะผู้คนบนโลกต่างบอกว่าอาจารย์เป็นอสูรเฒ่า เอาแต่ทำตามใจชอบ ไม่มีสามัญสำนึกเลยจริงๆ’
หลิงเซียวตำหนิอาจารย์เล็กน้อยที่ทำเรื่องไม่สมเหตุสมผลเกินไปแล้ว
“อาจารย์ คุณพ่อกับผมไม่เหมาะที่จะเรียกแบบนี้หรอกครับ พวกเราต่างคนต่างเรียกดีกว่า” หลิงหลานรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน เธอพลันตระหนักได้ว่าศิษย์พี่ยังเรียกยากกว่าพ่ออีก…ก่อนหน้านี้เป็นเพราะหลิงเซียวพลีชีพไปแล้ว หลิงหลานก็เลยไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน
หลิงเซียวได้ยินหลิงหลานเอ่ยปากยอมรับเขาเป็นคุณพ่อของเธอก็ยินดีในใจ แต่ก็ผิดหวังทันที นี่บ่งบอกว่าหลิงหลานแค่ยอมรับความสัมพันธ์ทางสายเลือดของพวกเขา ไม่ได้หมายความว่ายอมรับเขาด้วยความรู้สึก ไม่อย่างนั้นเมื่อสักครู่นี้หลิงหลานจะต้องเรียกเขาว่าพ่อ ไม่ใช่คุณพ่อ หลิงเซียวรู้ความแตกต่างของคำเรียกขานสองคำนี้ดี
อย่างไรก็ตาม หลิงเซียวรีบปลุกใจขึ้นมาทันที ในเมื่อตอนนี้หลิงหลานยอมรับความจริงของสายเลือดแล้ว เขาเชื่อว่าอนาคตอีกไม่นานเธอก็จะยอมรับพ่ออย่างเขาคนนี้ได้อย่างสุดหัวใจ
ในใจหลิงเซียวเต็มไปด้วยความฮึกเหิม เขาจะต้องพยายามเข้าเพื่อที่จะได้รับการยอมรับจากผู้หญิงสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา จะใช้ความรักทั้งหมดเติมเต็มช่องว่างสิบเจ็ดปีนี้
มู่สุ่ยชิงเห็นลูกศิษย์ของเขาทั้งสองคนทำท่าคัดค้านด้วยสีหน้าสับสน ก็ได้แต่ปล่อยวางความสนุกสนานอันชั่วร้ายในใจลงด้วยความเสียใจ อย่างไรก็ตาม ท่าทีแสดงออกของหลิงเซียวทำให้เขาพอใจมาก ในที่สุดเขาก็ฉีกใบหน้ายิ้มแย้มไม่มีวันเปลี่ยนของหลิงเซียวลงแล้ว ที่แท้ก็ไม่ได้มีนิสัยดีโดยกำเนิด หากแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีของสำคัญอะไรที่ทำให้หลิงเซียวเปลี่ยนสีหน้าเท่านั้น!
“ช่างเถอะ ตามใจพวกเธอละกัน” ในที่สุดมู่สุ่ยชิงก็เอ่ยปากปล่อยหลิงเซียวกับหลิงหลานพ่อลูกไป ทำให้หลิงเซียวกับหลิงหลานสองคนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถ้าเกิดมู่สุ่ยชิงดึงดันขึ้นมาจริงๆ พวกเขาก็ได้แต่กัดฟันเชื่อฟังคำสั่งของอาจารย์ กลายเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันก่อนแล้ว นี่ย่อมเป็นการสาดเกลือลงในใจหลิงเซียวอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงยังไงตอนนี้เขาก็ยังไม่สามารถทำให้หลิงหลานยอมรับเขาเป็นพ่อได้อย่างสุดหัวใจเลย
……………………..