“อย่างไรก็ตาม หลิงเซียว อย่าอ่อนข้อ หลิงหลานไม่ได้อ่อนแออย่างที่เธอคิดไว้ขนาดนั้น หลิงหลานได้รับมรดกของเธอแล้ว” มู่สุ่ยชิงเอ่ยเตือน
แววตาของหลิงเซียวส่องแสงประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่ง นับตั้งแต่ที่เขารู้ว่าจู่ๆ มรดกของเขาได้หายไปในสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เขาก็มีลางสังหรณ์ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่มรดกจะถูกหลิงหลานเอาไป เพียงแต่เมื่อกลับมาก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย ทำให้เขาไม่มีเวลาสอบถามหลิงหลาน และคำพูดของมู่สุ่ยชิงก็ยืนยันแล้วว่าลางสังหรณ์ของเขาไม่ผิด นี่ทำให้เขาอารมณ์ดีสุดขีด มรดกของเขาแต่เดิมก็เตรียมไว้สำหรับหลิงหลาน เพียงแต่เขากังวลว่าจะถูกกองทัพยึดไป ไม่ยอมมอบให้หลิงหลาน
ความจริงแล้ว ความกังวลของเขาก็ไม่ใช่เลื่อนลอย กองทัพทำไม่ได้มอบมรดกให้หลิงหลานโดยตรงจริงๆ หากแต่วางเข้าไปในโลกเสมือนจริงของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ และเปิดมันให้กับลูกเสือทุกคนหลังจากที่ไม่สามารถถอดรหัสได้ พวกเขายังคงอยากควบคุมวิธีการเลื่อนขั้นของหลิงเซียวไว้ในมือ
ถึงแม้หลิงเซียวไม่รู้ว่าหลิงหลานหลอกเจ้าหน้าที่ควบคุมตรวจสอบเหล่านั้นได้ยังไง ถึงรับมรดกของเขาได้สำเร็จอย่างเงียบๆ ภายใต้จมูกของกองทัพ แต่ว่าสถานการณ์แบบนี้กลับเป็นสิ่งที่หลิงเซียวอยากเห็นมากที่สุด เขาอดกดไลค์นับไม่ถ้วนให้ลูกสาวตัวเองอยู่ในใจไม่ได้!
“เอาล่ะ หลานเอ๋อร์ ให้…ฉันทดสอบเธอดูหน่อยว่าที่เธอเรียนมาเป็นยังไงบ้าง?” คำว่า ‘พ่อ’ ที่กลิ้งมาถึงริมฝีปากถูกกลืนกลับไปอีกครั้ง แล้วฝืนเปลี่ยนเป็นคำว่า ‘ฉัน’ แทน
หลิงเซียวยังคงระมัดระวังตัวมาก หลิงเซียวไม่อยากพูดเองเออเองทำให้หลิงหลานรู้สึกไม่ดีก่อนหน้าที่หลิงหลานจะยอมรับเขา
หลิงหลานไม่ได้ตอบ เพียงแต่ทำท่าคารวะตามพิธีการต่อสู้อย่างเย็นชา จากนั้นก็ตั้งท่าป้องกัน เปิดใช้โล่จิตในชั่วพริบตา
เรียนในสำนักบัญชาเทวะดีหรือไม่ดี ย่อมต้องดูการปะทะกันของพลังจิตซึ่งเป็นวิธีการต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ หลิงเซียวกับหลิงหลานที่อยู่ในสำนักบัญชาเทวะเดียวกันต่างรู้อยู่แก่ใจดีว่าควรทำยังไง
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลิงเซียวเปิดใช้แรงกดดันทางจิตแล้ว หลิงหลานก็เข้าใจว่าผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะคือตัวตนแบบไหน พลังจิตที่กว้างใหญ่ดั่งมหาสมุทรแต่หนาแน่น แค่เปิดใช้งานเพียงเล็กน้อยก็ทำให้หลิงหลานรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกับเรือลำน้อยพยายามดิ้นรนอย่างสุดชีวิตที่อยู่ท่ามกลางมหาสมุทรเดือดคลื่นโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน ถ้าหากไม่ระวังก็จะถูกพัดทำลายจนหมด
แค่เพียงเท่านี้ หลิงหลานก็รู้ว่าพลังจิตของหลิงเซียวยังแข็งแกร่งกว่าของมู่สุ่ยชิงอีก ถึงขนาดที่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกหวาดกลัวอย่างลึกล้ำ
สีหน้าของหลิงหลานเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา แน่นอนว่าสิ่งที่แสดงออกภายนอกก็คือร่างของหลิงหลานเย็นขึ้นเรื่อยๆ อุณหภูมิทั่วทั้งพื้นที่ดิ่งลงมา มีไอเย็นออกมาจางๆ
“วิถีการกลายพันธุ์ของร่างจิตเธอคือธาตุน้ำแข็ง!” หลิงเซียวสัมผัสได้แล้วก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ วิถีการกลายพันธุ์ประเภทนี้ไม่เหมาะกับการควบคุมหุ่นรบมากจริงๆ พูดอีกอย่างก็คือ การกลายพันธุ์ทางจิตนี้ไม่สามารถเพิ่มความสามารถให้ผู้ควบคุมหุ่นรบมาใช้ในการควบคุมได้เลย แบบนี้ก็ไปถึงจุดที่คนกับหุ่นรบประสานกันเป็นหนึ่งเดียวได้ยากมาก สำหรับหลิงหลานแล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าอนาคตเธออาจจะแตะไปไม่ถึงประตูของผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชัน หรือให้พูดก็คือแทบจะไม่มีความหวังในการเลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมระดับราชัน
หลิงหลานเข้าใจดีว่าการกลายพันธุ์ทางจิตที่หลิงเซียวพูดถึงก็คือการตื่นของพรสวรรค์ เธอตอบกลับอย่างเฉยชาว่า “วิถีการกลายพันธุ์คืออะไรไม่สำคัญ เหมาะกับการควบคุมหุ่นรบหรือไม่ก็ไม่สำคัญเช่นกัน ไม่อย่างนั้นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับราชันของสหพันธรัฐคงไม่น้อยขนาดนี้ ผมคิดว่าการจะเลื่อนขั้นสู่ระดับสูงสุดได้หรือไม่นั้น ยังต้องดูโอกาสแล้วก็ดูว่าผมพยายามมากพอหรือเปล่า!”
“หลานเอ๋อร์ พรสวรรค์ในการควบคุมหุ่นรบสำคัญมากๆ การกลายพันธุ์ทางจิตเหมาะสมกับหุ่นรบหรือไม่ก็สำคัญยิ่งกว่า สองอย่างนี้จะขาดไปสักอันไม่ได้เป็นอันขาด” หลิงเสียวกล่าวพลางถอนหายใจ เขาเคยเห็นผู้ควบคุมหุ่นรบนับไม่ถ้วนที่เริ่มต้นต่างก็คิดเหมือนหลิงหลาน คิดว่าขอเพียงพยายามก็จะมีความหวัง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ควบคุมหุ่นรบทุกคนที่เลื่อนขั้นเป็นระดับราชันขึ้นไป ความสามารถที่เกิดจากการกลายพันธุ์ทางจิตของพวกเขาต่างก็เพิ่มประสิทธิภาพต่อการควบคุมหุ่นรบทั้งนั้น พูดอีกอย่างก็คือ ในสหพันธรัฐยังไม่มีการกลายพันธุ์ทางจิตของผู้ควบคุมระดับราชันคนไหนที่ไม่เหมาะกับการควบคุมหุ่นรบ
“การที่ไม่มีคนหาหนทางเจอ ไม่ได้หมายความว่าหนทางนั้นไม่มีอยู่จริงนี่ครับ” หลิงหลานมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะอาจารย์หมายหนึ่งเคยบอกว่า พรสวรรค์ที่ตื่นขึ้นอีกอันของเธอคือการรู้แจ้งเห็นจริงซึ่งเป็นพรสวรรค์ระดับสุดยอดที่เหมาะสมกับการควบคุมหุ่นรบมากที่สุด ถึงแม้ไม่รู้ว่าการตื่นขึ้นของพรสวรรค์สองอันจะนำพาความยากลำบากในการควบคุมหุ่นรบที่คาดไม่ถึงมาให้เธอหรือเปล่า แต่เธอเชื่อว่า ขอเพียงเธอพยายามมากพอ เธอไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับอัจฉริยะในด้านต่างๆ ที่มีพรสวรรค์โดดเด่นของโลกนี้หรอกนะ
แน่นอนว่า สิ่งที่ผูกมัดหลิงหลานในการเลื่อนขั้นให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นยังมีร่างกายที่อ่อนแอโดยธรรมชาติของเธอ จุดอ่อนทางด้านคุณสมบัติร่างกายที่มีเฉพาะผู้หญิงไม่ได้ชดเชยได้ง่ายดายขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม สิบหกปีมานี้หลิงหลานฝึกฝนทักษะการต่อสู้มือเปล่าพื้นฐานครบชุดในมิติการเรียนรู้มาอย่างยากลำบาก รวมถึงเคล็ดวิชาลมปราณบำรุงร่างกายที่นำมาจากชาติก่อน ตอนนี้ความสามารถด้านต่างๆ ของร่างกายเธอจึงใกล้เคียงกับพวกผู้ชายที่มีคุณสมบัติร่างกายแข็งแกร่งในรุ่นราวคราวเดียวกันมากๆ ขอเพียงเธอฝึกฝนต่อไปอีก มันก็จะค่อยๆ ชดเชยความเสียเปรียบทางด้านร่างกายที่ติดตัวมา สุดท้ายมันก็ไม่กลายเป็นจุดอ่อนอีกอันในการเลื่อนขั้นของเธอ
“ดี มีปณิธาน!” คำพูดอย่างเด็ดเดี่ยวและมั่นใจในตัวเองของหลิงหลานทำให้ความรู้สึกผิดหวังแต่เดิมของหลิงเซียวหายไปอีกครั้ง ในใจเขารู้สึกเบิกบาน จิตใจพลันฮึกเหิมขึ้นมา
แต่การฮึกเหิมเล็กน้อยนี้ทำให้พลังจิตหนาแน่นขึ้นมาอีกครั้ง ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหลานเข้าสู่สถานะต่อสู้ ทำการป้องกันอย่างแน่นหนามาโดยตลอด เกรงว่าความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้อาจจะทำให้ร่างจิตของหลิงหลานได้รับความเสียหายไปแล้ว
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ หลิงหลานก็ยังรู้สึกว่าศีรษะถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งกระแทกใส่จนวิงเวียน! และก็ทำให้หลิงหลานได้รับรู้ความรู้สึกของศัตรูตอนที่โดนเธอใช้พลังจิตโจมตีใส่
“โล่เจ็ดเหลี่ยม!” หลิงหลานเอ่ยในใจ นิ้วมือสะบัดเบาๆ พลังจิตของเธอพลันเปลี่ยนรูปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีโล่จิตขนาดประมาณหนึ่งตารางปรากฏขึ้นมาสามอันในชั่วพริบตา
โล่เจ็ดเหลี่ยมก็มีความหมายตามชื่อ เป็นทักษะระดับสุดยอดของสำนักบัญชาเทวะที่ใช้โล่เจ็ดอันสร้างขึ้น มันแบ่งพลังจิตของผู้ควบคุมให้ออกเป็นเจ็ดส่วน จากนั้นก็แยกกันตั้งแนวโล่ออกมา พลังป้องกันที่มันสร้างขึ้นไม่สามารถเทียบจากค่าป้องกันที่โล่บวกกันออกมาทั้งหมด หากแต่ใช้การเคลื่อนไหวที่ยืดหยุ่นคล่องแคล่วของโล่ทำการป้องกันครอบคลุมทั่วทั้งร่างไม่มีจุดบอด จนกระทั่งฝึกฝนถึงขั้นสุดท้ายแล้ว แนวโล่จะมีความสามารถในการโจมตีพร้อมกัน แน่นอนว่าตอนนี้หลิงหลานยังเรียนไม่ถึงขั้นนั้น เธอควบคุมโล่ได้เพียงสามด้านจากในโล่เจ็ดอันเท่านั้น
หลิงหลานเห็นดังนั้นรอยยิ้มตรงมุมปากก็กดลึกขึ้น “ไม่เลว ไม่นึกเลยว่าเธอจะเรียนรู้ทักษะระดับสุดยอดแล้ว!” ทักษะระดับสุดยอดอันแรกที่เขาเรียนรู้ในตอนนั้นก็คือ โล่เจ็ดเหลี่ยมเช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นเขาอายุสิบแปดแล้ว แต่หลิงหลานอายุแค่สิบหกเท่านั้น เรียนเร็วกว่าเขาสองปี นี่ก็พิสูจน์ว่าพรสวรรค์ด้านพลังจิตของลูกสาวเขาต้องไปถึงขั้นอัจฉริยะสุดยอดที่สุดแล้วแน่นอน…
เวลานี้หลิงเซียวไม่รู้เลยว่าการที่หลิงหลานครอบครองพลังจิตมหาศาลขนาดนี้เป็นเพราะการสั่งสมพลังจิตทั้งสองชาติของเธอ ไม่ใช่พรสวรรค์ที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนี้ไม่สลักสำคัญแล้ว เพราะว่าพลังจิตของหลิงในตอนนี้เหนือว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมากเกินไปจริงๆ
“ให้ฉันลองทดสอบความสามารถในการป้องกันของโล่เจ็ดเหลี่ยมของเธอดูหน่อยเถอะ” หลิงเซียวเอ่ยเตือน หลังจากนั้ พลังมหาศาลสายหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามา หลิงหลานรู้ดีว่านี่เป็นทักษะการโจมตีพื้นฐานที่สุดของพลังจิต โดยพื้นฐานแล้วขอเพียงเคยฝึกฝนทางจิตก็สามารถเรียนรู้การจู่โจมทางจิตได้!
อย่างไรก็ตาม การจู่โจมทางจิตของผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะไม่ใช่การจู่โจมทางจิตของคนทั่วไป ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายแค่ซัดการจู่โจมทางจิตออกมาสายหนึ่ง ทว่ามันกลับทำให้หลิงหลานรู้สึกได้ถึงวิกฤติอย่างรุนแรงกำลังพุ่งโจมตีเข้ามา
หลิงหลานขมวดคิ้ว มือขวาดีดนิ้วเบาๆ โล่สามอันที่เดิมทีป้องกันทั่วทั้งร่างก็ย้ายมาที่เส้นทางการโจมตีของหลิงเซียวทันที หลิงหลานเชื่อในสัมผัสถึงวิกฤติของตัวเอง นี่น่าจะเป็นการเตือนที่พรสวรรค์รู้แจ้งเห็นจริงมอบให้เธอ การโจมตีของหลิงเซียวในครั้งนี้ดูธรรมดา แต่มันน่าจะซ่อนความลับเอาไว้
การจู่โจมทางจิตของหลิงเซียวซัดใส่โล่อันแรก โล่แตกสลายทันที่ที่สัมผัสโดยที่มันแทบจะไม่ได้ต้านทานอะไรเลย หลิงหลานเห็นดังนั้นก็สะบัดนิ้วให้โล่อันที่สองเข้าไปปะทะโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีเลยสักนิดเดียว โล่อันที่สองแตกละเอียดอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม โล่อันที่สองกลับฝืนไว้ได้สองสามวินาที ไม่เหมือนกับโล่อันแรกที่แตกสลายไปทันที
หลิงหลานนำโล่อันที่สามไปรับการจู่โจมทางจิตของหลิงเซียวอีกครั้งโดยไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย ทว่าในตอนที่มันสัมผัสกับการจู่โจมทางจิตของอีกฝ่าย โล่จิตพลันหดลงทันที พริบตาเดียวมันก็เปลี่ยนเป็นโล่กระจกเล็กๆ อันหนึ่งที่มีขนาดเพียงแค่ฝ่ามือ
‘ปัง!’ การจู่โจมทางจิตของหลิงเซียวปะทะกับโล่กระจกขนาดเล็กสุดขีดของหลิงหลานอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ เศษหินและใบไม้ที่ร่วงลงมาบนพื้นแตกซ่านออกไป คงไม่มีใครรู้ว่าหลิงเซียวกับหลิงหลานที่ยืนประจัญหน้ากันสองคนกำลังต่อสู้ทางจิตที่อันตรายที่สุดอยู่
มู่สุ่ยชิงที่ชมการต่อสู้เบี่ยงศีรษะเล็กน้อยเพื่อหลบเศษหินที่ซัดเข้ามา รอยยิ้มบนใบหน้าเขากดลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับดอกคอสมอสที่แย้มบานอย่างอบอุ่น ดูสวยสดงดงามเท่าที่จะงดงามได้
มู่สุ่ยชิงย่อมพึงพอใจอยู่แล้ว ในชีวิตเขารับศิษย์เพียงสองคนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องพูดถึงหลิงเซียว แน่นอนว่าต้องเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจมากที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้หลิงเซียวก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐ เป็นผู้ควบคุมหุ่นรบขั้นเทวะที่ถูกเรียกขานในโลกใบนี้ว่าเป็นอาวุธสุดยอด ส่วนหลิงหลาน…มู่สุ่ยชิงรู้สึกมาตลอดว่าสำนักบัญชาเทวะของพวกเขามีตัวตนเพื่ออัจฉริยะระดับปีศาจอย่างหลิงหลานคนนี้แน่นอน มู่สุ่ยชิงเชื่อว่าสำนักบัญชาเทวะจะต้องรุ่งโรจน์ในมือของเธอ
เวลานี้มู่สุ่ยชิงอดมองไปที่หลิงเซียวไม่ได้ แล้วลอบพูดในใจว่า ‘หลิงเซียวเอ๋ยหลิงเซียว เธอเปิดหูเปิดตาดูโล่เจ็ดเหลี่ยมของหลิงหลานหน่อยเถอะ!’
เมื่อการจู่โจมทางจิตของหลิงเซียวสัมผัสถูกโล่กระจกขนาดเล็กอันที่สามของหลิงหลาน เขาก็รู้สึกได้ว่าการจู่โจมทางจิตของตัวเองถูกแรงสะท้อนมหาศาลสายหนึ่งดีดกลับมา!
พลังจิตที่สะท้อนกลับมาสายนี้ทำให้เขาสูญเสียการควบคุมไปในชั่วพริบตา มันเปลี่ยนเป็นพลังของอีกฝ่ายและโจมตีตัวเขาแทน!
“โล่เจ็ดเหลี่ยม!” หลิงเซียวเลิกคิ้วน้อยๆ ด้วยความประหลาดใจก่อนจะดีดนิ้วเบาๆ บริเวณรอบๆ ตัวเขาก็มีโล่ปรากฏขึ้นเจ็ดด้าน เขาครุ่นคิดแล้วโล่หนึ่งในนั้นก็เข้ามาสกัดกั้นพลังจิตที่สะท้อนกลับมาเอาไว้ทันที
“โล่เจ็ดเหลี่ยมนี้ไม่เหมือนกับของฉัน…” หลิงเซียวเป็นใคร แค่เห็นก็ดูออกว่าโล่เจ็ดเหลี่ยมของหลิงหลานแตกต่างกับของเขา โล่เจ็ดเหลี่ยมของเขามีประสิทธิภาพในการสกัดกั้นเท่านั้น แต่ไม่มีความสามารถในการสะท้อนกลับ
“เป็นเพราะการบีบตัวเหรอ?” หลิงเซียวดีดนิ้วเบาๆ โล่หนึ่งในนั้นก็หดตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเท่าฝ่ามือแบบเดียวกัน ทว่ามันกลับทำให้ด้านหลังโล่หนาขึ้นหลายเท่า ไม่ได้เกิดเป็นกระจกแบบนั้น “ดูท่าจะไม่ได้มีแค่เหตุผลนี้สินะ”
ถึงแม้ว่าหลิงหลานจะสะท้อนการจู่โจมทางจิตของหลิงเซียวได้ แต่เธอไม่สามารถทรงตัวให้ยืนอย่างมั่นคงได้ เธอทนไม่ไหวต้องถอยหลังติดต่อกันห้าหกก้าวถึงจะกำจัดพลังจากการจู่โจมทางจิตของหลิงเซียวได้หมด ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ เธอยังคงรู้สึกว่าท้องไส้ปั่นป่วนอยากจะอาเจียน พลังของหลิงเซียวแข็งแกร่งมากเกินไป แค่การโจมตีเดียวเธอก็ฝืนรับมือได้ยากมากแล้ว
…………………………