“บัดซบ พวกนายก่อกบฏเหรอ?” หัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นหลิงหลานก็มองไปยังเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยที่อำพรางตัวจนเกือบหมดถอดหมวกลงมา เผยให้เห็นดวงหน้าอ่อนเยาว์มากๆ ของพวกเขา เขาก็รู้แล้วว่าศัตรูเบื้องหน้าคือพวกนักเรียนใหม่ที่ลงทะเบียนไปโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งซึ่งเป็นภารกิจของพวกเขาในครั้งนี้
เขาทั้งอับอายและเดือดดาล พยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถเพื่อให้ได้รับอิสระ ทว่าหัวหน้าทีมสามคนนั้นไม่กล้าปล่อยตัวเขาหากไม่มีคำสั่งของหลิงหลาน พวกเขากดเขาไว้แน่นมาก ทำให้เขาไม่สามารถสลัดหลุดได้เลย
หัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นว่าดิ้นรนไปก็ไม่มีหวังก็พูดขู่ด้วยความโกรธเกรี้ยวว่า “พวกนายไม่อยากเรียนที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแล้วหรือไง? ถ้าไม่มีพวกเรา พวกนายไม่มีทางไปถึงโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งแน่นอน ยังไม่ปล่อยพวกเราไปอีก…”
ความคิดในใจหัวหน้าผู้คุ้มกันในเวลานี้คือนักเรียนใหม่พวกนี้ต้องบ้าไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นพวกเขาถึงได้กระทำเรื่องบ้าระห่ำเช่นนี้ออกมาได้
ตอนนี้เอง ในที่สุดหลิงหลานที่รอคอยผลการสืบค้นของเสี่ยวซื่ออย่างใจเย็นมาตลอดก็ได้ยินเสี่ยวซื่อเอ่ยด้วยเสียงหัวเราะอย่างลำพองใจขึ้นในห้วงสติของเธอว่า “ฮ่าๆ ลูกพี่ ฉันค้นเจอจุดหมายปลายทางของพวกเขาแล้ว พิกัดรายละเอียดอยู่ในมือแล้ว ต่อให้ไม่มีพวกเขา ฉันก็ยังส่งลูกพี่ไปรายงานตัวที่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้”
เสี่ยวซื่อกล่าวจบก็อดไม่ไหวพึมพำออกมาว่า “ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะระมัดระวัง ปกปิดจุดหมายปลายทางที่แท้จริงไว้ลึกขนาดนี้ ทำให้ฉันเสียแรงค้นหา เพราะงั้นถึงได้เสียเวลาไปบ้าง…” ความหมายที่แฝงในคำพูดคือบอกหลิงหลานว่า เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันช้าขนาดนี้ ดูเหมือนว่าเสี่ยวซื่อยังคงกังวลนิดหน่อยว่าลูกพี่ของเขาจะรังเกียจที่เขาทำงานได้ไม่ดี
“หาเจอก็ดีแล้ว!” หลิงหลานปลอบใจเสี่ยวซื่อในห้วงจิตใจ หลังจากนั้นเธอก็วางความสนใจทั้งหมดไว้ในห้องควบคุมหลัก เนื่องจากเธอพบว่าเมื่อสักครู่นี้มีเจ้าหน้าที่หลายคนลอบกดระบบเตือนภัยของอุปกรณ์สื่อสารรวมถึงเสียงกริ่งเตือนศัตรูบุกโจมตีภายในยานบิน….
มุมปากของหลิงหลานเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา เนื่องจากสิ่งที่พวกเขาทำล้วนเสียแรงเปล่า เพราะว่าเธอให้เสี่ยวซื่อล็อคอุปกรณ์สื่อสารของพวกเขารวมถึงระบบของห้องควบคุมหลักเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว พวกเขาไม่สามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้เลย นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมเสี่ยวซื่อค้นหาจุดหมายปลายทางที่แท้จริงของยานบินช้าไปจังหวะหนึ่ง หลิงหลานรู้ดีว่าอะไรคือหัวใจสำคัญที่สุด
ความเป็นจริงทำให้ฝ่ายตรงข้ามตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกอย่างที่คาดไว้จริงๆ พวกเขาพบว่าไม่ว่าตัวเองจะกดปุ่มยังไง ระบบควบคุมในอุปกรณ์สื่อสารกับในห้องควบคุมหลักต่างสูญเสียสมรรถนะไปแล้ว พวกเขาไม่เพียงไม่มีอุปกรณ์สำหรับติดต่อกับข้างนอก ในขณะเดียวกันก็สูญเสียอำนาจในการควบคุมยานบินไปแล้ว ความเป็นจริงนี้ทำให้พวกเขาหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ความเยือกเย็นที่เดิมทียังคงหลงเหลืออยู่หายวับไปทันใด
เจ้าหน้าที่ที่คุ้นเคยกับระบบโปรแกรมต่างเข้าใจว่านี่เป็นเพราะอะไร นี่หมายความว่ามีแฮคเกอร์ชั้นยอดอยู่ในหมู่ฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นถึงได้เจาะระบบและอุปกรณ์สื่อสารของพวกเขาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ในขณะเดียวกันก็ยึดระบบควบคุมหลักของพวกเขา ทำให้พวกเขาสูญเสียการติดต่อสู่โลกภายนอกเช่นกัน
ตอนนี้พวกเขาเหมือนคนใบ้ที่ไม่มีเสียง เหมือนคนตาบอดที่ไม่มีดวงตา เหมือนนกที่ไร้ปีก เหมือนนักโทษที่สูญเสียอิสระ…
“เข้าใจแล้วหรือยัง? ต่อให้ไม่มีพวกคุณ พวกเราก็ยังไปโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเพื่อรายงานตัวได้!” ในเมื่อมีแฮคเกอร์ชั้นยอดอยู่ อีกฝ่ายย่อมหาจุดหมายปลายทางที่แท้จริงเจอได้ หลิงหลานกวาดตามองห้องควบคุมหลักรอบหนึ่งด้วยสายตาเย็นเยียบ ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความหนาวเหน็บจากแววตาคู่นั้น รวมถึงจิตสังหารไร้ที่สิ้นสุดจากข้างในนั้นด้วย
จิตสังหารที่เข้มข้นนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ตรงนี้ทุกคนที่หมายจะช่วงชิงอำนาจในการควบคุมกลับมาอีกครั้งต่างมือไม้แข็งทื่อไปทันที ความหวาดหวั่นพลันผุดขึ้นมาในหัวใจ หรือว่าอีกฝ่ายคิดจะฆ่าพวกเขาจริงๆ? นักเรียนใหม่พวกนี้คือใครกันแน่? ทำไมถึงมีจิตสังหารรุนแรงขนาดนี้?
ไม่ใช่แค่เจ้าหน้าที่ถูกสายตานี้สะกดจนหวาดกลัว กระทั่งเหล่านักเรียนใหม่ที่ถึงแม้จะรู้ว่าสายตานี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา แต่ในใจก็รู้สึกหนาวสะท้านเช่นกัน มือของนักเรียนใหม่หลายคนที่เดิมทีกุมปืนไว้อดสั่นระริกไม่ได้ ทำให้เจ้าหน้าที่หลายคนที่ถูกเล็งเป้าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม กลัวว่านักเรียนใหม่ตรงหน้าจะสูญเสียการควบคุม เหนี่ยวไกปืนลงทำให้เขากลายเป็นผีงงๆ ภายใต้กระบอกปืน….
พอเห็นว่าตอนนี้ทุกคนต่างถูกสายตาสังหารของตัวเองสะกดไว้จนเกรงกลัว หลิงหลานก็รู้สึกพึงพอใจ การทรมานจากการสังหารในมิติการเรียนรู้มาหลายปียังคงมีประสิทธิภาพครบถ้วน ต่อให้ในใจไม่มีจิตสังหาร เธอก็บังคับตัวเองให้ปล่อยจิตสังหารออกมาได้เช่นกัน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถเข้าใจเจตนาที่แท้จริงของพวกเขา
ถูกต้อง หลิงหลานจำเป็นต้องทำแบบนี้ พริบตาที่เธอเข้ามา เจ้าหน้าที่พวกนี้ตระหนักได้ว่าคนที่จี้พวกเขาคือกลุ่มนักเรียนทหารใหม่ ความหวาดกลัวในตอนแรกหายวับไปในพริบตา พวกเขาไม่เชื่อว่านักเรียนทหารใหม่เหล่านี้จะมีความคิดอยากสังหารพวกเขา ดังนั้นในใจจึงไม่มีความพะว้าพะวง กลายเป็นไม่ยี่หระขึ้นมา
นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีคนมากมายอยากกดปุ่มอุปกรณ์สื่อสารและเสียงกริ่งเตือนภัย เพราะพวกเขาไม่คิดว่านักเรียนใหม่จะเหนี่ยวไกปืนยิงเลเซอร์ที่สังหารผู้คนจริงๆ…
หลิงหลานไม่อาจให้ความคิดแบบนี้แพร่ออกไป เมื่อฝ่ายตรงข้ามขัดขืนโดยที่ไม่มีความพะว้าพะวงเลยสักนิดเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนเป็นดุเดือดสุดขีด เมื่อถึงเวลานั้นต่อให้เธอไม่อยากฆ่าคนสักหลายคนก็คงไม่ได้แล้ว แต่หลิงหลานอยากยึดยานบินอย่างสมบูรณ์แบบภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ต้องทำร้ายใครสักคน นี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไมเธอถึงตัดสินใจปล่อยจิตสังหารออกมาทันที
อย่างไรก็ตามเพียงเท่านี้ยังไม่พอ ถึงยังไงก็ไม่เห็นเลือด ทำได้แค่เพียงให้คนเหล่านี้กังวลใจอยู่บ้างเท่านั้น แต่ไม่สามารถทำให้พวกเขาล้มเลิกความคิดต่อต้านทั้งหมด หลิงหลานกวาดสายตามองหนึ่งรอบ สุดท้ายสายตาก็จับจ้องไปที่ตัวหัวหน้าผู้คุ้มกัน
หัวหน้าผู้คุ้มกันไปถึงช่วงกลางของขั้นสูงสุดระดับขัดเกลาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหัวหน้าทีมของนักเรียนห้าหกคนที่เข้าสู่ระดับขัดเกลารุมโจมตี กอปรกับหลินจงชิงอยู่ในช่วงต้นของขั้นสูงสุดระดับขัดเกลาแล้วละก็ พวกเขาได้แต่อาศัยจำนวนคนถึงจะปราบฝ่ายตรงข้ามได้โดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าถ้าหากฝ่ายตรงข้ามเข้าสู่ระดับพลังปราณ เกรงว่าจำเป็นต้องให้หลิงหลานลงมือด้วยตัวเองแล้ว
หัวหน้าผู้คุ้มกันก็เป็นคนที่มีความสามารถแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ทุกคนที่นี่ ถ้าหากสามารถใช้กำลังจัดการอีกฝ่ายได้โดยสิ้นเชิง จะต้องทำให้ความมั่นใจของฝ่ายตรงข้ามพังทลายแน่นอน และก็ไม่มีความคิดขัดขืนผุดขึ้นมาอีก
ความจริงแล้วหลิงหลานสามารถสั่งให้พวกนักเรียนใหม่อัดคนเหล่านี้จนสลบได้ หลังจากนั้นก็ขังพวกเขาไว้ในห้องลับเหมือนกับเจ้าหน้าที่คุ้มกันความปลอดภัยเหล่านั้น สาเหตุที่เธอทำซับซ้อนขนาดนี้ ส่วนใหญ่แล้วก็คือ เธอคิดเพื่อนักเรียนใหม่พวกนี้
จริงๆ แล้วเธอให้เสี่ยวซื่อควบคุมยานบินโดยสมบูรณ์และบินไปที่จุดหมายปลายทางสุดท้ายเลยก็ได้ แต่ว่าวิธีการแบบนี้กลับทำให้นักเรียนใหม่พวกนี้พลาดโอกาสทำความเข้าใจการควบคุมยานบินสักครั้ง ควรรู้ไว้ว่าโอกาสที่จะขึ้นยานบินฝึกปฏิบัติจริงแบบนี้หายากมาก ต่อให้เป็นนักเรียนทหารก็มีแค่ตอนปีสี่เท่านั้นถึงจะมีโอกาสขึ้นยานบินไปฝึกปฏิบัติอย่างแท้จริง ทั้งยังต้องเป็นพวกนักเรียนที่โดดเด่นเหนือใครด้วยนะ
ถ้าหากนักเรียนใหม่พวกนี้สามารถได้รับโอกาสฝึกปฏิบัติจริงในครั้งนี้ละก็ มันย่อมส่งผลดีต่อนักเรียนใหม่อย่างยิ่งยวดโดยไม่ต้องสงสัย…และเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็เป็นอาจารย์แนะแนวที่ดีที่สุด นี่ก็เป็นเหตุผลใหญ่ที่สุดที่หลิงหลานไม่เลือกออกคำสั่งให้อัดพวกเขาจนสลบ
เนื่องจากนักเรียนใหม่เหล่านี้ยินดีติดตามเธอ เชื่อใจเธอ ต่อให้ความคิดของเธอดูบ้าระห่ำขนาดนี้อย่างชัดเจน พวกเขาก็ยังทำโดยไม่ลังเล หลิงหลานเป็นคนที่รู้จักการตอบแทน ในเมื่อพวกเขาปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ เธอก็อยากมอบสิ่งตอบแทนที่คุ้มค่าเล็กน้อยให้กับพวกเขาเช่นกัน
หลิงหลานที่ตกลงใจแล้วก็เดินเข้าไปช้าๆ เธอเดินไปยังจุดที่หัวหน้าผู้คุ้มกันถูกกดให้คุกเข่าลงกับพื้น จากนั้นก็ค่อยๆ ย่อตัวลงจ้องมองหัวหน้าผู้คุ้มกันพลางเอ่ยถามอย่างเย็นชาว่า “คุณไม่ยอมรับความพ่ายแพ้มากๆ เลยใช่ไหม?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ พวกนายชั่วช้ามากเกินไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนายรุมโจมตี พวกนายจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉันได้ยังไง?” หัวหน้าผู้คุ้มกันมีความเชื่อมั่นในตนเองมากอย่างไม่ต้องสงสัย
“ได้ ผมจะให้โอกาสคุณสักครั้ง ถ้าหากคุณสามารถต้านทานผมได้หนึ่งกระบวนท่า ผมก็จะปล่อยพวกคุณทุกคนที่นี่ และก็จะไปสารภาพผิดกับกัปตันของพวกคุณด้วยตัวเองเลย” หลิงหลานลุกขึ้นมาฉับพลัน จากนั้นก็โบกมือให้กับหัวหน้าทีมสามคนที่กดหัวหน้าผู้คุ้มกัน
หัวหน้าทีมสามคนยิ้มแย้มพลางปล่อยมือออก แววตาของหัวหน้าผู้คุ้มกันเผยความประหลาดใจแกมยินดีออกมาแวบหนึ่ง เขารีบลุกขึ้นมาเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องกระบวนท่าเดียว ฉันรับได้ร้อยกระบวนท่าเลย” เขายังคงหยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่อยากเอาเปรียบหลิงหลานมากนัก
อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขากลับทำให้นักเรียนใหม่หลายคนหัวเราะขึ้นมา ขบขันต่อความไม่เจียมตนของอีกฝ่าย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้เห็นหลิงหลานลงมือมาสามปี แต่ว่าสามปีก่อนหลิงหลานก็เป็นยอดฝีมือขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณแล้ว เขาย่อมจัดการคนที่อยู่ขั้นสูงสุดของระดับขัดเกลาได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาเชื่อว่าต่อให้ตอนนี้ร่างกายของหลิงหลานยังไม่สามารถฟื้นฟูได้หมด แต่เขายังไม่มีปัญหาในการเอาชนะศัตรูในกระบวนท่าเดียว
หัวหน้าผู้คุ้มกันเห็นในหมู่นักเรียนใหม่หลายคนส่งเสียงหัวเราะออกมา หัวใจก็กระตุก หรือว่าหัวหน้าของพวกเขาจะเป็นยอดฝีมือระดับสุดยอด? เขามองไปที่ดวงหน้าอ่อนเยาว์ของหลิงหลานแวบหนึ่งก่อนจะสลัดความลังเลในใจออกไป เพราะว่าคิดจะเอาชนะเขาในกระบวนท่าเดียว ความสามารถจะต้องไปถึงขั้นสูงสุดของระดับพลังปราณ แต่ฝ่ายตรงข้ามยังหนุ่มขนาดนี้ จะไปถึงระดับนี้ได้เหรอ?
ถึงแม้ว่าในห้องอาจจะมีนักเรียนหนึ่งคนที่อยู่ระดับพลังปราณจริงๆ แต่ถึงยังไงก็เป็นระดับต้น หัวหน้าผู้คุ้มกันเชื่อว่าเขาสามารถรับมืออีกฝ่ายได้ห้าสิบหกสิบกระบวนท่าโดยไม่มีปัญหาแน่นอน…
ถึงแม้หัวหน้าผู้คุ้มกันไม่คิดว่าหลิงหลานมีความสามารถเอาชนะเขาได้ในกระบวนท่าเดียว แต่ท่าทีของนักเรียนทหารใหม่ทำให้เขาจำเป็นต้องระมัดระวังตัวขึ้นมา ตั้งท่าป้องกันรอคอยการโจมตีของหลิงหลานด้วยความจริงจัง ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยินดีประลองอย่างยุติธรรม เขาก็ยินดีเช่นกัน
หลิงหลานพูดชัดเจนมากว่า ถ้าเกิดเขาสามารถต้านทานอีกฝ่ายได้หนึ่งกระบวนท่า ก็หมายความว่าอีกฝ่ายโจมตี ส่วนเขาป้องกัน เขาไม่คิดจะฝ่าฝืนข้อตกลง
หลิงหลานมองหัวหน้าผู้คุ้มกันอย่างเฉยชาแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ปล่อยพลังออกจากทั่วทั้งร่าง แรงกดดันไร้รูปปกคลุมภายในห้องควบคุมหลักทันใด
“ระดับพลังปราณ!” หัวหน้าผู้คุ้มกันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันนี้ก็เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป การป้องกันเจ็ดส่วนในตอนแรกของเขาเพิ่มขึ้นมาเป็นสิบสองชั้นทันที พูดได้ว่าเขานำพลังทั้งหมดมาไว้ในการป้องกัน
“พอแค่นี้ละกัน!” หลิงหลานยื่นนิ้วมือข้างหนึ่งออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ก่อนจะแตะไปที่อีกฝ่ายเบาๆ ท่าทีสบประมาทนี้แทบจะทำให้หัวหน้าผู้คุ้มกันกระอักเลือด แต่เขายังไม่ทันได้โกรธก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันไร้ที่สิ้นสุดส่งมาจากนิ้วมือของหลิงหลาน
“ระดับสูงสุดของพลังปราณ ไม่สิ นี่น่าจะเป็นระดับพลังปราณสมบูรณ์แบบ นี่มันเป็นไปได้ยังไง?” หัวหน้าผู้คุ้มกันหน้าถอดสีด้วยความตื่นตระหนก เขารีบไขว้มือทั้งสองข้างไว้ต้านทานอยู่บนแนววิถีที่หลิงหลานยื่นเข้ามาอย่างเหี้ยมหาญ
เสียง ‘ปัง!’ ดังสนั่น ทุกคนในห้องควบคุมหลักถูกพลังปราณไร้รูปผลักออกไปพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย สถานการณ์สับสนวุ่นวายขึ้นมา
ร่างของหัวหน้าผู้คุ้มกันกระเด็นออกไปก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพงยานบินอย่างรุนแรงอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็ตกลงมาอย่างหนักหน่วง เลือดในปากไหลออกมาไม่หยุดแล้วก็เห็นหัวหน้าผู้คุ้มกันตาเหลือก ไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ กำแพงยานบินที่เลื่องชื่อว่าแข็งแกร่งทนทานอย่างหาใดเปรียบถูกอัดกระแทกอย่างแรงจนเป็นร่างคน ฉากนี้ทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนหวาดหวั่นพรั่นพรึงอย่างยิ่งยวด กลัวจนตัวสั่น หัวหน้าของนักเรียนใหม่คนนี้แข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่? หรือว่าเขาอยู่ระดับของกัปตันแล้ว?