พลตรีจิ่งเริ่นเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ทุกครั้งที่นายผ่านที่นี่ นายไม่เคยลงมาหาฉันเลย”
“นายเองก็รู้ว่า ฉันกับเทียนฟางต้องมีสักคนอยู่เฝ้าแตรที่เจ็ด” พันตรีลั่วหย่างยิ้มฝืดเฝื่อน
“ตอนนั้นไม่ควรให้นายติดตามเทียนฟางเลย ถ้าติดตามฉันมา ตอนนี้นายน่าจะเป็นพันเอกไปแล้ว” พลตรีจิ่งเริ่นเหลือบมองเทียนฟางด้วยสายตาเย็นเยียบ ราวกับตำหนิเทียนฟางว่าเขาถ่วงอนาคตของพันตรีลั่วหย่าง
พันเอกเทียนฟางได้แต่ขยี้จมูกไม่กล้าเอ่ยปากส่งเสียง ตอนนั้นเขารั้งลั่วหย่างไว้จริงๆ ให้ลั่วหย่างช่วยเขา เพราะเขารู้ว่านิสัยหุนหันตรงไปตรงมาของเขาไม่สามารถจัดการเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นได้ จำเป็นต้องหาเพื่อนสนิทที่ไว้ใจได้สักคนมาช่วยเขา และลั่วหย่างคือตัวเลือกเดียวของเขา
“แต่ทำไมคราวนี้ถึงลงมาได้ล่ะ?” จิ่งเริ่นถามด้วยความสงสัย
“เพราะว่าแตรที่เจ็ดกำลังรีเซตระบบอยู่ ฉันอยู่ตรงนั้นไปก็ทำอะไรไม่ได้” ลั่วหย่างตอบ
“รีเซต?” จิ่งเริ่นหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” นอกเสียจากเกิดเรื่องใหญ่หรือว่าระบบล่มแล้วละก็ ไม่มีความจำเป็นต้องรีเซตระบบเลย ดูท่าแตรที่เจ็ดคงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาจริงๆ
ลั่วหย่างกับเทียนฟางสบตากันเองแวบหนึ่งแล้วยิ้มเจื่อนขึ้นมา สุดท้ายยังคงเป็นลั่วหย่างที่ตอบว่า “อันที่จริงเรื่องนี้จะว่าใหญ่ก็ใหญ่จะว่าเล็กก็เล็ก ยานบินของพวกเราถูกนักเรียนทหารใหม่เข้าควบคุมน่ะ”
“ควบคุมส่วนบุคคล?” จิ่งเริ่นเห็นทั้งสองคนทำหน้ายิ้มเจื่อนๆ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปยกใหญ่ “หรือว่าอำนาจควบคุมยานบินถูกสับเปลี่ยน?”
เทียนฟางเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืดเฝื่อนว่า “ใช่เลย!” ถ้าไม่ใช่เพราะสาเหตุนี้ ใครจะควบคุมยอดฝีมือระดับเขตแดนอย่างเขาได้
ผ่านไปพักใหญ่ สีหน้าสับสนของจิ่งเริ่นค่อยกลับคืนเป็นปกตินิดหน่อย เขาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้จะให้กองทัพรู้ไม่ได้เป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นพวกนายสองคนจะโดนลงโทษ ถึงขนาดที่โชคร้ายถูกส่งขึ้นศาลทหารได้เลยนะ”
“นักเรียนทหารเยอะขนาดนั้น อาจจะคุมเรื่องนี้ไว้ไม่อยู่” ลั่วหย่างกล่าว “แต่ขอเพียงมีคนๆ นึงยินดีลงมือจัดการ พวกเราก็จะไม่เป็นไร”
จิ่งเริ่นได้ยินคำพูด สีหน้าก็กระตุก “หมายความว่ายังไง?”
“ขอเพียงนายพลหลิงเซียวยินดีจัดการเรื่องนี้…”
“นายพลหลิงเซียว!” จิ่งเริ่นตะโกนขึ้นมา “นี่จะเป็นไปได้ยังไง? เขามีเหตุผลอะไรถึงลงมือช่วยเหลือพวกเรา?”
“เพราะว่าผู้นำนักเรียนทหารใหม่ในการยึดแตรที่เจ็ดก็คือลูกชายของนายพลหลิงเซียวไงล่ะ พวกเราไม่ไปให้เขาจัดการ แล้วจะไปหาใคร?” พันเอกเทียนฟางทิ้งระเบิดหนึ่งลูกทันที
“ว่าไงนะ? นายพลหลิงเซียวมีลูกชายแล้ว?” จิ่งเริ่นไม่อยากจะเชื่อ เขาเอามือซ้ายกุมหน้าผากตัวเองไว้ และก็โบกมือขวาพูดว่า “แปบนะ ให้ฉันจัดการความคิดก่อน ข้อมูลนี้ใหญ่ไปหน่อย ซีพียูของสมองฉันจัดการไม่ไหวแล้ว”
ในที่สุดพลตรีจิ่งเริ่นก็กลับมาใจเย็นลง เขาครุ่นคิดสักพัก คนที่สามารถลงมือและยินดีลงมือช่วยเหลือพวกเขาก็มีแค่นายพลหลิงเซียวเท่านั้นจริงๆ อย่างไรก็ตาม พลตรีจิ่งเริ่นยังเอ่ยด้วยความกังวลนิดหน่อยว่า “นายพลหลิงเซียวจะสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้เพื่อลูกชายของเขาเหรอ?”
พันเอกเทียนฟางกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “หลิงหลานเคยบอกฉันเป็นนัยๆ ก่อนออกเดินทางว่าให้ฉันไปหานายพลหลิงเซียว!”
“หลิงหลานคือลูกชายของนายพลหลิงเซียว? หรือว่าเขาคิดถึงผลลัพธ์เอาไว้แล้ว?” ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เด็กหนุ่มที่ชื่อหลิงหลานคนนี้ก็ไม่ใช่ธรรมดาเลย แววตาของจิ่งเริ่นพลันส่องประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง
“ไม่ว่าจะเป็นความสามารถหรือว่าการวางแผนต่างยอดเยี่ยมมาก มีความเป็นไปได้สูงว่าความสำเร็จในอนาคตไม่ด้อยไปกว่านายพลหลิงเซียวเลย” ลั่วหย่างชื่นชมหลิงหลานอย่างยิ่งยวด คิดว่าอนาคตของเขาไร้ขีดจำกัด
“เด็กนั่นใจกล้า จิตใจก็โหดเหี้ยมไม่ว่ากับตัวเองหรือว่ากับเพื่อน ทำให้ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อย…” พันเอกเทียนฟางลูบคางตัวเองด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันกังวลมากๆ ว่าเขาจะไปสุดขั้วเลยน่ะสิ”
พันเอกเทียนฟางกลับมีความเห็นไม่เหมือนกัน เขากลัวว่าหลังจากที่หลิงหลานประสบความสำเร็จในครั้งนี้จะไม่มีความเกรงกลัวมากกว่าเดิม ถ้าเกิดเขาเจอคนที่โหดเหี้ยมกว่าเขาขึ้นมา มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะพ่ายแพ้ยับเยิน
“เขาเพิ่งจะอายุสิบหกเองนะ” ลั่วหย่างเตือนเทียนฟาง “อนาคตยังมีความเป็นไปได้มากมาย พวกเราจะตัดสินเขาตอนนี้ไม่ได้!”
เทียนฟางเงียบไป แต่ความกังวลไม่ได้หายไปจนหมด ทุกด้านของหลิงหลานโดดเด่นเหนือใครจนไปถึงขั้นอัจฉริยะระดับปีศาจจริงๆ แต่ว่ายิ่งเป็นอัจฉิรยะ เมื่อเดินไปผิดทาง ผลลัพธ์ที่เกิดก็จะย่ำแย่มากกว่าคนทั่วไปเช่นกัน
“เฮ้ นายกำลังกังวลอะไรอยู่? เขาเป็นลูกชายของนายพลหลิงเซียวไม่ใช่เหรอ?” จิ่งเริ่นเตือนเทียนฟาง มีหลิงเซียวที่เป็นต้นไม้ใหญ่ปกป้องอยู่ก็ไม่จำเป็นต้องตีตนไปก่อนไข้
เทียนฟางพลันตระหนักขึ้นมาได้ก่อนจะเผลอหัวเราะขึ้นมาทันที รู้สึกเครียดขึ้นมาในใจเล็กน้อย ไม่นึกเลยว่าความประทับใจที่หลิงหลานมอบให้เขาจะสลักลึกจนทำให้เขาลืมนายพลหลิงเซียวไปเลย นี่เป็นเพราะความหวาดกลัวต่อตัวตนของอีกฝ่ายมากจึงกดเรื่องไอดอลของเขาไว้…
………….
เวลานี้พวกหลิงหลานเดินอย่างยิ่งใหญ่เข้าไปยังจุดที่จัดเตรียมอาหารหรือว่าพักผ่อนให้กับพวกนักเรียนโดยเฉพาะ ซึ่งก็คือห้องอาหารของป้อมปราการนี่เอง เจ้าหน้าที่นำทางแจ้งพวกเขาว่า พวกเขาจะขึ้นยานบินลำใหม่เพื่อไปยังเส้นทางใหม่ตอนห้าโมงเย็น
“ลูกพี่หลาน ที่นี่เป็นสถานีส่งต่อตามที่นายคาดไว้จริงๆ” หานจี้จวินพูดเสียงเบา นับตั้งแต่ที่หลิงหลานรู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่นี่ เธอก็คาดการณ์ว่านี่อาจจะเป็นสถานีส่งต่อ ตอนนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าการคาดการณ์ของหลิงหลานถูกต้อง
ห้องอาหารพลันอัดไปด้วยคนมหาศาลเช่นนี้เอง เครื่องแบบที่พวกเขาสวมไม่ใช่เครื่องแบบทหารของสหพันธรัฐ ก็รู้ว่าคนเหล่านี้คือนักเรียนทหารใหม่ เพียงแต่ใบหน้าของนักเรียนทหารกลุ่มนี้แต่ละคนต่างยิ้มแย้มดูผ่อนคลาย ตอนที่เข้ามาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ดูสงบเงียบ มีคนไม่น้อยกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุข ดูคึกคักอย่างยิ่ง
นักเรียนใหม่คนอื่นๆ ในห้องอาหารพลันเพ่งความสนใจรวมมาที่ตัวพวกเขาก่อนจะพากันคาดเดาว่าคนเหล่านี้มาจากดาวดวงไหน
กลุ่มนักเรียนใหม่ประมาณสิบคนบนโต๊ะกลมตัวหนึ่งในมุมห้องอาหารกำลังจ้องมองพวกเขา หนึ่งในนั้นมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูสุภาพเรียบร้อยกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่
“โจวย่า? นายสังเกตเห็นอะไรเหรอ?” เด็กหนุ่มที่มีสีหน้าเนือยๆ ข้างกายเห็นเพื่อนทำหน้าจริงจังก็เอ่ยปากถาม
เด็กหนุ่มถูกเรียกสติขึ้นมาฉับพลัน เขาแอบขมวดคิ้วกล่าวว่า “หวังฮุย คนกลุ่มนี้ไม่ธรรมดามากๆ ถ้าไม่มีเรื่องอะไร พวกเราก็อย่าไปยั่วโมโหพวกเขานะ” โจวย่าปรายตามองเพื่อนข้างกายแวบหนึ่งและเอ่ยปากเตือน
“เอ๊ะ?” หวังฮุยไม่ได้ฟังคำเตือนของเพื่อนเข้าหูนัก สีหน้าของเขาดูไม่เห็นด้วยอย่างมาก
“คนพวกนี้ไม่ได้แยกกัน แต่เลือกนั่งด้วยกัน นี่ก็หมายความว่าในหมู่พวกเขาต้องมีเสาหลักอยู่ หรือว่าผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถยอดเยี่ยมจนทำให้พวกเขานับถือ…พวกเราเพิ่งเข้าโรงเรียนทหาร อย่าล่วงเกินพวกเขาตามใจชอบถ้ายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย” โจวย่าไม่คิดว่าพวกเขาสิบคนสามารถต้านทานคนหลายร้อยนี้ได้ ต่อให้พวกเขาแต่ละคนจะมีความสามารถโดดเด่นก็ยากจะต้านทานกำปั้นของผู้คนมากมายได้
ตอนนี้เอง เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไปสืบข้อมูลด้านนอกได้เดินกลับเข้ามาก่อนจะเขยิบเข้าไปบอกที่มาของอีกฝ่ายตรงข้างหูหวังฮุย สีหน้าของหวังฮุยที่เดิมทีดูสำรวมเล็กน้อยเนื่องจากคำพูดของโจวย่าได้ผ่อนคลายลงอีกครั้ง เขากล่าวอย่างดูถูกว่า “ที่แท้ก็มาจากโดฮา ต่อให้จำนวนคนเยอะอีกแค่ไหนจะไปมีประโยชน์อะไร? หลายปีมานี้พวกเขาปรากฏคนแบบไหนออกมา? ไม่ใช่ว่าถูกกาแล็กซีอู๋จี๋ของเรากดไว้ด้านล่าง ขยับไม่ได้ติดต่อกันสามปีเหรอ?”
“ถึงแม้ว่าหลายปีมานี้โดฮาจะไม่มีคนที่โดดเด่นเหนือใครปรากฏตัวออกมา แต่ถึงยังไงที่นั่นก็เป็นแหล่งรวบรวมอัจฉริยะด้านต่างๆ ของสหพันธรัฐ พวกเราจะดูถูกพวกเขาไม่ได้หรอกนะ” โจวย่าเป็นคนระมัดระวังรอบคอบอย่างไม่ต้องสงสัย เขาไม่เห็นด้วยกับการล่วงเกินฝ่ายตรงข้ามตามใจชอบโดยที่ยังไม่รู้ตื้นลึกหน้าบางของอีกฝ่าย
“ก็ได้ ฉันไม่เถียงกับนายแล้ว ขอเพียงฝ่ายตรงข้ามไม่ยั่วโมโหพวกเรา ฉันจะไม่ลงมือก่อนแน่นอน” หวังฮุยยกมือยอมแพ้เนื่องจากโจวย่าเอ่ยเตือนหลายครั้ง เขาเปลี่ยนหัวข้อพูดว่า “โจวย่า นายไม่รู้สึกว่าสีหน้าของพวกเขาแตกต่างจากนักเรียนใหม่ของดาวอื่นๆ อยู่บ้างเหรอ? เหมือนกับว่าพวกเขาไม่ได้โดนทารุณอะไรเลย พวกเขาไม่ได้โดนเจ้าหน้าที่ของยานบินกลั่นแกล้งเลยหรือไง?”
ควรรู้เอาไว้ว่าพวกเขาโดนคนของยานบินรังแกนับครั้งไม่ถ้วนตลอดทางที่มานี้ ถึงแม้ว่าตอนแรกพวกเขาจะตอบโต้ แต่จำนวนคนฝ่ายตรงข้ามยิ่งเยอะ ความสามารถยิ่งแข็งแกร่ง พวกเขาจึงจำเป็นต้องก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้ ทว่าบางทีความสามารถของพวกเขาสิบคนอาจจะเหนือกว่าคนอื่นเล็กน้อย สุดท้ายลูกเรือเหล่านั้นก็จงใจปล่อยพวกเขาไป ทำให้พวกเขาไม่ได้ถูกรังแกจนแทบหมดความมั่นใจเหมือนกับพวกนักเรียนใหม่คนอื่นๆ
โจวย่าเองก็มีข้อสงสัยนี้ในใจเช่นกัน “นี่ก็เป็นเรื่องที่ฉันอยากรู้เหมือนกัน” ทำไมพวกเขายังรักษาความมั่นใจและความทระนงตนของวัยเยาว์ตัวเองได้อีกล่ะ หลังจากที่พวกเขาผ่านการเดินทางนี้มา ต่อให้เป็นหวังฮุยที่เย่อหยิ่งมาโดยตลอดก็ยังเจียมเนื้อเจียมตัวกว่าแต่ก่อนมาก รู้จักการมองสีหน้าคน
โจวย่าพึมพำกับตัวเองว่า “หลังจากนี้พวกเราต้องเดินทางไปกับพวกเขา พวกเราต้องหาความลับนี้เจอแน่นอน”
คนในห้องอาหารยังไม่ถือว่ามาก พวกหลิงหลานหาสถานที่ค่อนข้างโล่งๆ ได้ง่ายมากก่อนจะนั่งลงไป ทีมหลิงหลาน ทีมอู๋จย่งรวมถึงทีมหลี่อิงเจี๋ยต่างยึดโต๊ะกลมไว้ตามปกติ ส่วนทีมอื่นๆ ก็ทยอยกันล้อมรอบทีมของพวกเขาสามคนจนแผ่ขยาย ออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นับตั้งแต่ที่พวกนักเรียนที่เดิมทีไม่ได้มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือรู้ว่าพวกเขายึดยานบินได้ ทำให้พวกเขาได้รับโอกาสในการเรียนรู้ พวกเขาก็ไม่อยากแยกจากกลุ่มที่มีความสามารถแข็งแกร่งตรงหน้านี้แล้ว
นักเรียนที่สามารถสอบเข้าโรงเรียนทหารได้ต่างเป็นคนเฉลียวฉลาด รู้ว่าตัวเลือกนั้นดีกับพวกเขามากกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงทำตามนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เลือกนั่งลงตรงที่นั่งใกล้กับพวกเขา การกระทำที่รวมกลุ่มกันอย่างชัดเจนแบบนี้ยิ่งทำให้คนอื่นๆ ระมัดระวังตัวขึ้นมา
มีเด็กหนุ่มหลายคนที่อยู่ใกล้ทางฝั่งหลิงหลานถึงขนาดออกจากตำแหน่งเดิมแล้วเลือกนั่งลงตรงตำแหน่งที่ค่อนข้างห่างจากพวกเขา
เวลานี้เอง อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยเดินเข้าไปทักทายหลิงหลานว่า “ลูกพี่หลาน มีเรื่องอยากปรึกษานายหน่อย”
หลิงหลานส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนนั่งลง
หลี่อิงเจี๋ยปรายตามองพวกนักเรียนใหม่ที่จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชาแฝงไปด้วยความเป็นอริอยู่รางๆ ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะหยันว่า “ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ต้อนรับพวกเรานะ”
อู่จย่งเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “การเข้ามาของพวกเราดูหยิ่งผยองมากเกินไปหรือเปล่า?”
หลิงหลานครุ่นคิดแล้วก็พยักหน้ากล่าวว่า “นิดหน่อย! ฉันคิดว่าคนที่เกลียดพวกเราจะมากขึ้นตามการเพิ่มขึ้นของนักเรียนใหม่ด้วย”
หลี่อิงเจี๋ยกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่พอเขาเห็นว่ามีคนสิบกว่าคนกำลังก่อกวนนักเรียนจากโดฮาที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะรอบนอกสุด เขาก็ขมวดคิ้วพูดว่า “มีคนคิดจะหาเรื่องพวกเรา?”
อู่จย่งเองก็เห็นเช่นกัน “ไม่ใช่นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือเรา เป็นนักเรียนใหม่ของสถาบันอื่นในโดฮา”
“ต้องลงมือไหม?” ฉีหลงมองไปทางหลิงหลาน ต่อให้คนเหล่านั้นไม่ใช่นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือพวกเขา แต่ก็มาจากโดฮาเหมือนกัน เป็นเพื่อนร่วมดาวเดียวกัน ฉีหลงไม่อยากเห็นพวกเขาถูกรังแก
“เรื่องนี้ให้หลี่อิงเจี๋ยจัดการ” คำพูดของหลิงหลานทำให้หลายคนหันหน้ามองดูเธอด้วยความตกตะลึง
“เพราะอะไร?” หลี่อิงเจี๋ยพูดด้วยใบหน้าที่แสดงความไม่พอใจออกมา เขาแม่งไม่ใช่ลูกน้องของหลิงหลานนะ มีสิทธิ์อะไรมาสั่งเขา?