“เดิมทีพวกเราก็เป็นกลุ่มเดียวกันในสายตาพวกเขา หรือว่านายอยากแยกจากพวกเราล่ะ?” หลิงหลานทอดมองหลี่อิงเจี๋ยอย่างเย็นชา สายตาเย็นเยียบคมกริบทำให้ความรู้สึกไม่พอใจแต่เดิมของหลี่อิงเจี๋ยหายวับไปทันที อย่างไรก็ตาม เขาเอ่ยพลางเหลือบมองฉีหลงอย่างไม่พอใจว่า “ความสามารถของฉีหลงแข็งแกร่งกว่าฉันอีก ให้เขาออกหน้าไม่ดีกว่าเหรอ?”
นิ้วมือเรียวยาวของหลิงหลานบีบคางของฉีหลงฉับพลัน ให้หลี่อิงเจี๋ยดูใบหน้ายิ้มซื่อๆ เล็กน้อยของฉีหลงให้ดี เธอเอ่ยถามเรียบๆ ว่า “นายคิดว่าใบหน้านี้เป็นใบหน้าที่ดูเผด็จการไร้เหตุผลอวดดีรังแกคนอื่นไหมล่ะ?”
หลี่อิงเจี๋ยสำลัก พอเห็นฉีหลงที่ยิ้มเซ่อซ่าให้เขา ขอบตาก็กระตุกขึ้นมาทันที หน้าของฉีหลงติดป้ายไว้ตรงๆ ว่าฉันเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันเป็นคนดีมาก ให้เขาออกหน้า อย่าว่าแต่กดดันฝ่ายตรงข้ามเลย เขาย่อมทำให้ความจองหองของอีกฝ่ายเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน ต่อให้เอาชนะอีกฝ่ายได้แล้วก็ยังทำให้ฝ่ายตรงข้ามสงสัยว่าตัวเองประมาทเลินเล่อไปหรือเปล่า ไม่มีอำนาจสยบเลยสักนิดเดียว…
ก็เหมือนกับความรู้สึกในตอนแรกที่เขาพ่ายแพ้ให้กับฉีหลง เขาไม่มีทางยอมรับตลอดกาล คิดว่าตัวเองแค่ประมาท.. ไม่สิ จนกระทั่งถึงตอนนี้เขายังคงไม่ยอมรับอีกฝ่ายเลย ถึงแม้เขารู้ดีว่าความสามารถของฉีหลงแข็งแกร่งกว่าเขานิดหน่อยจริงๆ แต่ภายในใจกลับไม่สามารถเคารพนับถือฉีหลงได้
หลี่อิงเจี๋ยเหลือบมองหลิงหลานแวบหนึ่งตามจิตใต้สำนึก จากนั้นก็มองฉีหลงที่กำลังยิ้มโง่ๆ อีกครั้ง ทันใดนั้นเขาพลันเข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมรับฉีหลง เพราะว่าฉีหลงขาดกลิ่นอายทรงอำนาจที่สามารถทำลายสวรรค์เหมือนที่อยู่บนตัวของหลิงหลาน! ถึงแม้ว่าตอนนี้ลูกพี่หลานจะเก็บงำพวกกลิ่นอายทรงอำนาจไว้อย่างหมดจด แต่เมื่อต่อสู้กับเขา กลิ่นอายทรงพลังนั้นจะทำให้เขาหวาดกลัวจนตัวสั่น ความหวาดกลัวเช่นนี้ค่อยๆ ซึมลึกเข้าไปในไขกระดูกตามกาลเวลา ทำให้เขาเกิดความคิดต่อต้านขึ้นมาไม่ได้อีก
“กลุ่มของพวกเราไม่สามารถมีแค่ภาพลักษณ์เดียวต่อคนภายนอก เรื่องที่สุภาพอ่อนโยนเป็นมิตรใช้เหตุผลนี้ก็ให้ฉีหลงจัดการได้” หลิงหลานปล่อยคางฉีหลงแล้วดึงมือขวาของตัวเองกลับมา
ลั่วล่างที่นั่งข้างหลิงหลานดึงทิชชู่เปียกออกมาจากในกระเป๋าเป้ด้วยสีหน้ารังเกียจก่อนจะประคองมือขวาของหลิงหลานขึ้นมาแล้วเช็ดนิ้วมือที่เรียวยาวดั่งหยกของหลิงหลานอย่างบรรจงและระมัดระวัง เอาเถอะ เขาคิดว่าหน้าใหญ่ๆ มันเยิ้มของฉีหลงทำให้มือล้ำค่าที่ขาวเนียนสวยงามของหลิงหลานแปดเปื้อนมากเกินไป เขาจำเป็นต้องบริการลูกพี่ของเขาให้ดี
ฉากนี้ทำให้หน้าผากของฉีหลงผุดขีดดำขึ้นมา เชี่ย นี่เห็นเขาเป็นตัวเชื้อโรคหรือไง?
เส้นเลือดดำตรงสองข้างหน้าผากของหลิงหลานซึ่งเป็นหนึ่งในคนที่เกี่ยวข้องกระตุกขึ้นมาฉับพลัน แต่เมื่อมองดวงหน้าน้อยๆ ที่เอาจริงเอาจังของลั่วล่าง หลิงหลานก็ตัดสินใจมองข้ามไป ปล่อยให้เขาทำตามที่ต้องการ ถึงยังไงก็แค่อุทิศมือขวาของตัวเองให้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่ได้สูญเสียอะไร อย่างน้อยที่สุดก็มั่นใจในความสะอาด ไม่จำเป็นต้องล้างมือเพิ่มอีก
หลิงหลานเมินสายตาชำเลืองมองของคนอื่นๆ แล้วกล่าวต่อว่า “ความหยิ่งยโสก็สำคัญเหมือนกัน มันสามารถสยบพวกตัวเล็กๆ บางคนได้ ให้พวกเขาไม่กล้าล่วงเกินพวกเราง่ายๆ พวกเรายังต้องแสดงอำนาจบาตรใหญ่ลงมือ บางครั้งลงมือตรงๆ จะมีประสิทธิภาพมากกว่าโต้เถียงกับคนนะ” หลิงหลานบอกความคิดของเธอออกมา หากต้องการใช้ชีวิตดีๆ ในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง การประนีประนอมกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรมไม่ใช่วิธีการที่ดี
อู๋จย่งพยักหน้าอย่างครุ่นคิด หานจี้จวินอึ้งไป หลังจากนั้นก็เหมือนกับว่าหน้าต่างถูกเปิดออก แววตาของเขาโชนแสงมากขึ้นเรื่อยๆ ความหมายของลูกพี่หลานคือใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง? ให้ความสำคัญกับทั้งสองวิธี?
“แต่ทำไมต้องให้ฉันออกหน้าด้วยล่ะ?” หลี่อิงเจี๋ยยังคงไม่เข้าใจการตัดสินใจของหลิงหลาน ถึงฉีหลงจะไม่เหมาะ แต่ไม่ใช่ว่ายังมีอู่จย่งหรอกเหรอ?”
หลิงหลานกวาดตามองเขาแวบหนึ่ง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ “ลูกผู้ดีมีเงินที่หยิ่งยโสอวดดีไม่ใช่ธาตุแท้ของนายเหรอ?”
คำพูดนี้ของหลิงหลานทำให้อู่จย่ง ฉีหลงและคนอื่นๆ อดหัวเราะพรวดขึ้นมาไม่ได้ สมาชิกทีมคนอื่นๆ ที่นั่งใกล้ที่นั่งของพวกหลิงหลาน รวมไปถึงทีมของหลี่อิงเจี๋ยต่างลอบหัวเราะขึ้นมา พวกเขานึกถึงพวกท่าทีหยิ่งจองหองตอนที่หลี่อิงเจี๋ยเพิ่งเข้าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ เป็นลูกผู้ดีมีเงินของตระกูลสูงศักดิ์ที่บ้าระห่ำอวดดีทำให้ผู้คนรังเกียจเหมือนกับที่ลูกพี่หลานพูดไว้จริงๆ
คำพูดของหลิงหลานทำให้ทั่วทั้งใบหน้าของหลี่อิงเจี๋ยดำทะมึนลง เนื่องจากเขาเองก็นึกถึงท่าทีที่ไม่อาจทนดูได้ตอนที่ยังเด็กไม่ประสีประสา มันเป็นจุดด่างพร้อยชั่วชีวิตของเขาเลย
หลิงหลานรู้สึกว่าเธอไม่อาจรังแกลูกผู้ดีมีเงินที่ดูน่ารังเกียจแต่ความจริงแล้วกลับเป็นเพียงอุเคะ[1]ซึนเดเระที่เย่อหยิ่งจองหองคนนี้ได้อีกต่อไป เธอเลยตบบ่าหลี่อิงเจี๋ยพูดว่า “อันที่จริงพวกเราไม่เหมาะที่จะทำเรื่องแบบนี้เลย ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง ฐานะทางครอบครัว เบื้องหลังพวกเราไม่ได้หนาเท่านายเลย (หลิงหลานลอบไขว้นิ้วที่ด้านหลังตัวเอง) ดังนั้นก็เลยมีแค่นายเท่านั้นที่เหมาะสมกับการทำเรื่องแบบนี้ นายทำได้เหมือนสุดแล้ว”
“ก็เหมือนอู่จย่ง หน้าตาดูมีคุณธรรม เห็นแวบแรกก็คิดว่าเป็นเด็กที่มาจากในตระกูลทหารที่มีระเบียบวินัยเคร่งครัด นายขอให้เขาไปเป็นทายาทรุ่นสองที่อวดดีไร้เหตุผลได้ไหมล่ะ?” หลิงหลานชี้ไปที่อู่จย่งและถามกลับ
“ใช่แล้ว หลี่อิงเจี๋ย นายมีกลิ่นอายเย่อหยิ่งโดยกำเนิด ใครก็สู้นายไม่ได้ นายเสียสละเพื่อกลุ่มของพวกเราเถอะ” อู่จย่งรู้ดีว่าภาพลักษณ์ในอนาคตของเขาเป็นแบบไหนจากในคำพูดของหลิงหลาน ดังนั้นเขาจึงรีบใช้คำพูดดีๆ หลอกหลี่อิงเจี๋ยทันที เขาเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมาสิบปีย่อมรู้นิสัยของหลี่อิงเจี๋ยดีว่าชอบฟังคำพูดเพราะๆ
คำพูดของอู่จย่งทำให้หลี่อิงเจี๋ยอารมณ์ดีขึ้นมากอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเห็นพวกฉีหลงที่อยู่โต๊ะเดียวกันทำหน้าขอร้อง เขาก็วู่วามพูดด้วยท่าทีซึนเดเระว่า “เห็นพวกนายขอร้องขนาดนี้ ฉันก็จะฝืนใจรับภารกิจนี้ละกัน”
หลิงหลานเห็นหลี่อิงเจี๋ยทำท่าทางแบบนี้ก็ไม่อาจมองตรงๆ รีบหันหน้าไปทันที หมอนี่ถูกขายแล้วยังช่วยคนนับเงินอีก ทำไมถึงได้โง่เง่าน่ารักขนาดนี้นะ…
“สู้ๆ นะ!” พวกฉีหลงให้กำลังใจหลี่อิงเจี๋ยอย่างคึกคัก นี่ทำให้หลี่อิงเจี๋ยยิ่งมีท่าทีกระตือรือร้นมากขึ้น “ฉันจะให้พวกนายดูว่าอะไรคือทายาทรุ่นสองที่เย่อหยิ่งจองหอง เรียนรู้กันหน่อยล่ะ”
หลี่อิงเจี๋ยม้วนแขนเสื้อ พูดกับลูกทีมของเขาว่า “ตามฉันมา เราไปสอนบทเรียนดีๆ ให้พวกมันกันเถอะ”
“โอ้ว!” ทีมของหลี่อิงเจี๋ยร้องตะโกนด้วยความฮึกเหิม ส่วนใหญ่แล้วคนที่อยู่ป้วนเปี้ยนกับหลี่อิงเจี๋ยต่างก็เป็นคนประเภทเดียวกัน
พอเห็นหลี่อิงเจี๋ยดูหยิ่งผยองอย่างหาใดเปรียบ หน้าผากของพวกหลิงหลานก็ขึ้นขีดดำร่วมกัน ให้ตายสิ ฟ้าให้กำเนิดหมอนี่มาเป็นตัวร้าย
“หัวหน้า พวกเราควรทำยังไงดี?” มีลูกทีมคนหนึ่งถามหลี่อิงเจี๋ยระหว่างทาง
“ทำยังไง? ไปสั่งสอนพวกมันตรงๆ สักยกไง จะอัดยังไงก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่อย่าทำให้ถึงตาย จำไว้ พวกเราเป็นตัวร้ายผู้ยิ่งใหญ่ที่เย่อหยิ่งอวดดี เห็นใครขัดตาก็อัดมัน!” หลี่อิงเจี๋ยเอ่ยพลางถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง
“ถ้าเกิดมีคนแข็งแกร่งกว่าเราปรากฎตัวขึ้นมาจะทำยังไง?” ในใจลูกทีมยังไม่มั่นใจอยู่บ้าง ควรรู้เอาไว้ว่าฝ่ายตรงข้ามก็เป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งที่มาจากสถาบันต่างๆ ถ้าหากพวกเขาเตะโดนแผ่นเหล็กขึ้นมา อัดอีกฝ่ายไม่ได้ แต่กลับโดนคนอัดแทนล่ะ
“ไม่เห็นเหรอว่ามีคนอยู่ด้านหลังพวกเรา?” หลี่อิงเจี๋ยชี้ไปยังโต๊ะของหลิงหลานที่อยู่ด้านหลัง “นายคิดว่านักเรียนใหม่พวกนี้มีคนที่แข็งแกร่งกว่าลูกพี่หลานได้เหรอ?” ตอนนี้หลี่อิงเจี๋ยใจกล้ามาก ถ้าเกิดเขาจัดการไม่ไหว ด้านหลังก็ยังมีพวกหลิงหลานอยู่ไม่ใช่เหรอ?
ตอนนี้หลี่อิงเจี๋ยเห็นพวกหลิงหลานเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งของเขาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ความจริงแล้วเขาไม่ได้ต่อต้านคำสั่งของหลิงหลานขนาดนั้น เพียงแต่ไม่สบอารมณ์นิดหน่อยที่ตัวเองโดนหลิงหลานสั่งตามใจชอบก็เท่านั้น
หลิงหลานเข้าใจหลี่อิงเจี๋ยดี รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนโอ้อวดชอบวางท่า โดนเฉพาะบทบาทที่ข่มเหงรังแกคนอื่นแบบนี้ยิ่งลงมือได้โดยไม่ต้องคิด ไม่มีความยากเลยแม้แต่น้อย
แต่ตอนนี้เอง ทั้งสองฝ่ายกำลังประจันหน้าโต้เถียงกันตรงโต๊ะที่อยู่รอบนอกสุด
“อู๋หย่ง นายอย่าทำเกินไป” นักเรียนใหม่จากโดฮาคนหนึ่งเหมือนกับรู้จักคนที่เข้ามายั่วโมโห
“อู๋เผย ฉันทำเกินไป? ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นนายจงใจวางแผน ฉันจะต้องเรียนที่สถาบันลูกเสือของดาวตัวหลุนเหรอ?” อู๋หย่งเอ่ยอย่างเย็นชา “ต่อให้เป็นแบบนั้น ฉันก็ยังสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้ นายทำลายฉันไม่ได้หรอก”
“เรื่องในตอนนั้นเป็นการมโนของนายล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับฉันเลย ในเมื่อพวกเราสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้ ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี ทำไมนายยังต้องมาหาเรื่องฉันด้วย” อู๋เผยถามด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“เพราะว่าเมื่อสิบปีก่อนฉันจะอัดนายสักยก แต่นายดันหนีเร็ว ไปโดฮาแล้วไม่เคยกลับมาตลอดสิบปี ไม่นึกเลยว่าในที่สุดวันนี้ก็เจอนายจะได้ชำระหนี้ในตอนนั้นเสียที” อู๋หย่งกล่าว “หักมือขวาหรือว่าขาสองข้างของนายดีล่ะ? ให้นายชิมรสชาติความทรมานของฉันในตอนนั้น”
อู๋เผยเอ่ยเตือนด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “อู๋หย่ง นายอย่าทำเกินไป ที่นี่เป็นคนจากโดฮาทั้งนั้น”
“ฮ่าๆ พวกเขาจะออกหน้าเพื่อนายเหรอ? คนจากสถาบันพวกนายที่สอบเข้าโรงเรียนทหารได้ก็มีแค่นายคนเดียวไม่ใช่เหรอ?” อู๋หย่งรู้เรื่องเกี่ยวกับอู๋เผยเป็นอย่างดี
“จับมัน!” อู๋หย่งพูดกับเพื่อนข้างๆ
ในขณะที่คนเหล่านั้นเตรียมตัวจะจับอู๋เผย เสียงหนึ่งที่ฟังดูเย่อหยิ่งก็ดังขึ้นมาว่า “เหอะ ใครอนุญาตให้นายรังแกคนของฉัน?”
เวลานี้เอง หลี่อิงเจี๋ยพาลูกทีมของเขามาตรงเบื้องหน้าพวกเขา หลี่อิงเจี๋ยเชิดคางอย่างหยิ่งยโส ปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าดูถูก สีหน้าที่ไม่แยแสฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจนแบบนี้ทำให้โทสะบนใบหน้าพวกอู๋หย่งพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
“เขาไม่ใช่คนของสถาบันพวกนายสักหน่อย” อู๋หย่งฝืนข่มกลั้นโทสะในใจ เตือนหลี่อิงเจี๋ยอย่างเย็นชาว่าอย่าออกหน้าส่งเดช
“เหอะ! ไม่มีคนบอกนายหรือไงว่า คนของโดฮาเป็นคนในความคุ้มครองของฉัน?” คำพูดนี้ของหลี่อิงเจี๋ยฟังดูโอหัง แต่กลับได้รับเสียงตอบรับจากคนของสถาบันอื่นๆ ในโดฮาว่า “ใช่แล้ว พวกเราอยู่ในการคุ้มครองของเขา” ทุกคนรู้ว่านี่เป็นเพียงข้ออ้างที่หลี่อิงเจี๋ยลงมือช่วยเหลือเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงทยอยกันส่งเสียงให้ความร่วมมือ
“คนจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือของพวกนายอวดดีแบบนี้กันหมดเลยหรือไง?” แววตาของอู๋หย่งฉายความเย็นชาออกมาแวบหนึ่งขณะเอ่ยอย่างเย็นเยียบ
หลี่อิงเจี๋ยไม่ได้ตอบ หากแต่หันหน้าไปถามพวกนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่อยู่ด้านหลังว่า “พี่น้อง มีคนบอกว่าพวกเราอวดดีมาก เราจะให้พวกเขาผิดหวังไม่ได้ใช่หรือเปล่า?”
“ใช่!” นักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่ค่อนข้างต่อสู้เก่งจำนวนไม่น้อยทยอยกันลุกขึ้นก่อนจะล้อมเข้ามา บ่งบอกว่าจะทุ่มเข้ามาสุดกำลัง สภาพการณ์นี้ทำให้อู๋หย่งไม่กล้าหุนหันพลันแล่น แต่เขาก็ไม่ยอมถอยเพียงแค่นี้ เอ่ยถามว่า “พวกนายมีเหตุผลหน่อยได้ไหม”
หลี่อิงเจี๋ยหัวเราะหยันกล่าวว่า “บอกว่าพวกเราอวดดีแล้วยังถามว่าพวกเรามีเหตุผลได้ไหม? นี่นายโง่หรือไง?”
อู๋หย่งสำลัก สุดท้ายก็ได้แต่กัดฟันพูดว่า “คอยดูเถอะ” นี่เป็นคำพูดรุนแรงที่ทิ้งท้ายไว้จากการที่จนปัญญาทำอะไรไม่ได้ และก็หมายความว่าการปะทะกันสิ้นสุดลงแค่นี้ คนที่มีเหตุผลหน่อยไม่มีทางให้เรื่องรุนแรงขึ้น ทั้งสองฝ่ายจะแยกย้ายกลับไปยังที่เดิมของแต่ละฝ่ายอย่างรู้ใจกัน
แต่หลี่อิงเจี๋ยคือใคร เขาย่อมเป็นลูกหลานตระกูลชั้นสูงที่เย่อหยิ่งไร้เหตุผล เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่าย เขาก็ไม่สบอารมณ์แล้ว
“คอยดูเถอะ?” หลี่อิงเจี๋ยส่งเสียงหัวเราะเยาะเหอะๆ ออกมาสองครั้ง “ฉันอยากเห็นว่านายจะทำให้ฉันคอยดูยังไง เชี่ยแม่ง อัดมันซะ!”
………………………………………………….
[1] ฝ่ายรับ