ในที่สุดงูเหลือมยักษ์ก็หยุดขยับ หัวงูขนาดมหึมาร่วงลงพื้นฉับพลัน กระแทกจนฝุ่นใบไม้ปลิวขึ้นมาอีกครั้ง จีอู๋ปู้ซิวเอ่ยด้วยความระมัดระวังว่า “มันตายแล้ว…”
“ยังไม่ตาย!” หลิงหลานตอบอย่างเย็นชา ลูกไม้เล็กๆ แบบนี้จะหลอกเธอได้ยังไง? ในป่าดึกดำบรรพ์มีสัตว์อสูรอะไรที่เธอไม่เคยเห็น บางตัวถึงขนาดเจ้าเล่ห์กว่างูเหลือมตัวนี้เสียด้วยซ้ำ
“เอ่อ…” จีอู๋ปู้ซิวมองงูเหลือมตัวนั้นด้วยความตกตะลึง แบบนี้ยังไม่ตายเหรอ?
หลิงหลานชักมีดสั้นออกมาจากด้านนอกขาหลังทั้งสองข้างของกระต่าย มือซ้ายสะบัดขึ้นมาฉับพลัน มีดสั้นเล่มหนึ่งถูกปาออกไปอย่างรุนแรง ฟันตรงไปที่ศีรษะของงูเหลือมดังฟิ้ว
ในตอนที่กำลังจะโจมตีโดนนั้น จู่ๆ งูเหลือมก็เงยศีรษะขึ้นมา มันอ้าปากกว้างกัดมีดสั้นที่บินมาเล่มนั้นอย่างดุดันก่อนจะได้ยินเสียงดัง ‘เคล้ง’ มีดสั้นที่สร้างจากโลหะทนทานสูงเล่มนั้นถูกมันทำลายเป็นชิ้นๆ ทันที เห็นได้ว่าแรงกัดของงูเหลือมแข็งแกร่งระดับไหน ถ้าหากหลิงหลานเดินเข้าไปเองละก็ เธอคงถูกมันลอบโจมตีจุดสำคัญโดยไม่ทันระวังและอาจจะตายไปพร้อมกับหุ่นที่ถูกทำลายก็ได้
อย่างไรก็ตาม การโจมตีอันน่ากลัวนี้ก็เป็นการโจมตีครั้งสุดท้ายของงูเหลือมตัวนี้เช่นกัน เพราะว่ามีดสั้นเล่มที่สองถูกหลิงหลานซัดออกไปอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตอนที่งูเหลือมกัดมีดสั้นเล่มแรกจนหัก มีดสั้นเล่มที่สองก็เสียบเข้าไปยังดวงตางูและทะลุหัวงูทั้งหัว
ขณะที่งูเหลือมเผชิญหน้ากับความตาย มันคล้ายกับเจ็บปวดสุดขีดก่อนจะอ้าปากแหงนหน้าคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว หลังจากที่มันส่งเสียงฟ่อแสบแก้วหู หัวงูค่อยกระแทกลงกับพื้นอย่างหนักหน่วงจนฝุ่นดินปลิวว่อนขึ้นมาอีกครั้ง
หลิงหลานเห็นฉากนี้ก็ควบคุมหุ่นรบกระต่ายให้กระโดดไปทางด้านหน้า จีอู๋ปู้ซิวเห็นดังนั้นก็อกสั่นขวัญแขวน ตะโกนเสียงดังลั่นฉับพลันว่า “หลิงเทียนอีเซี่ยน ระวังตัวด้วยครับ มันยังไม่ตาย” ถ้าหากอีกฝ่ายแสร้งตายขึ้นมาอีกครั้ง หุ่นรบกระต่ายเข้าไปแบบนี้จะไม่อันตรายมากเหรอ?
“คราวนี้ตายแล้ว” หลิงหลานตอบกลับเรียบๆ เมื่อเธอเดินไปถึงตรงหัวงูก็ดึงดาบแครอทที่ปักตรงจุดสำคัญของมันออกมาแล้ววางลงในปากกระต่ายก่อนจะคาบมันไว้ จากนั้นเธอก็ดึงมีดสั้นบนศีรษะงูออกแล้วเช็ดที่พื้นหลายทีถึงค่อยเสียบกลับไปที่ขาหลังด้วยความรังเกียจ ช่วยไม่ได้ อาวุธบนตัวหุ่นรบฝึกหัดน้อยมากเกินไปจริงๆ หลิงหลานไม่หยิบมันมาไม่ได้
เมื่อหลิงหลานทำทุกอย่างนี้เสร็จเรียบร้อยเตรียมตัวจะจากไป จีอู๋ปู้ซิวพูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “แล้วคุณไม่เอารางวัลต่อสู้เหรอ?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่หุ่นรบกระต่ายกำจัดสัตว์ป่ากลายพันธุ์ตัวอื่นๆ ก็ไม่เคยเอารางวัลต่อสู้บนตัวสัตว์ประหลาดกลายพันธุ์เลย นี่ทำให้เขาเจ็บปวดใจจะตายอยู่แล้ว ควรรู้เอาไว้ว่านั่นก็คือคะแนนนะ…ถึงแม้ว่าแต่ละตัวจะมีคะแนนแค่จุดทศนิยมไม่กี่ตัว แต่ว่าสะสมจากน้อยจนกลายเป็นมากได้นะ สัตว์อสูรมากมายขนาดนี้ ถ้ารวบรวมขึ้นมาทั้งหมด ไม่ว่ายังไงก็ได้หลายสิบคะแนน
ถ้าหากไม่มีคะแนน การใช้ชีวิตในโลกหุ่นรบก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมากจริงๆ ถ้าหากเขามีคะแนนมากมายนับไม่ถ้วน เขาคงไม่ต้องติดอยู่ในหมู่บ้านซานหยางอย่างน่าสงสารหรอก เขาแค่ฟาดคะแนนออกไปหนึ่งหมื่นแต้มตรงๆ ต่อให้เป็นราชันสายฟ้าก็ไม่สามารถห้ามปรามยอดฝีมือพาเขาออกไปจากหมู่บ้านซานหยางได้เหมือนกัน
“รางวัลต่อสู้?” หลิงหลานเอ่ยถามด้วยความสงสัย เธอยังไม่รู้เรื่องพวกนี้จริงๆ
“ใช่แล้วครับ บนตัวมอนสเตอร์มีของดีมากมาย ขอเพียงเก็บมันมาก็สามารถแลกคะแนนที่ร้านแลกเปลี่ยนได้ ยกตัวอย่างเช่น เขี้ยวของูเหลือมตัวนี้ หนึ่งซี่สามารถแลกได้ 3 คะแนน สี่ซี่ก็เป็น 12 คะแนน เหมือนกับหนังกระต่ายที่คุณฆ่ามาตลอดทาง หนึ่งผืนได้ 0.2 คะแนน หนังหมาป่าได้ 0.3 คะแนน…” จีอู๋ปู้ซิวรู้เรื่องรางวัลต่อสู้อย่างทะลุปรุโปร่งมากจริงๆ เขานับนิ้วอธิบายความสิ้นเปลืองตลอดทางที่ผ่านมาให้หลิงหลานฟังทีละอัน
หลิงหลานฟังอยู่เนิ่นนาน ที่แท้โลกหุ่นรบยังมีการสะสมคะแนนแบบนี้ด้วย แต่พอเธอมองไปที่หัวงูตัวนั้น เอาเถอะ เธอไม่สนใจแตะต้องร่างที่น่าเกลียดนั้นเลย ดังนั้นก็เลยพูดว่า “คุณเก็บไปละกัน!”
จีอู๋ปู้ซิวคิดว่าหลิงหลานให้เขาช่วยเก็บ ดังนั้นจึงร้อง ‘อื้อ’ ด้วยความดีใจแล้วก็ขยับตัวไปเก็บเขี้ยวสี่ซี่บนศีรษะงู พลังรบที่หลิงหลานแสดงตลอดทางมานี้ทำให้จีอู๋ปู้ซิวรู้ดีว่า รางวัลของเขาไม่พอจ้างผู้ควบคุมหุ่นรบที่เก่งกาจขนาดนี้เลย เขาอยากใช้ของอย่างอื่นมาชดเชยมากๆ ถ้าหากสามารถช่วยอีกฝ่ายเก็บรางวัลต่อสู้ได้ เพิ่มคะแนนมากขึ้นหน่อย เขาจะได้รู้สึกติดหนี้น้อยลงเล็กน้อย
จีอู๋ปู้ซิวเก็บเขี้ยวไปพลาง มองท่อนกลางลำตัวของงูเหลือมที่กลายเป็นเนื้อเละๆ ไปพลางและทอดถอนใจ นี่เป็นผลจากการที่หลิงหลานตกลงมาจากที่สูง ใช้ประโยชน์จากน้ำหนักและแรงโน้มถ่วงของตัวหุ่นรบซัดฝ่ามือใส่ตัวงูจนกลายเป็นเนื้อบดในครั้งเดียว กระบวนท่านี้ไม่มีที่ติเลยไม่ว่าจะเป็นจังหวะหรือว่าความแม่นยำ พิสูจน์ว่าความสามารถในการควบคุมหุ่นรบของหลิงหลานไปถึงขั้นคนกับหุ่นรบรวมกันเป็นหนึ่งแล้ว นี่เป็นเอกลักษณ์ของผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษ นี่ก็ยืนยันแล้วว่าที่จีอู๋ปู้ซิวคาดเดานั้นถูกต้อง ผู้ควบคุมหุ่นรบกระต่ายฝึกหัดตัวนี้ต้องเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษที่เก่งกาจและลึกลับแน่ๆ
แน่นอนว่าจีอู๋ปู้ซิวไม่ได้อุทานด้วยความตกใจต่อความสามารถของฝ่ายตรงข้าม แต่เขารู้สึกเสียดายที่หนังงูท่อนนั้นถูกแรงป่าเถื่อนของหลิงหลานทำลาย เขาลอบคิดว่าหนังงูผืนใหญ่มหึมาขนาดนี้ ถ้าหากถลกออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบละก็ ไม่ว่ายังไงก็แลกคะแนนได้ 30 แต้ม นึถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมากที่แลกได้จากรางวัลต่อสู้ เอาเถอะ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจีอู๋ปู้ซิวเป็นพวกบ้าคะแนนอยู่บ้างเพื่อที่จะสะสมคะแนนจ้างยอดฝีมือ
ความสามารถในการเก็บรวบรวมของจีอู๋ปู้ซิวเก่งกาจมาก เขาใช้เวลาไม่ถึงสองนาทีสำหรับเขี้ยวสี่ซี่ ทว่าต่อให้เป็นแบบนั้น หลิงหลานยังคงรู้สึกไม่คุ้ม บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลที่เสี่ยวซื่อไม่ได้เสนอแนะวิธีนี้ให้เธอ หลิงหลานอาจต้องการเวลาแค่ไม่กี่วินาทีในการสังหารสัตว์ป่าดุร้าย แต่การเก็บรวบรวมกลับสิ้นเปลืองเวลาของเธอมาก นี่ย่อมไม่ใช่สิ่งที่หลิงหลานต้องการแน่นอน
หลิงหลานเห็นจีอู๋ปู้ซิวเก็บรวบรวมเสร็จแล้วก็เดินทางขึ้นหน้าต่อ ไม่ได้อืดอาดยืดยาดอีก ถึงแม้ว่าพวกเขาจะระมัดระวังมาตลอดทาง แต่พวกเขาก็ไม่ก็เจอสัตว์อสูรอะไรอีกแล้ว และก็ไม่ได้พบอันตรายอะไรด้วย สถานการณ์ผิดปกติแบบนี้ทำให้จีอู๋ปู้ซิวกังวลขึ้นมา แต่ไม่รู้ทำไมพอเขาเห็นหุ่นรบกระต่ายตรงหน้ากระโดดอย่างใจเย็น ระยะห่างการกระโดดแต่ละครั้งล้วนเท่ากัน รัศมีและจังหวะการเคลื่อนไหวเหมือนกันหมด การควบคุมที่แม่นยำแบบนี้ทำให้อารมณ์ของเขาค่อยๆ กลับคืนสู่ความสงบ….
หลังจากที่เดินทางไปได้ประมาณห้านาที ทันใดนั้นเอง หลิงหลานก็หยุดก้าวเท้า เอ่ยปากพูดว่า “ระวัง”
ถึงแม้จีอู๋ปู้ซิวจะไม่ได้เลือกเรียนทหารด้านเป็นนักรบหุ่นรบอย่างเป็นทางการ แต่การยืนด้วยลำแข้งตัวเองตลอดหลายปีมานี้ทำให้ประสบการณ์ต่อสู้ของเขาเต็มเปี่ยม เมื่อเขาได้ยินคำเตือนของหลิงหลานก็ตั้งท่าป้องกัน มุมมองต่างๆ สถานการณ์รอบด้านปกคลุมทั่วทั้งหน้าจอของหุ่นรบ อย่างไรก็ตาม นอกจากความเงียบแล้ว ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวผิดปกติอะไรอีก
ไม่สิ ความจริงแล้วยังมีเสียงอยู่ มันเป็นเสียงกระทบกันตอนที่สายลมพัดพาใบไม้ แต่นี่เป็นฉากที่ปกติอย่างยิ่ง…หน้าผากของจีอู๋ปู้ซิวหลั่งเหงื่อออกมา ยิ่งมันสงบเงียบปกติมากเท่าไหร่ ยิ่งแสดงให้เห็นว่าอันตรายกำลังจะมาถึง
ตอนนี้จีอู๋ปู้ซิวยังคงไม่ได้สังเกตเลยว่าเขาเชื่อหลิงหลานอย่างไม่มีเงื่อนไขแล้ว ดังนั้นถึงได้ให้ความสำคัญกับคำว่า ‘ระวัง’ ของหลิงหลานขนาดนี้ ถึงขนาดที่คิดว่าวิกฤติอยู่ตรงหน้าแล้ว
“กระโดด!” หลิงหลานตะโกนดังลั่นทันใด จีอู๋ปู้ซิวบังคุบหุ่นรบให้กระโดดขึ้นไปในอากาศโดยไม่ครุ่นคิดเลยสักนิดเดียว เขาเห็นแสงสีแดงกระพริบขึ้นจากข้างใต้เท้าของหุ่นรบเขาในหน้าจอ
‘ฉัวะ!’ นี่เป็นเสียงแทงเข้าไปในเนื้อ หรือว่าเป็นเสียงแทงเข้าไปในดิน จีอู๋ปู้ซิวยังไม่ทันแยกแยะออกมาก็ได้ยินเสียงผัวะๆ ดังขึ้นอย่างรุนแรงไม่ไกลจากด้านหลังเขา
จีอู๋ปู้ซิวยังไม่ทันควบคุมหุ่นรบให้ขยายขอบเขตการมองเห็น เขาก็รู้สึกว่าหุ่นรบของตัวเองถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งซัดกระเด็นออกไป
จีอู๋ปู้ซิวมองเห็นชัดเจนจากในหน้าจอว่า คนที่โจมตีเขาคือหุ่นรบกระต่าย อีกฝ่ายใช้ขาหลังเตะเขาอย่างโหดเหี้ยม ลูกเตะนี้ทรงพลังกว่าตอนที่หลิงหลานผลักเขาออก ทำให้หุ่นรบของจีอู๋ปู้ซิวลอยข้ามผ่านต้นไม้หลายต้นก่อนจะกระแทกลงบนพื้นที่อยู่ห่างออกไปสามสิบกว่าเมตรอย่างหนักหน่วง
ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณสมบัติร่างกายของจีอู๋ปู้ซิวยังถือว่ายอดเยี่ยมละก็ แค่การชนติดต่อกันนี้อาจจะทำให้ร่างกายเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว แต่ว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ จีอู๋ปู้ซิวก็รู้สึกสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งตัวจนเลือดลมปั่นป่วน อดกระอักเลือดออกมาไม่ได้…
“หลิงเทียนอีเซี่ยนอยากฆ่าเขาหรือไง?” นี่คือความคิดแรกของจีอู๋ปู้ซิว แต่เขาก็โยนความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว เพราะเขาเชื่อว่าจากความสามารถของหลิงเทียนอีเซี่ยน หากอีกฝ่ายอยากฆ่าเขาก็ทำได้ง่ายดายมาก ไม่จำเป็นต้องทำให้เขาบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เลย
ส่วนทางด้านหลิงหลานก็อาศัยแรงเตะจีอู๋ปู้ซิวช่วยเร่งความเร็วของเครื่องยนต์พุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า หลบการจู่โจมกะทันหันที่ฉับไวของแสงสีเงิน ในขณะเดียวกันก็ช่วยจีอู๋ปู้ซิวหลบการลอบสังหารที่โหดร้ายครั้งนี้ด้วย เนื่องจากคนแรกที่ปะทะกับเส้นทางการโจมตีของแสงสีเงินนี้คือจีอู๋ปู้ซิว
หลิงหลานบังคับหุ่นรบให้ร่อนลงพื้นอย่างมั่นคง เธอมองงูเหลือมยักษ์สีเงินตัวหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าเมตรวนเวียนเตรียมพร้อมจู่โจมอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง งูเหลือมตัวนี้ยังใหญ่กว่างูเหลือมที่หลิงหลานสังหารไปก่อนหน้านี้ ดวงตาทั้งสองข้างของงูที่ใหญ่ราวกับโคมไฟส่องประกายเย็นเยียบอำมหิต ไม่ได้ปกปิดจิตสังหารในนั้นเลยแม้แต่น้อย
“ไม่นึกเลยว่าสัตว์อสูรที่วนเวียนอยู่ที่นี่คือเผ่างูเหลือม” หลิงหลานขมวดคิ้ว ถึงแม้หลิงหลานจะโดนมิติการเรียนรู้สั่งสอนจนไม่เหมือนผู้หญิง ไม่กลัวสัตว์อสูรสัตว์ป่าอะไรทั้งนั้น แต่ก็ยากจะฝังความรู้สึกรังเกียจสัตว์เลื้อยคลานเลือดเย็นที่มันลื่นแบบนี้อย่างยิ่งในธรรมชาติของเธอ ดังนั้นเมื่อเธอเจอคู่ต่อสู้ที่เป็นงูพวกนี้ ในใจยังคงไม่ชอบอยู่บ้าง
หลิงหลานเหลือบมองดาบแครอทที่ปักอยู่บนงูเหลือมตัวค่อนข้างเล็กนิดหน่อยซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก งูเหลือมตัวนั้นกำลังดิ้นรนอย่างสุดชีวิต อยากจะสลัดหลุดออกจากดาบแครอท
หลิงหลานอดร้องชิไม่ได้ เธอรู้ว่าตอนนี้ไม่สามารถหยิบดาบแครอทเล่มนั้นมาใช้ได้แล้ว และเนื่องจากหุ่นรบกระต่ายเป็นหุ่นรบฝึกหัด นอกจากดาบแครอทแล้ว ในหมู่อาวุธก็มีแค่มีดสั้นโลหะประสิทธิภาพสูงสองเล่มเท่านั้น หนึ่งในนั้นได้ ‘พลีชีพอย่างกล้าหาญ’ ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ไปแล้ว อาวุธเย็นที่หลิงหลานใช้ได้จึงมีแค่มีดสั้นเล่มเดียวเท่านั้น
ถึงแม้ว่าด้านหลังเอวหุ่นรบกระต่ายยังมีปืนพกเลเซอร์กระบอกหนึ่ง แต่หลิงหลานรู้ดีว่าอาศัยเพียงพลังของปืนพกกระบอกนั้นไม่สามารถทำลายพลังป้องกันของหนังงูเหลือมยักษ์ตัวนี้ได้ แน่นอนว่าไม่ใช่ว่ามันจะไม่มีประโยชน์เลยจริงๆ ถ้าหากยิงตรงจุดอ่อน มันก็ยังมีประสิทธิภาพอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ดวงตาของงูเหลือม หรือว่าช่องปากที่ไม่มีผิวหนังด้านนอกปกคลุม…แต่ในการต่อสู้แบบเคลื่อนที่ การโจมตีให้โดนจุดเหล่านี้มีระดับความยากสูงมาก หากไม่ถึงขั้นสุดวิสัย หลิงหลานไม่อยากใช้ปืนพกเลเซอร์ที่ไว้ใจไม่ได้นี้เลย
มือซ้ายของหลิงหลานยกมีดสั้นที่เหลือเพียงเล่มเดียวขึ้นมา เธอรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ตัวเองมั่นใจมากเกินไป เธอควรเตรียมดาบยาวคมๆ หรือไม่ก็ดาบแสงไว้ล่วงหน้า เช่นนี้เธอก็ฆ่างูเหลือมพวกนี้ได้ง่ายมากแล้ว