“เจ้าหน้าที่ รีบส่งไปที่ศูนย์รักษาเร็วเข้า!” ถังอวี้รีบตะโกน จากนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่สวมชุดเครื่องแบบสองคนยกเปลหามขึ้นมาบนเวทีก่อนจะนำหลี่อิงเจี๋ยไปที่ศูนย์รักษาอย่างรวดเร็ว
หลิงหลานเห็นดังนั้นก็รีบหันหน้าไปสั่งฉีหลงว่า “นายรีบแจ้งเซี่ยอี๋ว่าให้เขาไปเป็นเพื่อนด้วย ได้ความแล้วก็มาบอกพวกเรา”
ฉีหลงได้ยินแล้วก็รีบติดต่อเซี่ยอี๋ ให้เขาตามหลี่อิงเจี๋ยไปที่ศูนย์รักษา รายงานสภาพการรักษาของหลี่อิงเจี๋ยได้ทันที
วิธีการต่อสู้ที่ต่อให้บาดเจ็บด้วยกันทั้งสองฝ่ายแต่ก็ไม่ยอมแพ้ของหลี่อิงเจี๋ยสะเทือนอารมณ์พวกฉีหลงกับอู่จย่ง และก็ทำให้สมาชิกของกลุ่มนักเรียนใหม่ทำความรู้จักหลี่อิงเจี๋ยที่เย่อหยิ่งจนน่ารำคาญคนนั้นใหม่อีกครั้ง
ที่แท้ทายาทรุ่นสองที่น่ารังเกียจอาศัยความสามารถและกลุ่มอำนาจมารังแกพวกเขาเป็นครั้งคราวจะยินดีไปต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่ออนาคตและอิสระของเพื่อนๆ เช่นเดียวกัน เวลานี้ต่อให้เป็นสมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่บางคนที่เกลียดชังหลี่อิงเจี๋ยก็ปล่อยวางความคับข้องใจลงเงียบๆ เหมือนกัน…
ในเมื่อนายปฏิบัติต่อฉันด้วยความจริงใจ ฉันก็จะใช้ความจริงใจปฏิบัติต่อนายเหมือนกัน พวกเราเป็นเพื่อนร่วมรบที่ร่วมเป็นร่วมตาย จับมือบุกไปด้วยกันไม่ยอมแพ้ตลอดกาล!
หลี่อิงเจี๋ยถูกส่งไปอย่างรวดเร็ว บนสนามประลองเหลือเพียงซ่งเหลียนลู่ที่ยังคงถือว่ามีสติอยู่ ถังอวี้ประกาศด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกว่า “การประลองรอบที่สอง ซ่งเหลียนลู่นักเรียนปีสี่จากกลุ่มหุ่นรบเหลยถิงชนะ! คะแนนโดยรวม 1 ต่อ 1”
ถังอวี้เพิ่งจะประกาศผล ทางฝั่งซ่งเหลียนลู่ก็ฝืนต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ร่างของเขาล้มลงไปกับพื้นและหมดสติไป ถังอวี้ได้แต่ส่งคนมาพาซ่งเหลียนลู่ไปที่ศูนย์รักษาอีกครั้ง เป็นแค่การประลองสองรอบ แต่ทำให้ขุนพลสี่นายของทั้งสองฝ่ายเข้าศูนย์รักษา เห็นได้ถึงระดับความรุนแรงของการประลองครั้งนี้
ดวงตาทั้งสองข้างของหลิงหลานฉายรัศมีเย็นเยียบออกมาแวบหนึ่ง อุณหภูมิรอบๆ พลันลดลงหลายองศาทำให้ฉีหลงกับอู่จย่งอดตัวสั่นไม่ได้ พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ว่าตอนนี้ลูกพี่หลานโมโหมาก ไม่เช่นนั้นอุณหภูมิคงไม่แตกต่างกันมากขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม พวกเขาดีใจมากที่เห็นลูกพี่หลานเป็นแบบนี้ นี่หมายความว่าลูกพี่หลานใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว และจุดจบคนของเหลยถิงก็ได้แต่อเนจอนาถกว่าลั่วล่างและหลี่อิงเจี๋ยเท่านั้น
สาเหตุที่ฉีหลงกับอู่จย่งยินดีในความโชคร้ายของคนอื่นแบบนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพราะเหลยถิงลงมืออำมหิตมากเกินไป ไม่มีความคิดหยุดมือเลยสักนิดเดียว ไม่อย่างนั้นลั่วล่างกับหลี่อิงเจี๋ยคงไม่บาดเจ็บหนักเช่นนี้ และก็ไม่ทำให้หลิงหลานโกรธเกรี้ยวขนาดนี้ด้วย
หลังจากคำประกาศของถังอวี้ หลินจื้อตงที่เฝ้าคอยมาตลอดค่อยโล่งใจ ในที่สุดก็ชนะการประลองรอบนี้ ไม่นึกเลยว่าคู่ต่อสู้จะแข็งแกร่งขนาดนั้น ประมือกับตัวแทนที่ได้รับคัดเลือกของพวกเขาได้อย่างป่าเถื่อนเช่นนี้…หลินจื้อตงนึกเสียใจภายหลังอยู่รางๆ บางทีเขาควรจะทำความเข้าใจสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามให้มากก่อนแล้วค่อยจัดการ อย่างไรก็ตาม เขาหวั่นไหวแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ดวงตาทั้งสองข้างของหลินจื้อตงก็เด็ดเดี่ยวแน่วแน่ขึ้นมาอย่างรวดเร็วอีกครั้ง
ภาพรวมหนึ่งต่อหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายยืนอยู่บนจุดสตาร์ทด้วยกันอีกรอบ ขอเพียงการประลองสามรอบให้หลัง เขาเอาชนะได้อีกสองรอบก็จะชนะการต่อสู้เดิมพันครั้งนี้ได้ เมื่อเทียบกับฝ่ายตรงข้ามที่แสดงไพ่ตายออกมาหมดแล้ว ในมือเขายังมีไพ่โต้กเกอร์ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกสองใบ เขาจะพ่ายแพ้ในการประลองรอบนี้ไม่ได้เป็นอันขาด
หลินจื้อตงมองไปทางรุ่นพี่สองคนที่นั่งตัวตรงชมการประลองอยู่ข้างๆ มาตลอด แววตาเผยร่องรอยความเคารพนับถือออกมา เขาเอ่ยถามกับหนึ่งในนั้นด้วยท่าทีถ่อมตัวมากว่า “รุ่นพี่เฟิงหมิง รอบต่อไปอาจจะต้องรบกวนคุณออกไปประลองแล้ว เพื่อแผ่ขยายชัยชนะของเหลยถิงเรา” ผู้แข็งแกร่งสองคนนี้ไม่ใช่คนที่เขาสามารถจัดการได้ตามใจชอบ จำเป็นต้องสอบถามความสมัครใจของอีกฝ่าย
หนึ่งในนั้นหรือก็คือคนที่ถูกหลินจื้อตงเรียกขานว่ารุ่นพี่เฟิงหมิงได้ยินคำถามก็เอ่ยพลางหัวเราะอย่างเบิกบานว่า “เห็น พวกเขาต่อสู้กันยอดเยี่ยมขนาดนี้ ฉันก็คันไม้คันมือจริงๆ รอบต่อไปให้ฉันออกไปประลองเถอะ”
เขาหันหน้ามองไปยังเขตกลุ่มนักเรียนใหม่โดยที่รอยยิ้มไม่ได้ลดลงเลย แววตาแฝงไปด้วยความชื่นชมและเพลิดเพลิน ดูเหมือนว่าเขาจะมีความรู้สึกดีๆ ต่อกลุ่มนักเรียนใหม่อย่างยิ่งยวด สุดท้ายก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “จื้อตง ถ้าเกิดเหลยถิงชนะขึ้นมาจริงๆ แจ้งเฉียวถิงว่ารังแกพวกเขาไม่ได้เด็ดขาด ต้องอบรมสั่งสอนให้ดีๆ พวกเขาจะกลายเป็นเสาหลักในอนาคตของเหลยถิงเราแน่นอน”
เพิ่งเข้าโรงเรียนทหารก็สามารถต่อสู้กับพวกนักเรียนเก่าได้อย่างสูสี เขาเชื่อว่าบางทีอนาคตของเด็กหนุ่มเหล่านี้อาจจะพัฒนาได้ดีกว่าพวกเขาเสียอีก
หลินจื้อตงผงกศีรษะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้วครับ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่จัดการเดิมพันนี้ขึ้นมาเหมือนกัน” ความหมายโดยนัยคือเขาถูกใจฝ่ายตรงข้ามถึงได้อยากรับทั้งหมด
รุ่นพี่เฟิงหมิงพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยปากพูดอีก ขณะเดียวกันชายหนุ่มร่างกำยำหล่อเหลาอีกคนที่อยู่ข้างกายเขาก็เอ่ยอย่างนิ่งเรียบว่า “นักเรียนใหม่ปีนี้แข็งแกร่งมากจริงๆ!”
“ลูกพี่ฮั่ว?” รุ่นพี่เฟิงหมิงหันหน้ามองไปยังหัวหน้าทีมของเขาด้วยความตะลึงงัน ไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดแบบนี้
“ยอดฝีมือระดับพลังปราณสองคนโผล่ออกมาแล้ว สามคนที่เหลือจะเป็นระดับอะไรอีกนะ?” ชายหนุ่มที่ดูหล่อเหลาองอาจเลิกคิ้วเอ่ยพลางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
รุ่นพี่เฟิงหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็ครุ่นคิดขึ้นมา ส่วนหลินจื้อก็ถูกเตือนสติเช่นกัน เขาเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า “ความหมายของลูกพี่ฮั่วคือ…ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะอยู่ระดับพลังปราณกันหมดเลย!” หลินจื้อเอ่ยค้านพลางส่ายหน้าติดต่อกัน “เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด จะมียอดฝีมือระดับพลังปราณปรากฏตัวขึ้นในหมู่นักเรียนใหม่เยอะขนาดนี้ได้ยังไง สองสามคนก็ถึงขีดจำกัดแล้วนะครับ…แผนการที่พวกเขาใช้จะต้องเป็นเถียนจี้แข่งม้าอยู่แล้วสิ คนต่อไปจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาแน่นอน”
ชายหนุ่มเหล่าเหลาองอาจได้ยินคำพูดนี้ก็กวาดสายตามองหลินจื้อตงที่ตื่นตระหนกอยู่บ้างตรงหน้าอย่างเฉยชาเท่านั้น เขาลอบส่ายหน้าในใจ ถึงแม้ว่าหลินจื้อตงจะทำผลงานไม่เลวในทุกๆ ด้าน แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้อยู่ในภาควิชายุทธวิธีทางทหาร ยังคงหวั่นไหวในช่วงเวลาสำคัญ…อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเรื่องของเฉียวถิงแล้ว ในเมื่อเขาวางมือแล้วก็ต้องเชื่อมั่นว่าเฉียวถิงสามารถประคับประคองเหลยถิงไว้ได้ทั้งหมด
ทางฝั่งหลินจื้อตงเพิ่งจะส่งรายชื่อเข้าไป ทางฝั่งเสี่ยวซื่อก็เอ่ยเตือนหลิงหลานว่า “ลูกพี่ ฝ่ายตรงข้างส่งเนี่ยเฟิงหมิงออกมา!”
“คนที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองเหรอ?” ตอนนี้คนที่หลิงหลานสามารถส่งออกไปได้มีเพียงฉีหลงกับอู่จย่งเท่านั้น เมื่อเทียบกับอู่จย่งที่เป็นหัวหน้ากลุ่มต่อหน้าคนภายนอกแล้ว เขาไม่เหมาะที่จะแพ้ สายตาของหลิงหลานทอดมองลงไปที่ตัวฉีหลงอย่างเฉียบขาด ถึงแม้ระดับทักษะต่อสู้มือเปล่าของฉีหลงจะสูงกว่าอู่จย่งสองระดับ ทว่าเขายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝ่ายตรงข้าม แต่หลิงหลานเชื่อว่าฉีหลงจะต้องอาศัยการต่อสู้ครั้งนี้เก็บเกี่ยวอะไรมาได้บ้างแน่นอน…
“ฉีหลง เตรียมตัวต่อสู้!” หลิงหลานเอ่ยปากสั่งการ
หลังจากเสียงนี้สีหน้าของอู่จย่งก็หดหู่ลงอย่างรวดเร็ว ส่วนฉีหลงก็ตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นเต้นว่า “รู้แล้ว ลูกพี่!”
ทั้งสองคนถูกการประลองสองรอบก่อนกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ขึ้นมาแล้ว พวกเขาต่างต้องการออกไปประลองในรอบที่สาม น่าเสียดายที่สุดท้ายคนที่หลิงหลานเลือกคือฉีหลง ดังนั้นจึงมีหนึ่งคนที่ผิดหวัง และหนึ่งคนที่สมหวัง สีหน้าที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงทั้งสองดวงปรากฏขึ้นตรงหน้าหลิงหลานเช่นนี้เอง
หลิงหลานเผชิญหน้ากับอู่จย่งที่แสดงท่าทีเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เธอก็นวดหว่างคิ้วเอ่ยด้วยความจนใจว่า “อู่จย่ง มีโอกาสให้นายออกไปประลอง อย่าใจร้อนน่า”
คำพูดของหลิงหลานทำให้แววตาของอู่จย่งเปล่งประกาย เขาเก็บสีหน้าโศกเศร้าเมื่อสักครู่นี้ทันที ทอดมองฉีหลงด้วยแววตาลำพองใจว่า ‘แม่ง ให้นายดีใจกับรอบนี้ไปก่อนเถอะ รอบหน้าก็ถึงตาฉันแล้ว’
เวลานี้อู่จย่งไม่รู้เลยว่า ความจริงแล้วฉีหลงก็คือตัวเบี้ยน่าสงสารที่หลิงหลานจัดการส่งไปตาย อยากได้รับชัยชนะในตอนสุดท้ายยังต้องอาศัยเขากับหลิงหลานสองคนอยู่
ถังอวี้ได้รับรายชื่อที่ทั้งสองฝ่ายส่งเข้ามาใหม่แล้ว เมื่อเวลาสิ้นสุดลงก็ประกาศว่า “กลุ่มหุ่นรบเหลยถิง VS กลุ่มนักเรียนใหม่ การประลองรอบที่สาม เนี่ยเฟิงหมิงปีห้าปะทะกับฉีหลงปีหนึ่ง”
เสียงนี้กลับทำให้ด้านล่างส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา โดยเฉพาะพวกนักเรียนเก่า พวกเขาทำหน้าตกใจ คาดไม่ถึงว่าเหลยถิงจะขุดรองหัวหน้ากลุ่มคนก่อนของพวกเขาออกมาเพื่อการประลองครั้งนี้ ถ้าหากเขาปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว หัวหน้ากลุ่มคนก่อนของเหลยถิงจะโผล่ออกมาเหมือนกันหรือเปล่า? คนผู้นั้นคืออันดับหนึ่งด้านการต่อสู้มือเปล่าของโรงเรียนทหารเลยนะ!
หลังจากที่ทั้งสองคนขึ้นมาบนเวทีประลองก็ได้รับคำตอบจากทั้งคู่ว่าเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว พันเอกถังอวี้ประกาศอย่างเยือกเย็นว่า “เริ่มการประลองได้!”
สิ้นเสียงนี้ เนี่ยเฟิงหมิงก็ตัดสินใจเหมือนกับซ่งเหลียนลู่ เขาเตรียมตัวดูความสามารถของคู่ต่อสู้ก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกที ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บุกโจมตี หากแต่ทำการป้องกันทันที ดวงตาทั้งสองข้างสังเกตท่วงท่าการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้อย่างรอบคอบและจริงจัง
เนี่ยเฟิงหมิงคิดว่าคู่ต่อสู้จะทำแบบนี้เหมือนกัน แต่ฉีหลงกลับอยู่เหนือความคาดหมายของเขา หลังจากที่กระโดดขึ้นหน้าถอยหลังยืดเส้นยืดสายหลายครั้ง จู่ๆ ก็เร่งความเร็วพุ่งเข้ามา พริบตาเดียวก็มาถึงเบื้องหน้าเนี่ยเฟิงหมิง ก่อนจะชูมือขึ้นต่อยตรงไปที่หน้า
รูปแบบการต่อสู้ของฉีหลงไม่เหมือนการต่อสู้ที่เตรียมทั้งการโจมตีและป้องกันไว้อย่างของสหพันธรัฐหัวเซี่ย รูปแบบของเขาใกล้เคียงกับของจักรวรรดิซีซาร์ประเทศเพื่อนบ้านของสหพันธรัฐมากกว่า ตามโจมตีอย่างเต็มกำลัง ใช้การจู่โจมแทนการป้องกัน กล่าวได้ว่าการป้องกันแทบไม่มีอยู่ในฉีหลงเลย
ถึงแม้ว่าหลิงหลานอยากให้ฉีหลงเข้าใจเรื่องการป้องกันมาตลอด แต่ว่าการทรมานเคี่ยวกรำหลายครั้งกลับทำให้ฉีหลงเดินไปยังเส้นทางฝึกฝนร่ายกายอีกสาย ในเมื่อป้องกันไม่ได้ก็ไม่ป้องกัน แต่เพิ่มแรงโจมตีต้านทานของร่างกายอย่างสุดความสามารถ ในมิติการเรียนรู้ของหลิงหลานเรียกวิธีการฝึกฝนแบบนี้ว่า การหลอมร่างกาย เป็นเส้นทางที่เดินไปอย่างยากลำบากที่สุดสายหนึ่ง ทว่าจากคำพูดของหลิงหลาน เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นก็จะกลายเป็นร่างเหล็กกล้าที่ไม่บุบสลาย สามารถต้านทานพลังมหาศาลหนึ่งหมื่นจิน[1]ได้
ดังนั้น เนี่ยเฟิงหมิงถูกกำหนดให้ไม่มีโอกาสสังเกตการณ์คู่ต่อสู้ เขารับการโจมตีที่เหมือนกับพายุโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน
เนี่ยเฟิงหมิงหลบซ้ายทีขวาที ในที่สุดเขาก็หลบพ้นการโจมตีอันบ้าคลั่งที่มาอย่างกะทันอย่างของฉีหลงได้ เขาตกใจจนแทบหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมาทั่วทั้งร่าง โชคดีที่ประสบการณ์ต่อสู้ของเขามีอยู่มากมาย หากเปลี่ยนเป็นคนที่อ่อนแอลงนิดหน่อย จะต้องโดนฝ่ายตรงข้ามซัดจนเซ่อซ่า ยังไม่ทันได้แสดงความสามารถก็ถูกหมัดสะเปะสะปะพวกนี้โจมตีจนพ่ายแพ้ไปอย่างงุนงง
เนี่ยเฟิงหมิงค่อยๆ ปรับตัวกับวิธีการโจมตีที่ไม่มีตรรกะและป่าเถื่อนของฉีหลง การหลบซ้ายหลบขวาแต่เดิมของเขาเริ่มมีการสวนกลับ ทั้งสองคนเตะต่อยใส่กันไปมา ต่อสู้อย่างดุเดือดสุดขีด ยากจะแยกได้ว่าใครเหนือกว่าใครไปชั่วขณะ
ถังอวี้เห็นฉากนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา แรกเริ่มเดิมทีการจู่โจมอย่างไม่มีหลักเกณฑ์เลยสักนิดเดียวของฉีหลงทำให้เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นตัวแทนเข้าประลองที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนักเรียนใหม่ ถึงขนาดที่เป็นแค่คนที่เอามาใส่ไว้ให้ครบจำนวนเท่านั้น ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะมองผิดไป
การเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนมุทะลุของเขากลับมีระบบอย่างยิ่งยวด แต่ละกระบวนท่าต่างโจมตีใส่จุดที่ฝ่ายตรงข้ามรับได้ยากมากที่สุด สิ่งที่ทำให้คนอุทานอย่างตกใจยิ่งไปกว่านั้นคือ เส้นทางการโจมตีแต่ละครั้งของเขาป้องกันช่องว่างจุดอ่อนถึงตายทั้งหมดของร่างกายไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม หากคู่ต่อสู้อยากโจมตีใส่ตำแหน่งเหล่านี้ จำเป็นต้องเลือกกระแทกใส่อย่างรุนแรง ไม่อย่างนั้นก็จะเสียแรงอย่างเปล่าประโยชน์
พันเอกถังอวี้ลอบประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าจะมีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศมากมายขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นในหมู่นักเรียนใหม่ปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหนุ่มคนนี้ เขาเดินไปบนขอบเขตการต่อสู้มือเปล่าได้ไกลกว่าเพื่อนร่วมทีมสองคนในการประลองสองรอบก่อนเสียอีก ถึงขนาดที่กล่าวได้ว่า ในขณะที่คนอื่นยังอยู่ในช่วงเรียนรู้โดยการลอกเลียนแบบ เขาก็ได้เริ่มคลำหาวิธีการต่อสู้ของตัวเองแล้ว
สายตาของถังอวี้อดจ้องมองลงไปที่ด้านล่างเวทีประลองไม่ได้ ตรงนั้นยังมีเด็กหนุ่มอีกสองคน พวกเขาจะมีความสามารถโดดเด่นล้ำเลิศเหมือนกันหรือเปล่านะ?
————————-
[1] หนึ่งจินเท่ากับห้าร้อยกรัม