ไม่นานลั่วล่างร้องครางทีหนึ่ง ลืมตาของตัวเองขึ้นมาก่อนจะเห็นชายหนุ่มชุดขาวกำลังมองเขาด้วยใบหน้ายิ้มละไม สีหน้าของลั่วล่างเปลี่ยนไปโดยพลัน เขารู้แล้วว่าท้ายที่สุดเขายังคงหลบหนีจากสถานที่เกิดเหตุนั้นไม่ได้ ถูกฝ่ายตรงข้ามจับตัวมา
เขาดิ้นรนสักพักก็ได้ยินเสียงเคล้งดังมาจากเหนือหัว ลั่วล่างเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าสองมือของตัวเองถูกโซ่ล็อกไว้ และยาชายังไม่หายไปจนหมด เขายังคงรู้สึกอ่อนแรงไร้กำลังอยู่
“แกเป็นใคร? คนของกลุ่มไหน? ทำไมต้องจับฉันมาด้วย?” ลั่วล่างใจเย็นลงอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยปากถาม เสียงของเขาแหบพร่าและอ่อนเปลี้ยอยู่บ้าง ทว่าในหูของซือหมิงอี้ได้ยินแล้วกลับรู้สึกว่ามันมีกลิ่นอายเย้ายวนใจ
“ซือหมิงอี้ นักเรียนดีเด่นชั้นปีสี่ของภาควิชาควบคุมยานรบ รองหัวหน้ากลุ่มหุ่นรบเทียนจี ส่วนเรื่องทำไมถึงจับตัวเธอมา?” ซือหมิงอี้ยืนมือไปจับแก้มของลั่วล่างด้วยใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวด้วยสีหน้าลุ่มหลงว่า “เป็นเพราะว่าฉันชอบเธอไงล่ะ…”
ลั่วล่างอยากหลบนิ้วมือของซือหมิงอี้ด้วยความขยะแขยง แต่เขาก็ทำไม่สำเร็จ และก็อึ้งไปกับคำพูดของซือหมิงอี้อีกครั้ง เขาเข้าใจอย่างรวดเร็วก่อนจะกล่าวด้วยความเดือดดาลว่า “ปล่อยฉันนะ แกมันโรคจิต”
“โรคจิตเหรอ? ถ้าชอบนายแล้วต้องกลายเป็นคนโรคจิตจริงๆ ละก็ ฉันขอยอมรับด้วยความเต็มใจ!” ใบหน้าของซือหมิงอี้เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา สีหน้านี้ทำให้ลั่วล่างตกตะลึงไปอีกครั้ง แต่เขาก็ได้สติกลับมาอย่างฉับไว ด่าทอว่า “นายมันโรคจิตแน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นนายจะทำเรื่องลักพาตัวคนมาได้ยังไง?”
ร่างของซือหมิงอี้สั่นสะท้าน กุมหน้าผากตัวเองฉับพลัน เขาหลับตาลงผ่อนคลายจิตใจสักพักแล้วค่อยลืมตาขึ้นมา ตอนนี้รอยยิ้มที่เดิมทีดูจริงใจได้หายไปแล้ว หลงเหลือเพียงความขุ่นมัวและความดุดันเล็กน้อย “ยังไม่ได้อีกเหรอ? ไม่นึกเลยว่าพลังจิตของนายจะแข็งแกร่งขนาดนี้ สะท้อนพลังกลับใส่ฉันอีกแล้ว ดูท่าจำเป็นต้องให้ลิ้มรสความรักที่สุขสมจนถึงขีดสุดก่อน เธอถึงจะยอมศิโรราบให้ฉันสินะ”
เขากล่าวจบก็เริ่มถอดเสื้อผ้าตัวเองออก แววตาของลั่วล่างหดลงทันที ฟันที่ขาวสะอาดของเขากัดริมฝีปากตัวเองอย่างรุนแรง พยายามใช้ความเจ็บปวดมาขับไล่ฤทธิ์ยาชาออกไป และโคจรพลังปราณภายในร่างกายอย่างสุดชีวิต หวังว่าจะสามารถฟื้นฟูพลังปราณได้มากพอที่จะทำการต่อสู้โรมรันเป็นครั้งสุดท้าย
ใช่แล้ว ลั่วล่างเตรียมตัวจะตายตกตามกัน เขาไม่มีทางยอมรับความอัปยศนี้ได้…
ภายในร่างกายที่เดิมทีว่างเปล่ารู้สึกได้ถึงตัวตนของกำลังภายในทันใด แววตาของลั่วล่างฉายความตื่นเต้นยินดีออกมาแวบหนึ่ง ทว่าสีหน้าของเขากลับเปลี่ยนไปอีกครั้งอย่างฉับไว ดวงหน้าที่เดิมทีซีดเผือดเต็มไปด้วยสีแดงระเรื่ออย่างเร็วไว
“ฮ่าๆ รู้สึกแล้วสินะ นี่เป็นยาปลุกออกฤทธิ์ได้ผลชะงัด มันจะทำให้นายอ้อนวอนฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เปลี่ยนนายให้กลายเป็นคนสำส่อน…” ซือหมิงอี้เห็นแบบนี้แล้วก็หัวเราะขึ้นมา ในขณะที่เขากำลังจะฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนตัวลั่วล่างลงมา กลิ่นอายเย็นเยียบสายหนึ่งพลันปกคลุมไปทั่วห้อง…
“รนหาที่ตาย!” เสียงเย็นชาดังขึ้นที่ข้างหูซือหมิงอี้ ทำให้ซือหมิงอี้ที่เดิมทีอยู่ในสภาพ**พุ่งขึ้นสูงถูกน้ำเย็นสาดใส่หัวทันทีแล้วหนาวขึ้นมาโดยพลัน
ส่วนลั่วล่างที่เดิมทีคิดจะตายพร้อมกับศัตรู เวลานี้ดวงตาของเขาเผยความตื่นเต้นยินดีออกมา เนื่องจากสายตาของเขาสบกับกระจกตรงเพดานโดยไม่ได้ตั้งใจ ด้านล่างผ้าม่านตรงหน้าประตูมีร่างเย็นเยียบคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ตรงนั้น เขาคือหลิงหลานนั่นเอง
“ลูกพี่…” ลั่วล่างตะโกนคำนี้ออกมาด้วยความตื่นเต้น ขอบตาแดงก่ำโดยที่ห้ามไม่อยู่ หัวใจที่เดิมทีโกรธเคือง เศร้าเสียใจและหนาวเหน็บเปลี่ยนเป็นแอ่งน้ำที่อ่อนโยน ที่แท้นี่ก็คือลูกพี่ สมกับเป็นลูกพี่ที่เขาพึ่งพิง มาช่วยเหลือเขาในช่วงเวลาวิกฤติที่สุด
ซือหมิงอี้หันหน้ากลับไปมองด้วยความตะลึงพรึงเพริด เมื่อเขาเห็นร่างที่ดูคุ้นตาเบื้องหน้าก็เอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยว่า “หลิงหลาน! เป็นนายนี่เอง…” เขามองไปที่ด้านหลังตัวหลิงหลานตามจิตใต้สำนึก เขาตั้งรหัสแล้วชัดๆ หลู่หย่งกวงเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าไม่มีใครสามารถเจาะได้ ได้แต่อาศัยแรงทำลายประตูเท่านั้น? ทำไมอีกฝ่ายถึงลอบเข้ามาได้อย่างไร้สุ้มไร้เสียงล่ะ? ทำให้เขาไม่รู้สึกอะไรเลยสักนิดเดียว?
“นายยั่วโมโหฉันแล้ว…นายต้องชดใช้สิ่งที่นายทำลงไปทั้งหมด!” สีหน้าของหลิงหลานดำทะมึน เธอเห็นสภาพของลั่วล่างในตอนนี้ จิตสังหารในใจก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไอชั่วร้ายกระหายเลือดทีซ่อนลึกอยู่ในร่างกายมาตลอดพลันปะทุออกมา แล้วปกคลุมทั่วทั้งห้องทันที
ฉีหลง ลั่วล่างและบรรดาเพื่อนๆ ตัวน้อยที่ติดตามเธอมาตั้งแต่เด็กมีสถานะที่ไม่เหมือนใครในใจหลิงหลาน หลิงหลานดูแลสั่งสอนพวกเขาเหมือนกับเป็นน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง ถึงขนาดที่ในใจหลิงหลานมีความรู้สึกเหมือนเลี้ยงดูลูกชาย ความรู้สึกที่เธอทุ่มเทออกไปย่อมไม่ธรรมดาแน่นอน
ไอชั่วร้ายของหลิงหลานรุนแรงสุดขีด แต่การควบคุมของเธอก็แม่นยำอย่างยิ่งยวด ไม่มีหลุดรอดออกไปด้านนอกเลยสักนิดเดียว ในฐานะที่ซือหมิงอี้เป็นผู้ได้รับความเสียหายหลัก เขารู้สึกว่าตัวเองเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความกระหายเลือดทันที เงากระบี่ประกายดาบนับไม่ถ้วนจู่โจมใส่เขา เขารู้สึกว่าตัวเองถูกดาบนับไม่ถ้วนเฉือนเป็นชิ้นๆ จนตาย และรู้สึกได้ว่าตัวเองถูกคนตัดมือเท้าไปทีละเล็กทีละน้อย ก่อนจะผ่าท้องควักหัวใจออกมา แต่ว่าเขาตายไม่ได้ เขาเบิกตามองดูร่างกายและตับไตไส้พุงของตัวเองที่กลายเป็นแอ่งเลือดแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยในท้ายที่สุด
นี่ไม่เพียงเป็นความเจ็บปวดทางกาย มันเป็นความทรมานทางจิตใจด้วย มีอยู่ครู่หนึ่งที่เขาถึงขนาดอยากกัดลิ้นจบชีวิตตัวเอง ไม่อยากทนรับความเจ็บปวดทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้แล้ว…
อันที่จริงเขากัดลิ้นไปแล้วจริงๆ บางทีเรี่ยวแรงของเขาอาจจะไม่เพียงพอ หรือบางทีในจิตใต้สำนึกของเขาอาจจะยังไม่อยากตาย สรุปคือเขากัดลิ้นแล้ว เพียงแต่กัดจนบาดเจ็บไม่ได้กัดจนขาด อย่างไรก็ตาม นี่กลับทำให้เขาทำร้ายตัวเองจนเจ็บปวดอย่างรุนแรงโดยไม่ได้ตั้งใจ และทำให้เขาได้สติกลับมาจากท่ามกลางความทรมานในนรกสู่โลกแห่งความเป็นจริง
อย่างไรก็ตามต่อให้เป็นแบบนี้ ไอพลังที่เดิมทีกดอัดเข้ามาทำให้ซือหมิงอี้ได้รับบาดเจ็บภายในทันที ช่วงเวลาที่เขาได้สตินั้น เลือดก็กระอักพรวดออกมาจากในปากเขา ทั่วทั้งร่างโงนเงนไม่มั่นคง
ตอนนี้ซือหมิงอี้รู้แล้วว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหลานเลย ส่วนเรื่องไอพลังเขาก็เข้าใจบ้างแล้ว รู้ว่านั่นเป็นหนึ่งในความสามารถของผู้ที่อยู่ช่วงปลายของระดับพลังปราณสามารถครอบครองได้ เขาเคยศึกษามาก่อนและก็เคยสัมผัสมาก่อน มันจะมีแรงกดดันบีบอัดที่สร้างประสิทธิภาพในการบดขยี้ใส่ตัวผู้ที่ได้รับโดยตรง เขาไม่เคยพบไอพลังแบบนี้มาก่อน อานุภาพของมันไม่เพียงแสดงผลต่อร่างกาย มันยังแสดงผลต่อจิตใจด้วย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาทำร้ายตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจละก็ มีความเป็นไปได้สูงว่าเขาอาจจะจมลงสู่ท่ามกลางความทรมานอันไร้ที่สิ้นสุดจนกระทั่งเสียชีวิตได้
ซือหมิงอี้รู้ว่าคราวนี้เขาคำนวณพลาดไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าข้างกายลั่วล่างที่ดูเหมือนรังแกง่ายๆ จะมีลูกพี่ที่แข็งแกร่งขนาดนี้อยู่ เขาไม่อยากตาย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้ไพ่ตายก้นหีบของเขา…
“ลูกพี่หลาน ฉันคิดว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด” ซือหมิงอี้ฝืนข่มกลั้นความเจ็บปวดในปาก เอ่ยพลางเค้นรอยยิ้มที่แข็งทื่อออกมา
หลิงหลานได้ยินคำพูดก็เลิกคิ้วขึ้น “เหรอ?” เธอสัมผัสได้ถึงพลังจิตที่แปลกประหลาดสุดขีดสายหนึ่งกำลังพยายามแทรกซึมเข้ามาในเขตแดนจิตใจของเธอ
นี่น่าจะเป็นการโจมตีทางจิตประเภทหนึ่ง แต่ไม่ใช่การโจมตีที่รุนแรงอย่างที่หลิงหลานคุ้นเคย มันไม่ได้ทำให้คนรู้สึกเป็นทุกข์ มันดูเหมือนไม่มีพิษมีภัยอย่างยิ่งยวด แน่นอนว่าหลิงหลานไม่มีทางปล่อยให้พลังจิตที่แปลกประหลาดแบบนี้รุกรานเข้าไปในเขตแดนจิตใจของตัวเองอยู่แล้ว เธออัดกระแทกพลังจิตไปโดยตรง ทำลายพลังจิตสายนี้ทิ้งไปทันที
เป็นไปตามที่คาดไว้จริงๆ ร่างกายของซือหมิงอี้สั่นสะท้านฉับพลันในตอนที่หลิงหลานอัดทำลายพลังจิตสายนี้ ดวงหน้าที่เดิมทีซีดเผือดดูขาวซีดยิ่งกว่าเดิม ไม่มีสีเลือดเลยสักนิดเดียว และเธอก็เห็นอีกฝ่ายขมวดคิ้วแน่นขึ้นมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงหลายครั้ง ดูเหมือนแรงสะท้อนกลับจะทรงพลังอย่างยิ่ง ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจทนรับได้จนหมด
“เสี่ยวซื่อ นี่เป็นพลังจิตอะไรน่ะ?” หลิงหลานความคิดแล่นวาบแล้วก็เอ่ยถามเสี่ยวซื่อที่อยู่ในห้วงจิตใจ
เสี่ยวซื่อตอบกลับทันทีว่า “นี่เป็นพรสวรรค์ระดับกลางอย่างหนึ่ง บุพเพลุ่มหลง!”
เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ว่าหลิงหลานไม่เข้าใจอยู่บ้างก็อธิบายว่า “ความจริงแล้วก็เป็นการสะกดจิตอย่างที่ในโลกพวกเธอว่ากัน ใช้ประโยชน์จากความสามารถนี้มาปรับเปลี่ยนหลอกลวงความคิดของอีกฝ่ายที่มีต่อตนเอง…” เสี่ยวซื่อปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากอย่างลับๆ โชคดีที่ด้านหลังเขายังมีอาจารย์หมายเลขเก้าเป็นผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่เบื้องหลังของเขา ไม่อย่างนั้นเขาไม่สามารถบอกเรื่องพรสวรรค์ที่ลึกลับแบบนี้ออกมาได้จริงๆ…
ใบหน้าที่เย็นชาแต่เดิมของหลิงหลานทะมึนลงอีกครั้ง การที่สวะแบบนี้ได้ครอบครองความสามารถเช่นนี้ มีผู้บริสุทธิ์ตกหลุมพรางอำมหิตไปมากเท่าไหร่แล้วนะ? พริบตาเดียวหลิงหลานตัดสินใจแล้วว่าจะทำลายความสามารถของพรสวรรค์อีกฝ่ายทิ้งไป
ซือหมิงอี้พบว่าการสะกดจิตของตัวเองถูกสะท้อนกลับมา ในใจก็รู้สึกสิ้นหวัง เขารู้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นผู้กลายพันธุ์ทางจิตเช่นเดียวกัน สามารถป้องกันความสามารถนี้ของเขาได้เหมือนกับลั่วล่าง เขาไม่ยอมถูกจับโดยละม่อม เมื่อเห็นหลิงหลานคล้ายกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาก็กระทืบเท้าขวาทีหนึ่ง ร่างของเขากระโจนไปหาลั่วล่าง คิดว่าจับลั่วล่างเป็นตัวประกัน…
ขอเพียงลั่วล่างตกอยู่ในมือเขา ขอเพียงอีกฝ่ายหวั่นเกรงว่าจะโจมตีโดนคนข้างๆ ขอเพียงเขาสามารถลั่นสัญญาณเตือนภัยของศูนย์บัญชาการเทียนจี เขาก็เอาชีวิตรอดต่อไปได้ ใช่แล้ว เขาไม่อยากตาย…เพราะว่าเขามองเห็นจิตสังหารอันไร้ที่สิ้นสุดจากในแววตาของฝ่ายตรงข้าม!
“รนหาที่ตาย!”
หลิงหลานเห็นซือหมิงอี้ทำการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายโดยการจับตัวลั่วล่าง เธอก็ตวาดอย่างหนักหน่วงด้วยความเดือดดาล
สิ้นเสียงนี้ ร่างของซือหมิงอี้ที่กำลังพุ่งขึ้นมาก็กระแทกลงกับพื้นทันใด การจู่โจมทางจิตอันทรงพลังโจมตีใส่สมองของเขา เขารู้สึกได้แค่เพียงสมองของตัวเองคล้ายกับถูกอัดอย่างรุนแรง หลังจากนั้นเขาเหมือนกับได้ยินเสียง ‘โพละ’ ดังขึ้นเบาๆ สมองของเขาเหมือนกับระเบิดออกก็ไม่ปาน จากนั้นเขาก็หมดสติไปทันที
หลิงหลานขยับร่างทีเดียวก็มาถึงข้างกายลั่วล่าง เธอเอ่ยถามว่า “ลั่วล่าง รู้สึกยังไงบ้าง?”
“ยังดีอยู่ ลูกพี่! ฉันแค่รู้สึกไม่มีแรง” ถึงแม้ใบหน้าของลั่วล่างจะแดงระเรื่อ ยาปลุกในร่างกายเขาเริ่มทำงานแล้ว แต่เนื่องจากมันเพิ่งจะเริ่มต้น ดังนั้นจึงไม่ได้รุนแรงมาก เขายังอดทนไหว ในใจเขารู้สึกอับอายอย่างมากที่ตกหลุมพรางถูกจับง่ายดายขนาดนี้ สุดท้ายยังต้องรบกวนลูกพี่หลานออกหน้ามาช่วยเขาไว้
“ยาชา?” หลิงหลานตรวจสอบภายในร่างกายของลั่วล่างก่อนจะพบว่ายาชาถูกกำจัดไปแล้ว ขอเพียงอดทนรอก็สามารถกลับคืนเป็นปกติได้ เพียงแต่ภายในร่างกายของลั่วล่างยังมียาที่แปลกประหลาดสุดขีดอยู่อย่างหนึ่ง
“นี่คืออะไรน่ะ?” หลิงหลานงุนงงเล็กน้อย
“ลูกพี่ ลั่วล่างโดนยาปลุกแล้ว” เสี่ยวซื่อเล่าสภาพของลั่วล่างให้พวกอาจารย์ของมิติการเรียนรู้ฟังแล้วก็ถูกอาจารย์หมายเลขเก้าเตะออกมาทันที อาจารย์หมายเลขห้าก็ทำหน้ายิ้มละไม โชคดีที่อาจารย์หมายเลขสี่เห็นเขาดูลำบาก ก็บอกคำตอบเขาให้ฟังเบาๆ…เพียงแต่ ยาปลุกคืออะไร? เสี่ยวซื่อตัดสินใจค้นในคลังข้อมูลตัวเองดีๆ
“ว่าไงนะ? ยาปลุก?!” เส้นเลือดบนหน้าผากของหลิงหลานโป่งขึ้นมา สายตาเย็นชาอำมหิตกวาดมองไปยังซือหมิงอี้ที่สลบไสลอยู่บนพื้น จากนั้นเธอก็กระทืบไปที่แผ่นหลังของอีกฝ่ายโดยไม่ลังเล อัดขยี้เขาอย่างโหดเหี้ยมก่อนจะได้ยินเสียงกระดูกหักดังกรอบ กระดูกสันหลังของซือหมิงอี้ถูกหลิงหลานบดขยี้ทันใด
“ไม่รู้ว่ามียาถอนพิษหรือเปล่า? เสี่ยวซื่อค้นหาตรงนี้ดูสักหน่อย” หลิงหลานสั่งการไปพลาง บีบโซ่ที่ทำร้ายลั่วล่างให้หักไปพลาง
———————–