เสียง ‘ตู้ม’ ดังขึ้นสนั่น หุ่นรบระดับกลางถูกกระแทกลอยออกไปเนื่องจากการชนกันในครั้งนี้ ส่วนร่างกายของหลิงเซียวก็สั่นไหวเล็กน้อยเพราะแรงอันน่าตกใจของวิชากระโดดถีบนี้เช่นกัน
“นี่ไม่วิชากระโดดถีบทั่วไป…” หลิงเซียวอึ้งไป หรือว่าลูกสาวของเขาใส่เทคนิคพิเศษบางอย่างลงไปในในวิชากระโดดถีบนี้?
ยังไม่ทันที่หลิงเซียวจะหายตกใจ เรื่องที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่าก็เกิดขึ้น ความเร็วของหุ่นรบระดับกลางที่ลอยออกไปยังเร็วกว่าตอนที่เขาโจมตีหลิงเซียวเสียอีก หลิงหลานพลิกร่างกลางอากาศ ไม่ได้ควบคุมหุ่นรบ ตรงกันข้ามเธอกลับปล่อยให้หุ่นรบกระแทกไปยังกำแพงของห้องส่วนตัว…
“อ้าๆๆ เขากำลังจะชนกับกำแพงแล้ว!” ถึงแม้จ้าวจวิ้นจะไม่พอใจอย่างมากกับการที่หุ่นรบระดับกลางใช้ท่วงท่าการประเมินพื้นฐานมาต่อสู้ แต่เมื่อเขาเห็นอีกฝ่ายปล่อยให้หุ่นรบให้ชนเข้ากับกำแพงด้วยความเร็วสูงเช่นนี้ จ้าวจวิ้นก็ร้องตะโกนขึ้นมาด้วยความกังวลทันที
มีเพียงหลิงเซียวและหลี่หลานเฟิงสองคนที่มีประกายแสงพาดผ่านแววตาพร้อมกัน ทว่าความหมายที่แฝงอยู่ในนั้นกลับแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
หลิงเซียวคิดว่าลูกสาวของเขาไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เขาเชื่อว่าลูกสาวเขาไม่มีทางชนเข้ากับกำแพงจริงๆ ส่วนในใจหลี่หลานเฟิงก็ผุดทักษะหนึ่งที่เป็นกระต่ายเท่านั้น ‘กระต่ายทะยานฟ้า!’ หุ่นรบกระต่ายมักจะใช้กระบวนท่านี้พลิกสถานการณ์ในตอนที่อยู่ท่ามกลางความเร็วที่ดูเหมือนกับไม่สามารถควบคุมได้
อย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ในตอนที่หุ่นรบระดับกลางกำลังจะชนเข้ากับกำแพง หลิงหลานที่เตรียมพร้อมอยู่นานแล้วก็บังคับต้นขาที่แข็งแกร่งทรงพลังสองข้างของหุ่นรบถีบไปที่กำแพงอย่างรุนแรง ก่อนจะได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังลั่น และทั่วทั้งห้องสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที เกือบจะทำให้หุ่นรบของจ้าวจวิ้นและหลี่หลานเฟิงที่ชมการประลองหกคะเมนตีลังกา
หุ่นรบระดับกลางยืมแรงสะท้อนอันมหาศาลหลังจากลูกถีบนี้พาหุ่นรบพุ่งเข้าไปหาหุ่นรบระดับราชันที่ยืนอยู่กลางเวทีราวกับสายฟ้าฟาด…
จ้าวจวิ้นกับหลี่หลานเฟิงตอบสนองรวดเร็วสุดขีด รีบบังคับหุ่นรบให้ยืนอย่างมั่นคง เมื่อพวกเขาทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้ว พอมองไปบนเวทีประลองอีกครั้งกลับเห็นหุ่นรบระดับกลางกำลังพุ่งตัวไปมาอยู่ในห้องส่วนตัวราวกับสายฟ้าก็ไม่ปาน
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!… เสียงชนกันอย่างรุนแรงของหุ่นรบดังก้องไปทั่วทั้งห้องประลองส่วนตัวราวกับพายุฝนโหมกระหน่ำ จากนั้นก็หุ่นรบทั้งสอง หนึ่งรวดเร็วดังสายฟ้า แทบจะมองไม่เห็นการเคลื่อนที่โคจรของเขา และอีกตัวก็ยื่นตระหง่านอยู่กลางเวทีประลอง มั่นคงดุจเขาไท่ซาน รับมือกับท่าโดยที่ไม่ขยับเขยื้อนราวกับขุนเขา
“นี่เป็นวิชากระโดดถีบ วิชากระโดดถีบนับครั้งไม่ถ้วน…” จ้าวจวิ้นจับตามองหลายสิบวินาทีแล้วก็รู้สึกว่าดวงตาแสบอยู่บ้าง ถึงขนาดที่ยังมีร่องรอยความเจ็บปวดเสียดแทง เขาอดยื่นมือขยี้ตาตัวเองไม่ได้ ที่แท้ความเร็วของหุ่นรบระดับกลางในตอนนี้เหนือกว่าการมองเห็นความเคลื่อนไหวของจ้าวจวิ้นไปแล้ว เขาที่เพียงจ้องหน้าจออยู่ตลอดเวลาก็รู้สึกรับไม่ไหวอยู่บ้างเหมือนกัน
“อื้อ มันคือวิชากระโดดถีบ…” แต่นี่ไม่ใช่วิชากระโดดถีบทั่วไป ไม่อย่างนั้นหุ่นรบระดับราชันตัวนั้นคงไม่แอบเปลี่ยนท่ายืนเหมือนกัน เมื่อเผชิญหน้ากับความเลินเล่อของจ้าวจวิ้น หลี่หลานเฟิงผู้แสนรอบคอบยังคงสังเกตเห็น หุ่นรบระดับราชันที่เดิมทียืนให้ขาเป็นเส้นตรง บัดนี้ขาทั้งสองข้างของหุ่นรบแยกออกจากกันแล้ว และเข่าก็งอลงเล็กน้อย นี่คือท่าเฉพาะของหุ่นรบที่ทำให้ร่วงกายช่วงล่างมั่นคง เห็นได้ว่าวิชากระโดดถีบของหุ่นรบระดับกลางมอบแรงโจมตีอันมหาศาลให้ผู้ควบคุมระดับราชัน ทำให้อีกฝ่ายจำเป็นต้องใช้ท่าที่มั่นคงที่สุดนี้มาทำการป้องกัน
และคนที่สามารถใช้วิชากระโดดถีบที่แรงพลังแบบนี้ได้อย่างเชี่ยวชาญในความทรงจำของหลี่หลานเฟิง มีเพียงหุ่นรบกระต่ายที่ทำได้เท่านั้น หรือว่ากระต่ายที่เขาตามหาเมื่อเจ็ดปีก่อนก็คือนักรบหุ่นรบชั้นกลางที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้? แต่ดูจากความแข็งแกร่งของหุ่นรบกระต่าย เขาไม่อาจหยุดอยู่ในหุ่นรบระดับกลางได้นะ… คำถามที่อยู่ในใจหลี่หลานเฟิงเหมือนจะได้รับคำตอบแล้ว แต่มันก็นำไปสู่คำถามที่มากขึ้นเพราะเหตุนี้…
ในขณะที่จ้าวจวิ้นกำลังขยี้ตาตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ส่วนหลี่หลานเฟิงกำลังสงสัยอย่างหนักหน่วง หุ่นรบระดับกลางที่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงมาตลอด จู่ๆ ก็ปะทะเข้ากับหุ่นรบระดับราชันอย่างดุเดือดอีกครั้งหลังจากนั้นก็ร่วงไปที่มุมหนึ่งของเวทีประลอง เนื่องจากการหยุดเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงอย่างกะทันหัน มันก็ไถลตัวไปข้างหน้าประมาณห้าเมตรแล้วค่อยยืนได้อย่างมั่นคง
บางทีอาจเป็นเพราะความเคยชินต่อการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงที่หยุดกะทันหันเช่นนี้ ถึงแม้ว่าหุ่นรบระดับกลางจะไถลออกไปประมาณห้าเมตร แต่ร่างกายช่วงบนของมันไม่ไหวติงเลยแม้แต่น้อย นี่ก็พิสูจน์ได้ว่าการไถลพวกนี้อยู่ในการคำนวณของหุ่นรบระดับกลาง
หลี่หลานเฟิงสบตากับจ้าวจวิ้น ไม่รู้ว่าทำไมหุ่นรบระดับกลางหยุดการโจมตีของเขาอย่างกะทันหันภายใต้สถานการณ์ที่ได้เปรียบ หลี่หลานเฟิงผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขานึกได้ว่าหุ่นรบกระต่ายเคยบอกว่า ไว้ครั้งหนึ่งว่าท่วงท่ารกระโดดถีบด้วยความเร็วสูงเช่นนี้สร้างภาระมหาศาลให้กับหุ่นรบ หุ่นรบฝึกฝนฝืนทนได้ไม่มากเท่าไหร่ หรือว่าหุ่นรบระดับกลางก็ไม่อาจทนได้เช่นเดียวกัน?
“ดูเหมือนว่าลูกจะเข้าใจแล้วสินะ” หลิงเซียวเห็นแบบนี้ก็เก็บท่วงท่าป้องกันกลับมา พูดกับหลิงหลานด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ครับ ขอบคุณคุณพ่อที่สั่งสอน” หลิงหลานตอบกลับอย่างซาบซึ้งใจ การเคลื่อนไหวชุดนั้นของเธอเมื่อสักครู่นี้คุ้นเคยจนหลอมเข้าไปในกระดูกของเธอแล้ว พอบังคับขึ้นมา เธอไม่รู้สึกถึงการกินแรงเลยสักนิดเดียว ถึงขนาดที่ทำได้ตามใจชอบสุดขีด
แต่ไม่ว่าจากความเร็วหรือว่าพลังโจมตี ก็ไม่ด้อยไปกว่าพวกทักษะระดับสูงที่เธอใช้เลย ถึงขนาดที่ยังเหนือกว่าเล็กน้อย เพราว่าการควบคุมของเธอยังมีแรงเหลืออยู่ ไม่เหมือนกับเมื่อสักครู่นี้ที่เธอใช้พลังจนหมด ในขณะเดียวกันก็ทำให้หุ่นรบทำงานหนักเกินพิกัด ทำลายอายุการใช้งานของหุ่นรบ
นี่ก็ทำให้หลิงหลานเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความหมายในคำพูดประโยคนั้นของหลิงเซียว เธอที่เข้าใจแล้วก็หยุดการโจมตี เพราะว่าเธอได้รับสิ่งที่เธอต้องการจากการประลองชี้แนะครั้งนี้แล้ว ทำภารกิจของมันสำเร็จแล้ว สู้ต่อไปก็เป็นการเสียเวลาเปล่า
คำพูดของหลิงหลานทำให้รอยยิ้มของหลิงเซียวกดหนักมากขึ้น หลิงเซียวรู้ดีว่าหลิงหลานเข้าใจแล้วจริงๆ ยืนยันอีกครั้งว่าความสามารถในรู้แจ้งของลูกสาวเขาเหนือกว่าคนอื่นๆ หนึ่งระดับแน่นอน
“วิชากระโดดถีบของลูกน่าจะเข้าสู่ทักษะพิเศษบางอย่างแล้ว ลูกคิดเรื่องนี่ได้ยังไง?” หลิงเซียวสงสัยอย่างยิ่งยวด ควรรู้เอาไว้ว่า คนที่เพิ่งเริ่มเรียนการควบคุมหุ่นรบก็จะฝึกฝนการควบคุมอย่างทื่อๆ เพื่อให้สำเร็จเท่านั้น ไม่ได้พิจารณาเรื่องการผสมผสานการควบคุมเหล่านี้เลย หลิงหลานสามารถทำเรื่องนี้ได้ ทำให้หลิงเซียวประหลาดใจอย่างมากโดยไม่ต้องสงสัย เพราะว่าตอนนั้นเขาไม่ได้ทำเหมือนกัน
“บังเอิญพอดีน่ะครับ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มเรียนการควบคุมหุ่นรบ ผมเจอคนที่เพิ่งเริ่มเรียนการควบคุมหุ่นรบเหมือนกัน อีกฝ่ายเป็นอัจฉริยะด้านควบคุมหุ่นรบ ทุกท่วงท่าต่างทำได้จนถึงขีดสุด ผลคะแนนของเขาก็ดีมากเลย ตอนแรกผมสู้เขาไม่ได้ นี่ทำให้ผมยอมรับไม่ได้เอามากๆ เรื่องที่เขาสามารถทำได้ มีสิทธิ์อะไรที่ผมจะทำไม่ได้กัน? ดังนั้นก็เลยครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะเพิ่มความเร็วของหุ่นรบ สับเปลี่ยนการเคลื่อนไหวต่างๆ อย่างสมบูรณ์ยังไง ผมใช้ทักษะส่วนขาของทักษะการต่อสู้มือเปล่าใส่หุ่นรบโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะพบว่ามันก็สร้างผลลัพธ์ได้ในระดับหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้นก็เลยศึกษาขึ้นมา…” หลิงหลานซ่อนความจริงส่วนหนึ่งไว้ บอกเรื่องเธอกับหุ่นรบเสือชีตาห์ในตอนนั้นให้คุณพ่อฟัง…
ในขณะที่หลิงหลานกำลังเล่า เธอก็ตระหนักได้ว่าการที่เธอทำการควบคุมการประเมินพื้นฐานได้อย่างคล่องแคล่วเช่นนี้ หุ่นรบเสือชีตาห์ตัวนั้นย่อมมีคุณงามความดีมาเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน อีกฝ่ายอยู่เป็นเพื่อนเธอ ทำให้ช่วงเวลาฝึกฝนที่น่าเบื่อหน่ายเปลี่ยนเป็นน่าสนใจมากโดยไม่สงสัย พอคิดอย่างถี่ถ้วนขึ้นมา การควบคุมพื้นฐานทั้งหมดที่หลิงหลานเชี่ยวชาญในตอนนี้มีเพียงการควบคุมการประเมินพื้นฐานเท่านั้น มันเป็นสิ่งที่หลิงหลานฝึกฝนได้ดีที่สุดใช้ได้ตามใจชอบมากที่สุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมตอนที่หลิงเซียวให้หลิงหลานใช้การควบคุมพื้นฐาน เธอเลือกอันนี้โดยไม่ต้องคิดเลยสักนิดเดียว ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่านี่ถึงจะเป็นการหลอมเข้าไปในกระดูกเธอ กลายเป็นสัญชาตญาณเธอ เป็นการควบคุมพื้นฐานที่เธอชำนาญอย่างแท้จริง
เมื่อเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว หลิงเซียวก็เตรียมตัวออฟไลน์ ถึงแม้เขาไม่ค่อยสนใจผลการทดสอบของโรงเรียนทหาร ในฐานะที่เป็นหัวหน้าทีมทดสอบของกองพล เขาจะต้องโผล่หน้าไปสนใจผลการทดสอบก่อนสิ้นสุดการทดสอบในแต่ละวัน มิเช่นนั้น พวกระดับสูงของโรงเรียนทหารอาจเข้าใจผิดคิดว่ากองพลที่ยี่สิบสามไม่ให้ความสำคัญกับโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งเลย…ไม่ว่ายังไงเขาก็จะต้องรักษาความสัมพันธ์ดีๆ กับโรงเรียนทหารไว้เพื่อที่จะสามารถรับลูกสาวเข้ากองพลที่ยี่สิบสามได้อย่างราบรื่นในอนาคต
หลังจากที่หลิงเซียวบอกลาลูกสาวของเขาแล้วก็ออฟไลน์จากในห้องส่วนตัวทันที ไว้ออนไลน์ใหม่อกครั้ง หุ่นรบก็จะปรากฏตัวขึ้นในห้องโถงของหอประลองหุ่นรบโดยอัตโนมัติ ถ้าหลิงหลานต้องการคำชี้แนะอีกครั้ง เขาก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาหาเส้นทางอย่างยากลำบากอีกต่อไปแล้ว…
หลี่หลานเฟิงเห็นหุ่นรบระดับราชันหายตัวไปแล้ว เขาก็รู้ว่าพวกเขากำลังจะจากไป เขารีบก้าวขึ้นหน้าไปทันทีด้วยความตื่นเต้น เชื่อมต่อกับอุปกรณ์สื่อสารภายนอก “สวัสดี รบกวนนายรอเดี๋ยวก่อนได้ไหม!”
หลิงหลานกำลังจะยืนยันออฟไลน์ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ก็หยุดชะงักการเคลื่อนไหว เงยหน้ามอบไปทางหุ่นรบระดับสูงที่ส่งเสียงมาตัวนั้น
เมื่อเห็นหุ่นรบระดับกลางจ้องมองเขาอย่างเงียบเชียบ หลี่หลานเฟิงก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทว่ายังคงเอ่ยถามออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว เพราะเขาไม่ต้องการพลาดโอกาสไปอีกครั้ง “ขอถามหน่อยนะ เมื่อเจ็ดปีก่อน นายเคยไปที่เมืองหลวงดาวเว่ยหลานของโลกเสมือนจริงหรือเปล่า?”
“ดาวเว่ยหลาน? เมืองหลวง?” หลิงหลานทำหน้างุนงง เจ็ดปีที่ก่อนเธอแน่ใจว่าให้เสี่ยวซื่อแอบพาเธอเข้าไปในโลกเสมือนจริง แต่ตอนนั้นสถานที่ที่เธอให้เสี่ยวซื่อพาไปก็คือเมืองหลวงของดาวโดฮานี่นา
“เอ่อ ลูกพี่… ฉันลืมบอกเธอไปเลย ตอนนั้นเธอให้ฉันพาไปเมืองหลวง ฉันเลือกดาวเว่ยหลานโดยไม่ได้ตั้งใจ….” เสี่ยวซื่อที่ถูกคำพูดของนักรบหุ่นรบชั้นสูงดึงดูดมาก็บอกความผิดพลาดเมื่อตอนนั้นให้หลิงหลานฟังอย่างเด็ดเดี่ยว
หลิงหลานได้ยินคำพูดก็ระมัดระวังตัวขึ้นทันที “เขารู้ได้ยังไงว่าฉันเคยไปที่ดาวเว่ยหลานเมื่อเจ็ดปีก่อน? หรือว่าเปิดเผยพิรุธตรงไหนสักแห่ง?”
เสี่ยวซื่อได้ยินก็เครียมตาม ใช่แล้ว ตอนนั้นเขากับลูกพี่ลอบเข้าไป จะถูกคนพบเจอได้ยังไง? เสี่ยวซื่อรีบสัมผัสพลังจิตของอีกฝ่ายทันที….
“หืม?” หลี่หลานเฟิงนิ่วหน้าเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบางอย่างรอบตัว แต่ไม่สามารถบอกสาเหตุได้อย่างแน่ชัด เขาระมัดระวังตัวใช้ความสามารถผีซวีห่อหุ้มพลังจิตของตัวเอง ไม่ว่าเขาจะคิดมากไปหรือไม่ แต่หลี่หลานเฟิงยังคงเลือกปกป้องตัวเองทันที
“อ้า…พลังที่คุ้นเคยมากๆ!” เสี่ยวซื่อสัมผัสได้ถึงความสามารถผีซวีของหลี่หลานเฟิงก็อุทานออกมาทันทีแล้วพุ่งกลับไปที่ห้วงจิตใจของหลิงหลานอย่างฉับไว เขารีบค้นข้อมูลพลังในคลังความทรงจำแล้วเปรียบเทียบกับแหล่งพลังเมื่อสักครู่นี้ ไม่นานเขาก็ขุดหุ่นรบเสือชีตาห์ที่ถูกซ่อนไว้ลึกออกมา และก็เป็นผีซวีที่พวกเขาพบเจอในตอนนั้นด้วย
“ลูกพี่ พวกเราเจอคนรู้จักแล้ว!” เสี่ยวซื่อตอบอย่างตื่นเต้น เพราะว่าหลิงหลานห้ามไม่ให้เขาสืบเสาะพลังจิตของอีกฝ่าย ดังนั้นหลี่หลานเฟิงยืนอยู่ที่นี่มาตั้งนาน เสี่ยวซื่อไม่ได้สังเกตเห็นอะไรเลย แน่นอนว่าก็เพราตอนนั้นเสี่ยวซื่อกำลังช่วยหลิงหลานบังคับหุ่นรบอย่างใจจดใจจ่อ ยุ่งจนไม่มีเวลาไปแบ่งสมาธิ
“ใคร?” หลิงหลานเลิกคิ้วถามด้วยความใคร่รู้
“ก็หุ่นรบเสือชีต้าร์คนนั้นไง! กับผีซวีตอนที่พวกเราไปดูการประลองหุ่นรบด้วยกันไง!” เสี่ยวซื่อตอบอย่างกระตือรือร้น
“เป็นเขา…” หลิงหลานตะลึงงัน เมื่อตะกี้นี้ยังพูดถึงเขาให้คุณพ่อฟัง ไม่นึกเลยว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นแบบนี้? ดูเหมือนว่าเธอกับเสือชีตาร์ตัวนี้มีวาสนาต่อกันจริงๆ