“ดี ถ้างั้นฉันก็มอบทุกอย่างให้พวกนายจัดการแล้ว” หลิงหลานกล่าวอย่างจริงจัง หลังจากนั้นเธอก็หันหน้าเอ่ยกับฉางซินหยวนที่อยู่ด้านข้างว่า “ฉางซินหยวน นายตามพวกเขาไป!”
ฉางซินหยวนได้ยินคำกล่าวก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “ทำไมล่ะ ลูกพี่หลาน?”
“นี่คือการสู้รบที่แท้จริง การควบคุมหุ่นรบของนายไม่สามารถทำให้นายเอาชีวิตรอดในสนามรบได้อย่างราบรื่น” หลิงหลานบอกเหตุผลที่เธอทำแบบนี้ตรงๆ โดยที่ไม่ไว้หน้าฉางซินหยวน นี่ไม่ใช่โลกหุ่นรบ มีหุ่นรบที่ฉางซินหยวนดัดแปลงเอง หุ่นรบในคลังเก็บหุ่นรบล้วนเป็นหุ่นรบมาตรฐาน ก็เหมือนกับที่หลิงหลานพูดไว้ อยากเอาชีวิตรอดในสนามรบจำเป็นต้องพึ่งพาทักษะการควบคุมของตัวเอง
คำพูดที่ไม่ไว้หน้าเลยสัดนิดเดียวของหลิงหลานทำให้ฉางซินหยวนก้มหน้าลงด้วยความอับอาย ในใจลอบทอดถอนใจ ดูเหมือนว่าเธอไม่สามารถถอดบทบาทไลฟ์โค้ชได้ชั่วขณะ ดังนั้นเธอจึงกล่าวต่อว่า “โอกาสในการต่อสู้ยังมีอีกมาก ต่อไปก็ฝึกในการควบคุมให้ดีๆ เวลานั้นนายก็สามารถติดตามพวกเราไปออกปฏิบัติการด้วยกันได้แล้ว”
คำพูดปลอบโยนของหลิงหลานไม่ได้ทำให้ในใจฉางซินหยวนรู้สึกดีขึ้นเลย เขาก้มหน้างุด สองมือกำแน่น ในใจเกิดความหดหู่และขุ่นเคืองอย่างที่ไม่อาจสะกดกลั้นลงได้ เขาหดหู่ใจเพราะว่าเขาถูกทิ้งอีกแล้ว นี่เป็นครั้งที่สองแล้วนะ และเหตุผลทั้งสองครั้งต่างเหมือนกัน การควบคุมหุ่นรบของเขาไม่ดี
ถึงแม้เขารู้ว่าโดยทั่วไปแล้วฝ่ายแนวหลังของหน่วยรบอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องวิ่งไปที่สนามรบด้วยตัวเอง ใช้พรสวรรค์ของตัวเองรับใช้หน่วยรบก็ได้เหมือนกัน แต่เขาไม่อยากกลายเป็นฝ่ายแนวหลังแบบนั้น เขาอยากกลายเป็นหลินจงชิง เขาอยากกลายเป็นหลี่ซื่ออวี๋ เขาอยากกลายเป็นหานจี้จวิน พวกเขาต่างเป็นฝ่ายแนวหลัง แต่กำลังรบยอดเยี่ยมเหมือนกันจนทำให้เขาต้องแหงนหน้ามอง ยิ่งอยู่กับพวกเขานานก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ พรสวรรค์ดัดแปลงพัฒนาหุ่นรบที่เขาภาคภูมิใจแต่เดิมไม่อาจนำออกมาให้ชมตรงนี้ได้เลย…ใช่แล้ว เขาโกรธที่ตัวเองไร้ความสามารถ ถ้าหากตอนนั้นเขาเสียเวลาตั่งใจฝึกฝนการควบคุมหุ่นรบให้ดีๆ บางทีเขาอาจไม่จำเป็นต้องถูกทิ้งก็ได้
อย่างไรก็ตาม นี่คือครั้งสุดท้าย เขาไม่มีทางให้ลูกพี่หลานทอดทิ้งเขาอีกเป็นครั้งที่สาม! ฉางซินหยวนตัดสินใจฉับพลัน จากนั้นถึงค่อยเงยหน้ามองไปทางลูกพี่ตัวเองอย่างแน่วแน่ และกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ฉันจะไม่เป็นตัวถ่วงอีกต่อไปแล้ว ลูกพี่หลาน ฉันพูดได้ทำได้”
ต่อให้เป็นอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยที่อยู่ด้านข้างต่างก็สัมผัสได้ถึงการตัดสินใจของฉางซินหยวน ในใจพวกเขายิ่งนับถือความสามารถในการจูงใจของหลิงหลาน คนที่ลูกพี่หลานรับมา ต่อให้ไร้ประโยชน์อีกแค่ไหน ผ่านไปไม่นานก็จะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ และเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถทำได้เลย
คำพูดของฉางซินหยวนทำให้หลิงหลานหวั่นไหว เธอพยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าวว่า “ฉันเชื่อนาย!” ลูกทีมอยากแข็งแกร่งขึ้น หลิงหลานย่อมยินดีและมีความสุขที่ได้เห็น
จากนั้นหลิงหลานก็หันหน้าไปพูดกับอู่จย่งและหลี่อิงเจี๋ยว่า “พวกนายรีบออกปฏิบัติการทันที ถ้าเกิดศัตรูลงสู่พื้นได้สำเร็จและฝ่าเข้ามาในโรงเรียน ก็จะไปไม่ได้แล้วจริงๆ” เขตที่พักมีโล่แสงป้องกันทั่วทั้งเขต เมื่อโล่แสงถูกเปิดใช้งานเพราะไฟสงคราม คนในเขตที่พักก็จะหนีออกไปไม่ได้แล้ว นอกเสียจากโล่แสงป้องกันจะถูกทำลายจากพลังภายนอก
หลิงหลานไม่ได้คาดหวังโล่แสงป้องกันนี้ไว้สูงเลย ในสายตาเธอ นี่เป็นการออกแบบที่ล้มเหลวอย่างแท้จริง ให้นักเรียนด้านในกลายเป็นเต่าในโอ่ง เมือโล่แสงป้องกันถูกศัตรูทำลาย นักเรียนที่ถูกบีบให้อยู่ในเขตที่พักก็จะถูกศัตรูเข่นฆ่าได้ตามใจชอบ นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมหลิงหลานถึงต้องขอให้นักรียนของกลุ่มนักเรียนใหม่ไปยังสถานที่ป้องกันการโจมตีทางอากาศ
“ได้ ลูกพี่หลาน!” อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยรู้ว่าเวลาบีบกระชั้น ไม่มีเวลาให้อืดอาดชักช้าอีก พวกเขารีบพาฉางซินหยวนมาที่ด้านนอก แล้วพาคนของกลุ่มสองออกจากบ้านพักของหลิงหลานรวดเร็วก่อนจะรีบวิ่งไปยังจุดหมายปลายทางของพวกเขา
หลังจากที่ลูกทีมกลุ่มสองจากไป สมาชิกกลุ่มนักเรียนใหม่ที่เดิมทีมีเกือบสามร้อยกว่าคนลดลงไปมากกว่าครึ่งทันที เหลือเพียงลูกทีมประมาณหนึ่งร้อยคน ส่วนใหญ่ต่างเป็นนักเรียนของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ พวกเขาเคยติดตามหลิงหลานต่อสู้ประจัญบานและปล้นชิงยานบินมาก่อน ตอนนี้พวกเขาต้องเปิดคลังเก็บหุ่นรบของโรงเรียนทหาร แล้วขึ้นไปบนหุ่นรบทำการสู้รบของจริงล่วงหน้าภายใต้การนำของหลิงหลานอีกครั้ง พวกเขาที่เป็นลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือไม่รู้สึกหวาดกลัวสงครามเลย ตรงกันข้ามมันกลับทำให้พวกเขาตื่นเต้นผิดปกติ
ควรรู้เอาไว้ว่ามีเพียงนักเรียนที่มีผลคะแนนยอดเยี่ยมเป็นพิเศษเท่านั้นถึงจะสามารถมีโอกาสขึ้นไปบนหุ่นรบต่อสู้จริงได้ในตอนปีสาม ไม่เช่นนั้นก็ได้แต่รอปีสี่ถึงจะสามารถขึ้นไปบนหุ่นรบได้อย่างเป็นทางการ แต่ภายใต้การนำของหลิงหลานในตอนนี้ พวกเขาได้รับโอกาสเร็วขึ้นสองปีจนถึงสามปี ถึงขนาดที่เข้าสู่ขั้นตอนสู้รบจริงทันที นี่ก็ทำให้พวกเขารับรู้ได้อีกครั้งว่าการติดตามลูกพี่หลานย่อมตื่นเต้นเร้าใจมีเนื้อให้กิน สามารถทำเรื่องบางอย่างที่เดิมทีแค่คิดก็ยังไม่กล้าคิดได้…
หลิงหลานเห็นใบหน้าที่ตื่นเต้นผิดปกติเหล่านี้ก็ลอบกังวลอยู่บ้าง ตื่นเต้นมากเกินไปไม่ใช่ไม่ดี แต่ไม่อาจสูญเสียความเยือกเย็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ติดตามเธอตั้งแต่สถาบันลูกเสือ ทุกครั้งที่เธออยากทำเรื่องใหญ่ เพื่อนเหล่านี้ต่างสนับสนุนเธอโดยไม่นึกเสียใจ พูดได้ว่า หากไม่มีการสนับสนุนของพวกเขา การต่อสู้ประจัญบานเมื่อตอนนั้นไม่มีทางเริ่มขึ้นได้เลย หากไม่มีการร่วมมืออย่างสุดกำลังของพวกเขา ก็ไม่ทางปล้นยานบินได้ราบรื่นแบบนี้
ครั้งนี้เธอใจกล้าเลือกเปิดคลังเก็บหุ่นรบ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาเรื่องความปลอดภัยของตัวเองจริงๆ เมื่อเผชิญหน้ากับหุ่นรบศัตรูที่ปกคลุมเต็มฟ้า มีเพียงหุ่นรบเท่านั้นถึงจะทำให้หลิงหลานเกิดความรู้สึกปลอดภัย แต่ส่วนที่ใหญ่กว่านั้นคือ จริงๆ แล้วเธออยากเพิ่มหลักประกันให้พวกเพื่อนที่เชื่อใจเธอเหล่านี้ และสามารถควบคุมความเป็นความตายของตัวเองได้อย่างแท้จริง ดังนั้นเธอหวังว่าเมื่อผ่านคืนนี้ไป วันพรุ่งนี้ยังคงเห็นเพื่อนเหล่านี้ได้…
หลิงหลานเปิดไอพลังทั่วทั้งร่าง สายตาเย็นเยียบกวาดมองอย่างเย็นชารอบหนึ่ง ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างรู้สึกว่าตัวเองถูกสายตาเย็นเยียบขูดผ่านผิวหนัง ไอเย็นสายหนึ่งพุ่งขึ้นจากหัวใจ อารมณ์ที่เดิมทีตื่นเต้นพลันเย็นลง
เมื่อเห็นสายตาของทุกคนปรากฏความแจ่มใสและเยือกเย็น หลิงหลานค่อยเอ่ยปากพูดช้าๆ ว่า “ฉันย้ำอีกครั้ง นี่เป็นการสู้รบของจริง ไม่ใช่เกม ไม่ใช่โลกหุ่นรบเสมือนจริงที่ตายแล้วยังสามารถฟื้นคืนชีพได้ พวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรู เป็นศัตรูที่แท้จริง พวกเขาเป็นราชันทหารที่ผ่านมานับร้อยศึก เป็นเพชฌฆาตที่น่ากลัว ถ้าพวกเราตายก็คือตายอย่างแท้จริง ไม่มีโอกาสอีกเป็นครั้งที่สอง…ต่อให้เป็นแบบนี้ พวกนายก็จะตามฉันไปที่คลับเก็บหุ่นรบ ควบคุมหุ่นรบต่อสู้กับศัตรูถึงแม้จะตัวตายไหม?”
“สู้! สู้! สู้!” คำพูดของหลิงหลานทำให้ทุกคนเลือดร้อนปั่นป่วน พวกเขาคล้ายกับกลับไปตอนที่ต่อสู้ประจัญบานในเวลานั้น หลิงหลานเคยถามทำนองนี้เหมือนกัน ปีนั้นนักเรียนเกือบทุกคนของชั้นปีเจ็ดของพวกเขาก็ตะโกนออกมาพร้อมกัน ทรงพลังกว่าตอนนี้เสียอีก...
“ถ้างั้นฉันจะวางแผนการรบ ทุกคนฟังฉันให้ดี” หลิงหลานโคจรพลังจิตอีกครั้ง ฝืนถ่ายทอดคำต่อไปของเธอเข้าไปในห้วงจิตใจของเพื่อนร้อยกว่าคนนี้ “พวกเราจะใช้ทำการต่อสู้เป็นทีม ต้องจำไว้ว่า จะต่อสู้ตามลำพังไม่ได้เด็ดขาด จำไว้เสมอว่า ในขณะที่พวกเราต่อสู้เพื่อตัวเอง เราก็ต่อสู้เพื่อเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ข้างกายด้วย และยังมีอีกคำพูดหนึ่ง นั่นก็คือ พวกเราต้องรอดชีวิตกลับมาให้ได้!”
ตอนที่หลิงหลานคำรามคำพูดประโยคสุดท้ายนี้ ก็ได้ใช้พลังจิตที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอ เธอพาพวกเพื่อนไปเปิดคลังเก็บหุ่นรบ ต่อสู้กับศัตรู อยากให้พวกเพื่อนรอดชีวิต อยากให้เพื่อนแข็งแกร่งขึ้น แต่เธอไม่อยากให้พวกเขาตายที่นี่
คำพูดของหลิงหลานทำให้พวกเพื่อนๆ จิตใจตื่นตัว ‘รอดชีวิตกลับมา’ สี่คำนี้ถูกสลักลึกอยู่ในสมองของพวกเขา ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็มองไปที่เพื่อนข้างกายพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อารมณ์ที่เดิมทียังคงกระวนกระวายไม่สงบอยู่บ้าง เมื่อเห็นเพื่อนข้างๆ มันก็หายไปอย่างเงียบเชียบ ลูกพี่หลานพูดถูกแล้ว ข้างกายพวกเขายังมีเพื่อนร่วมรบ ไม่ใช่ต่อสู้ตามลำพัง!
หลิงหลานพานักเรียนร้อยกว่าคนออกจากเขตที่พักอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งไปยังคลับเก็บหุ่นรบที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่ากิโลเมตรเช่นนี้เอง และตอนนี้บริเวณที่ห่างไกลตรงข้ามกับเส้นทางของพวกเขา ปืนใหญ่ส่งเสียงดังสนั่นไม่หยุด รวมถึงท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ถูกปืนใหญ่จุดไฟส่องสว่างครั้งแล้วครั้งเล่า
……
กล่าวถึงกองกำลังภาคพื้นดิน เนื่องจากเรดาร์หาวัตถุเป้าหมายไม่เจอ พวกเขาจึงได้แต่อาศัยกล้องโทรทรรศน์อินฟราเรดค้นหาด้วยแรงกายเท่านั้น หลังจากที่อดทนรอคอยสิบกว่านาที ในที่สุดแขกมาเยือนจากอวกาศที่รอมานานแต่ไม่มาสักทีพวกนั้นก็ปรากฏตัวขึ้นในกล้องโทรทรรศน์อินฟราเรดของพวกเขาแล้ว…
“ผู้การ มีข่าวแล้ว บนฟ้าปรากฏวัตถุบินได้ไม่แน่ชัดนับไม่ถ้วนจริงๆ ด้วย…” กองบัญชาการภาคพื้นดินที่รอคอยข่าวคราวมาโดยตลอดก็ได้รับข่าวที่พวกเขาต้องการแล้วในที่สุด
“แม่มันสิ ไอ้ลูกหมาพวกนั้น ในที่สุดก็มาแล้ว” ผู้บัญชาการดึงหมวกทหารลงมาโดยพลันก่อนจะเขวี้ยงไปที่พื้นอย่างรุนแรง เขาถลกแขนเสื้อตะโกนเสียงดังลั่นว่า “กองกำลังปืนใหญ่ทั้งหมด เตรียมตัวโจมตี เมื่อมาถึงระยะยิงก็ยิงมันหนักๆ!”
“ครับ ผู้การ!” คำพูดของผู้บัญชาการถูกทหารใต้บังคับบัญชาถ่ายทอดลงไปอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการครุ่นคิดแล้วก็สั่งการต่อว่า “ให้กองกำลังหุ่นรบภาคพื้นดินเตรียมต่อสู้ ด้านในโลหะทรงไข่พวกนั้นจะต้องเป็นหุ่นรบอย่างแน่นอน ถ้ามีหุ่นรบที่โชคดีตกลงมาบนพื้น ก็ให้หน่วยหุ่นรบจัดการมันโดยด่วน”
คำสั่งของผู้บัญชาการถูกถ่ายทอดไปยังกองกำลังหุ่นรบภาคพื้นดินอย่างรวดเร็ว กองกำลังหุ่นรบทำการเตรียมต่อสู้นานแล้ว เมื่อได้รับคำสั่งนี้ก็แยกย้ายออกเป็นหนึ่งขบวนต่อหนึ่งหน่วย อ้างอิงจากข้อมูลด้านบน โลหะทรงไข่ที่ตกลงมาปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า ไม่มีใครรู้ว่ามุมไหนจะมีศัตรูร่วงลงมาได้สำเร็จ ดังนั้นพวกเขาจำเป็นต้องแยกย้ายกันออกไปค้นหาพวกหุ่นรบศัตรูที่รอดชีวิตจากการหลบกระสุนปืนใหญ่เหล่านั้น
และตอนนี้เอง ยานอวกาศในน่านฟ้าไม่รู้เลยว่า แผนการลอบโจมตีของพวกเขาที่คิดว่าไม่มีข้อผิดพลาดจะถูกตัวตนสติปัญญาที่แสนอัศจรรย์สร้างข้อมูลเท็จออกมาทำให้กองกำลังภาคพื้นดินตอบสนองได้ทันเวลา ทำการเตรียมตัวโจมตี…
ในที่สุดโลหะทรงไข่ก็เข้าสู่ระยะการโจมตีของปืนใหญ่ภาคพื้นดินแล้ว ปืนใหญ่ทั้งหมดยิงออกไปพร้อมกัน ท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดพลันถูกเปลวไฟที่พุ่งขึ้นฟ้านับไม่ถ้วนวาดผ่าน โจมตีใส่โลหะทรงไข่กลุ่มแรกที่อยู่ใกล้พื้นมากที่สุดทันที…
โลหะถูกปืนใหญ่ยิงใส่ก็ระเบิดออกโดยพลัน หุ่นรบสามสี่ตัวที่อยู่ด้านในตกลงมา…บางตัวยังถือว่าสมบูรณ์ แต่บางตัวกลับถูกทำลายทิ้งทันทีด้วยอานุภาพของปืนใหญ่
ถึงแม้ว่าโลหะทรงไข่มีฟังก์ชั่นอำพรางตัวจากเรดาร์ แต่มันก็มีเงื่อนไขอยู่ก็คือ วัตถุที่ใส่ด้านในไม่อาจมีการตอบสนองของพลังงานได้ ไม่อย่างนั้นจะทำลายฟังก์ชั่นอำพรางตัวจากเรดาร์ ดังนั้นหุ่นรบด้านในจึงอยู่ในโหมดปิดเครื่อง พวกเขา เตรียมตัวเปิดใช้งานหุ่นรบตอนหนึ่งร้อยเมตรสุดท้าน ทะลวงไข่ออกมา…หุ่นรบที่ไม่มีการป้องกันใดๆ ก็เปราะบางมากเช่นกัน ถ้าหากโจมตีโดนจุดสำคัญก็รับการโจมตีของกระสุนปืนใหญ่ทั่วไปไม่ไหวเหมือนกัน
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมกองกำลังภาคพื้นดินถึงรู้แผนการลอบโจมตีของพวกเรา?” สถานการณ์ด้านล่างถูกยานรบในน่านฟ้าอวกาศรับรู้อย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการใหญ่เห็นภาพอันน่าสลดใจที่ส่งเข้ามาก็อดคำรามขึ้นมาไม่ได้
—————————-