“สถานการณ์ตอนนี้ไม่แน่ชัดครับ สรุปคือแน่ใจแล้วว่า กองกำลังภาคพื้นดินด้านล่างมีการเตรียมตัวแล้ว…เกรงว่าแผนการจู่โจมของพวกเราจะถูกมองออกแล้ว” ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างอดปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผากไม่ได้ ในขณะเดียวกันก็เอ่ยเตือนผู้บัญชาการใหญ่
ผู้บัญชาการใหญ่สูดลมหายใจหนักๆ หลายทีถึงค่อยข่มกลั้นไฟโทสะที่เต็มอก เขารู้ว่าโมโหต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าการจู่โจมล้มเหลว เช่นนั้นก็ได้แต่ฝืนจู่โจมแล้ว เขาที่ตัดสินใจในพริบตาก็สั่งการทันทีว่า “แจ้งลงไป ให้หุ่นรบทั้งหมดเปิดใช้งานล่วงหน้า ทำลายเปลือกและโจมตี!”
คำสั่งของเขาถูกถ่ายทอดเข้าไปในโลหะทรงไข่ ทันใดนั้นเอง โลหะทรงไข่มากมายที่ยังไม่ได้เข้าสู่รัศมีการโจมตีของปืนใหญ่ก็แตกออก หุ่นรบที่เปิดใช้งานแล้วร่วงมาจากด้านในและตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
“บัดซบ ปืนใหญ่พวกนี้สร้างความเสียหายให้กับหุ่นรบที่เปิดใช้โล่แสงแล้วไม่ได้” ผู้บัญชาการที่กำลังใช้กล้องโทรทรรศน์อินฟราเรดยืนอยู่บนหอคอยสังเกตการณ์เห็นฉากนี้ก็อดเอ่ยด้วยความหงุดหงิดไม่ได้ เดิมทีเขายังอยากฉวยโอกาสทำลายโลหะทรงไข่ให้มากๆ ทำให้จำนวนของหุ่นรบศัตรูที่ตกลงสู่พื้นยิ่งน้อยลงก็ยิ่งดี ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้นแล้ว ศัตรูไหวพริบดีมาก เห็นว่าจู่โจมไม่สำเร็จก็ให้เข้าโจมตีโดยตรงเลย
หลังจากที่หุ่นรบปรากฏตัว เรดาร์ที่เดิมทีเงียบงันพลันส่งเสียงขึ้นมา จุดนับไม่ถ้วนที่เป็นตัวแทนของหุ่นรบศัตรูปรากฏไปทั่วเรดาร์ เวลานี้ทุกคนต่างเข้าใจแล้วว่า โลหะทรงไข่นั้นมีผลในการอำพรางตัวจากเรดาร์จริงๆ ด้วย และโชคดีที่ผู้บัญชาการสายตาเฉียบแหลม มองเรื่องนี้ออก ให้พวกเขาทิ้งเรดาร์แล้วใช้กล้องโทรทรรศน์อินฟราเรดทันที ถึงแม้ว่าขอบเขตการค้นหาลดลงเกือบเจ็ดแปดเท่า แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่ได้กลายเป็นคนตาบอด และค้นหาศัตรูที่จู่โจมได้สำเร็จ…
ในขณะที่หุ่นรบศัตรูแรกสุดที่ใกล้จะเกือบถึงพื้นกำลังลอบยินดีที่พวกเขาโชคดีฝ่าปืนใหญ่มาได้ พวกเขาก็ถูกลำแสงหลายสายยิงใส่ทันที มีหุ่นรบศัตรูหลายตัวเตรียมตัวไม่ทัน หุ่นรบระเบิดเสียชีวิตทันที ที่แท้ขบวนหุ่นรบที่รอคอยอยู่บนพื้นเห็นหุ่นรบศัตรูร่อนลงมาก็ทยอยกันยิงปืนลำแสงต้อนรับหุ่นรบศัตรูเหล่านี้
ไม่นานกองกำลังหุ่นรบภาคพื้นดินกับหุ่นรบศัตรูที่ร่วงลงมาจากบนฟ้าก็เริ่มต่อสู้กันขึ้นมา ไฟสงครามแผ่ขยายไปยังภาคพื้นดินอย่างรวดเร็ว เมื่อกระสุนลูกหลงที่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิงตกใส่เขตที่พักของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง เขตที่พักที่เดิมทีถูกปลุกให้ตื่นแล้วก็เปิดใช้งานโล่แสงของเขตในพริบตา…คนด้านในเดินออกมาไม่ได้ คนด้านนอกก็เข้าไปไม่ได้เหมือนกัน นอกเสียจากระดับสูงของโรงเรียนทหารจะใช้อำนาจให้ออปติคัลคอมพิวเตอร์หลักผิด หรือว่าพลังจากด้านนอกทำลายมันอย่างรุนแรง แต่ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงๆ โดยพื้นฐานก็ยืนยันแล้วว่าสงครามครั้งนี้ สหพันธรัฐพ่ายแพ้แล้ว ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็คือพวกนักเรียนในเขตที่พักไม่มีความหวังที่จะรอดชีวิตแล้ว…
ผู้บัญชาการภาคพื้นดินเห็นด้านหลังกองกำลังพลันปรากฏเขตโล่แสงทีพราวพร่าง ในใจก็อดเดือดดาลอย่างยิ่งไม่ได้ นี่ไม่ใช่เป้าหมายที่ชัดเจนเหรอ? บอกศัตรูทุกคนว่า รีบมาบุกโจมตีที่นี่สิ…ไม่รู้ว่าไอ้โง่คนไหนออกแบบขั้นตอนห ถึงบอกว่าเป็นเจตนาดีก็เถอะ แต่เผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่สับสนวุ่นวายเช่นนี้ในค่ำคืนที่มืดมิด นี่ย่อมเป็นการกระทำที่โง่เขลา
ผู้บัญชาการเริ่มกังวลขึ้นมาอดตะคอกอย่างโกรธเกรี้ยวใส่ทหารข้างกายไม่ได้ “ให้ตายสิ ให้พวกทหารแนวหน้ายันการโจมตีไว้ จะให้ศัตรูโจมตีถึงเขตที่พักของโรงเรียนทหารไม่ได้เด็ดขาด…”
ในนั้นคือเมล็ดพันธุ์ความหวังในอนาคตของสหพันธรัฐ ควรรู้เอาไว้ว่านักเรียนที่สามารถเข้าสู่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้คืออัจฉริยะระดับสุดยอดที่สุดของสหพันธรัฐ ทุกคนต่างเป็นลูกรักของพระเจ้า พวกเขาจะสูญเสียไปไม่ได้
เวลานี้เสี่ยวซื่อกำลังพยายามเชื่อมต่อกับพวกดาวเทียมหลักต่างๆ ที่ขาดการเชื่อมต่อ น่าเสียดายที่จนถึงตอนนี้เขายังหาสัญญาณของดาวเทียมหลักต่างๆ ไม่เจอเลยสักนิดเดียว นี่ทำให้เขาท้อแท้ใจเล็กน้อย เขารู้ว่าเมื่อออกจากโลกเสมือนจริงของเขา ถูกศัตรูล็อกสัญญาณไว้ เขาก็ไร้ประโยชน์แล้ว…
ยังดีที่เขาทำภารกิจที่ลูกพี่ของเขามอบหมายสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ปลอมแปลงภาพดาวสัตว์อสูรถูกโจมตีเมื่อหกปีก่อนให้เป็นภาพการโจมตีของค่ำคืนนี้ แล้วแสร้งทำเป็นดาวเทียมส่งไปให้หน่วยข่าวกรองของกองกำลังภาคพื้นดิน ทำให้กองกำลังภาคพื้นดินมีเวลาเตรียมตัวต่อสู้ พอเห็นพวกศัตรูตกลงมาจากฟ้าก็ถูกกองกำลังภาคพื้นดินโจมตีจนรับมือไม่ทัน เสี่ยวซื่อก็ตื่นเต้น ในขณะเดียวกันยิ่งนับถือลูกพี่ตัวเอง กระทั่งคิดว่าลูกพี่ของเขาถึงจะเป็นเทพ สามารถคาดเดาศัตรูที่บุกมาได้ตรงเผง!
ความจริงเสี่ยวซื่อคิดมากไปแล้ว หลิงหลานหวังแค่ว่ากองกำลังภาคพื้นดินจะมีการเตรียมตัวบ้าง และการจู่โจมของดาวสัตว์อสูรเมื่อหกปีก่อนก็บังเอิญเป็นการจู่โจมทางอากาศพอดี เหมาะกับสถานการณ์ในคืนนี้มาก ดังนั้นหลิงหลานเลยยืมมาใช้ชั่วคราว ความจริงแล้วหลิงหลานก็ไม่รู้ว่าศัตรูที่บุกโจมตีคืนนี้คือใคร ควรพูดว่า หลิงหลานโชคดีมาก ให้เสี่ยวซื่อส่งภาพที่ตรงกับความเป็นจริงพอดี จึงปกปิดฝีมือของเธอได้อย่างชาญฉลาดและโชคดีอย่างมาก ในการวิเคราะห์หลังสงครามตอนสุดท้าย สหพันธรัฐกับซีซาร์ได้ตัดสินเหมือนกัน คิดว่าเทคโนโลยีบล็อกดาวเทียมยังคงไม่ก้าวหน้ามากพอ ทำให้ดาวเทียมบางดวงส่งภาพลอบโจมตีของพวกเขาออกได้สำเร็จ…อย่างไรก็ตาม สหพันธรัฐลอบยินดีกับเรื่องนี้ ส่วนซีซาร์ก็โกรธขึ้งที่เทคโนโลยีบล็อกเกิดข้อผิดพลาดในช่วงเวลาสำคัญ
ทว่าเมื่อสถานการณ์การรบคืบหน้าไปเรื่อย ศัตรูก็ปรับตัวได้ทันเวลา สงครามเริ่มปรากฏความไม่แน่นอนของมัน ไฟสงครามแผ่ขยายไปถึงภาคพื้นดินอย่างรวดเร็ว กองกำลังภาคพื้นดินเริ่มปรากฏตัวเลขบาดเจ็บล้มตายอย่างมหาศาล ส่วนบนท้องฟ้ากลับมีหุ่นรบร่วงลงมาจากฟ้าไม่หยุดไม่หย่อน นี่ทำให้เสี่ยวซื่อกระวนกระวายใจอยู่บ้าง
เสี่ยวซื่อที่ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีได้แต่กลับไปสอบถามความคิดเห็นของลูกพี่ตน และถือโอกาสรายงานสถานการณ์การรบตอนนี้ให้ลูกพี่ทันทีด้วย อันที่จริง หลิงหลานไปได้ครึ่งทางก็เห็นเขตที่พักเปลี่ยนเป็นส่องแสงขึ้นฉับพลัน เธอก็รู้สึกได้ว่าสถานการณ์การรบอาจจะไม่เอื้อต่อสหพันธรัฐ ตอนนี้ได้ยินคำรายงานของเสี่ยวซื่ออีก ถ้าหากดาวเทียมถูกล็อกต่อไปเรื่อยๆ ที่นี่ย่อมไม่สามารถขอกำลังเสริมได้ทันเวลา อาศัยแค่พลังของกองกำลังภาคพื้นดินเพียงอย่างเดียวเกรงว่ายากมากที่จะประคองไว้ได้นาน หลิงหลานรู้อานุภาพของหุ่นรบดี ต่อให้เป็นหุ่นรบระดับต่ำทั่วไปหนึ่งตัว หากคิดจะกำจัดมันก็จำเป็นต้องให้ทหารหนึ่งแถวโจมตีแบบฆ่าตัวตาย ไม่เช่นนั้นก็ทำไม่สำเร็จ
จำเป็นต้องส่งข่าวที่นี่ถูกโจมตีออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลิงหลานตัดสินใจทันทีว่าจะเปิดใช้วิธีการขอความช่วยเหลือฉุกเฉินที่คุณพ่อมอบให้ก่อนจากไป หลิงหลานกับหลิงเซียวต่างเป็นศิษย์สำนักบัญชาเทวะ สำนักที่อาศัยการฝึกฝนจิตใจเป็นหลักย่อมมีวิธีการขอความช่วยเหลือที่ไม่ต้องการสัญญาณเทคโนโลยีขั้นสูง
ก่อนที่หลิงเซียวออกไปจากโรงเรียนทหาร เนื่องจากเขายังไม่วางใจ ดังนั้นถึงได้ฝากพลังจิตสายหนึ่งไว้ในสมองของหลิงหลาน ถ้าหากหลิงหลานเกิดอันตราย ขอเพียงสั่นพลังจิตของหลิงเซียวจนระเบิดออก ต่อให้อยู่ห่างไกลอีกสักแค่ไหน พลังจิตของหลิงเซียวก็ยังได้รับผลกระทบ ถึงแม้ไม่อาจรู้รายละเอียดที่แน่ชัด แต่ความผิดปกตินี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หลิงเซียวรู้ว่าหลิงหลานมีอันตราย
หลิงหลานสั่นพลังจิตของหลิงเซียวจนระเบิดโดยไม่ลังเล ร่างกายของเธอสั่นสะท้านโดยพลัน สีหน้าซีดเผือดขึ้นมา การระเบิดพลังจิตที่ฝากไว้กับพลังจิตของร่างกายก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บเหมือนกัน นี่ก็คือเหตุผลที่หลิงเซียวย้ำว่าใช้ได้เพียงตอนที่อยู่ในช่วงเวลาที่สังหรณ์ใจว่าคับขันมากเท่านั้น…เพื่อนหลายคนที่อยู่ข้างกายต่างสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของหลิงหลาน ฉีหลงถามเสียงแผ่วว่า “ลูกพี่ นายเป็นอะไร?”
“ไม่มีอะไร พวกเราต้องเร่งมุ่งหน้า เวลาใกล้จะไม่พอแล้ว” หลิงหลานฝืนอดกลั้นความอึดอัดของพลังจิต และกล่าวกับพวกเพื่อนๆ อย่างเยือกเย็น ต่อจากนั้นความเร็วของเธอก็เร่งขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นหลิงหลานเร่งความเร็วอย่างไม่มีอะไรเกิดขึ้น บรรดาเพื่อนๆ ก็อดโล่งใจไม่ได้แล้วค่อยวางใจลง เร่งความเร็วตามหลิงหลานไป มีเพียงหลี่หลานเฟิงที่เห็นสีหน้าของหลิงหลานยังไม่กลับมาดังเดิม เขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตาฉายความกังวลขึ้นมาแวบหนึ่ง…
……
เวลานี้เอง บนยานรบของทีมประเมินกองพลที่ยี่สิบสาม หลิงเซียวที่กำลังนั่งหลับตาอยู่บนที่นั่งกัปตันพลันลืมตาขึ้นมา เขานั่งตัวตรงฉับพลัน กลิ่นอายที่เดิมทีอ่อนโยนเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบขึ้นทันใด ทำให้เหล่าทหารที่เดิมทีกำลังคุยเล่นเรื่อยเปื่อยอยู่ด้านข้างพลันเงียบกริบ ทำหน้าตกตะลึงจ้องมองท่านนายพลที่เดิมทีอ่อนโยนต่อผู้อื่นมาตลอด
ตอนนี้หลิงเซียวไม่มีใจจะไปรักษาภาพลักษณ์ของเขาแล้ว เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าเมื่อสักครู่นี้ร่างจิตของตัวเองถูกกระตุกฉับพลัน นี่ยืนยันว่าร่างจิตที่เขาฝากไว้ในสมองของหลิงหลานถูกคนทำลายแล้ว
“รีบติดต่อโรงเรียนทหารชายที่หนึ่ง สอบถามสถานการณ์ของที่นั่น…” หลิงเซียวสั่งด้วยใบหน้าเย็นเยียบ หลิงเซียวที่ไม่มีรอยยิ้มดูคล้ายกับสีหน้าของหลิงหลานสุดขีด สมกับที่เป็นพ่อลูกกันจริงๆ
“ติดต่อสำเร็จ ได้รับการตอบกลับจากอีกฝ่ายว่า ทุกอย่างปกติดีครับ” เจ้าหน้าที่ควบคุมที่รับผิดชอบการติดต่อสื่อสารกับภายนอกตอบกลับอย่างรวดเร็ว
หลิงเซียวได้ยินก็ขมวดคิ้ว ในเมื่อหลิงหลานระเบิดพลังจิตของเขา เช่นนั้นก็หมายความว่าทางฝั่งเธอจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ที่ยากจะจัดการแน่นอน...เขารีบเชื่อมต่ออุปกรณ์สื่อสารของหลิงหลาน แต่ได้รับแจ้งว่าสัญญาณของผู้ติดต่อไม่ว่าง
แววตาของหลิงเซียวมีรัศมีเย็นเยียบพาดผ่าน วินาทีถัดมาเขาติดต่อกับผู้อำนวยการเฒ่าของโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งโดยตรง แต่ยังได้รับแจ้งสัญญาณของผู้ติดต่อไม่ว่าง
ตอนนี้แววตาของหลิงเซียวเปลี่ยนเป็นล้ำลึกอย่างยิ่ง เขาเงยหน้าและสั่งการอีกครั้งว่า “ส่งคำขอให้อีกฝ่าย บอกว่าเราจะไปถึงดาวซินสิงในวันพรุ่งนี้ รบกวนจัดเตรียมเส้นทางให้ด้วย”
เจ้าหน้าที่ควบคุมได้ยินก็อึ้งไป แต่เขาก็ส่งคำพูดของหลิงเซียวให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ผ่านไปหลายวินาที อีกฝ่ายก็ตอบกลับมา เจ้าหน้าที่ควบคุมรีบรายงานว่า “ท่านนายพล ฝ่ายตรงข้ามตอบว่า ตอนนี้ดาวซินสิงห้ามผ่านเข้าไป เวลาเปิดคืออีกสามวันให้หลัง หวังว่าพวกเราจะให้ความร่วมมือเปลี่ยนเส้นทางการบิน หรือไม่ก็รอคอยเวลาเปิดครับ”
“เกิดเรื่องแล้วจริงๆ ด้วย” เวลานี้หลิงเซียวยังมีอะไรไม่กระจ่างแจ้งอีก คำขอของเขาเป็นเพียงการลองเชิงเท่านั้น เขาเพิ่งจะออกมาจากดาวซินสิงย่อมรู้ว่าดาวซินสิงไม่มีสิ่งที่เรียกว่าคำสั่งห้ามเดินทาง
“รีบเปิดท่าส่งตัว ฉันจะขับ Belief รีบไปที่ดาวซินสิง” หลิงเซียวลุกขึ้นมาทันที แล้วเดินไปที่หน้าประตูห้องด้วยความร้อนใจ ลูกสาวของเขาเกิดอันตรายถึงชีวิตแล้ว ในฐานะที่เขาเป็นพ่อจะนั่งเงียบๆ อยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เขาต้องรีบไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความเร็วของหุ่นรบขั้นเทวะเร็วกว่ายานรบสี่เท่า เมื่อแล่นด้วยความเร็วสูงสุดสามารถไปถึงเจ็ดเท่า
“ท่านนายพล นี่มันอันตรายมากเกินไปแล้วนะครับ” เมื่อได้ยินแผนการของหลิงเซียว ผู้ช่วยเฉียวก็ตกตะลึง เขารีบตามเข้าไปเอ่ยปากห้ามปราม
หลิงเซียวหันหน้ามาทันที จ้องมองผู้ช่วยเฉียวด้วยแววตาดุดัน ทำให้ร่างของผู้ช่วยเฉียวชะงักโดยพลัน “นี่คือคำสั่ง!” หลิงเซียวทิ้งคำพูดสี่คำนี้ไว้ ก่อนจะหายไปจากหน้าประตูห้อง…
“ระดับเขตแดน...” เสียงอุทานของพันเอกที่มียศสูงสุดในยานปลุกทุกคนที่ถูกสยบไว้ ผู้ช่วยเฉียวมองพันเอกแล้วก็มองทุกคนอีกครั้ง เขากระทืบเท้าทีหนึ่งแล้วไล่ตามไปอีกครั้ง ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยของนายพล เขาจะต้องขัดขวางไม่ไห้นายพลเอาตัวเองไปเสี่ยงให้ได้
——————————–