หลิงหลานจัดการความกังวลในใจแล้วก็ตัดสินใจออกไปแล้ว เธอให้ส่งข้อความรวมให้สมาชิกทีม บอกพวกเขาว่าเธอจะปฏิบัติการคนเดียว ให้ฉีหลงพาลูกทีมไปต่อสู้ด้วยกัน บอกฉีหลงโดยเฉพาะว่า ถ้าเจอเรื่องที่ไม่สามารถจัดการได้ สามารถไปหาหลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินเพื่อปรึกษาแก้ไขปัญหา
เดิมทีฉีหลงกับหานจี้จวินเป็นคู่หูหนึ่งบู๊หนึ่งบุ๋นที่หลิงหลานตั้งใจอบรมสั่งสอนอย่างสุดความสามารถ แต่ตอนที่หลิงหลานส่งข้อให้ฉีหลง เธอพลันนึกถึงหลี่หล่านเฟิง การพูดคุยคบหาในช่วงเวลานี้ทำให้หลิงหลานรู้ความสามารถของหลี่หลานเฟิงดี มีข้อดีที่หานจี้จวินไม่มี ถ้าเกิดพูดว่าหานจี้จวินคือนักปราชญ์บนเส้นทางความยุติธรรม เช่นนั้นหลี่หลานเฟิงก็คือจอมอุบายบนเส้นทางชั่วร้ายหลอกลวง หลี่หลานเฟิงมักจะนึกวิธีการที่พวกหานจี้จวินไม่เคยคิดได้ และในสนามรบ หลี่หลานเฟิงยิ่งทำให้ทีมมีชีวิตรอดต่อไปง่ายขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อนึกถึงตรงนี้ หลิงหลานก็เพิ่มชื่อของหลี่หลานเฟิงเข้าไปด้วยโดยไม่ลังเล หลิงหลานคิดว่า มีหลี่หลานเฟิงกับหานจี้จวินสองคนวางแผนกลยุทธ์ช่วยเหลือฉีหลง สมาชิกทีมย่อมรอดชีวิตในสนามรบครั้งนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา
หลี่หลานเฟิงใช้เวลาแค่สองสามนาทีในการทำความคุ้นเคยหุ่นรบระดับสูงที่เขาบังคับตัวนี้ เนื่องจากเขาเคยขึ้นหุ่นรบจริงเมื่อปีก่อน ดังนั้นจึงไม่มีอุปสรรคเหมือนกลุ่มนักเรียนใหม่ที่ต้องปรับเปลี่ยนจากการควบคุมในโลกเสมือนจริงมาที่โลกความเป็นจริง
หลี่ซื่ออวี๋ก็เป็นเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน เวลานี้ได้แสดงความต่างชั้นของคนที่มีประสบการณ์กับคนที่ไม่มีประสบการณ์แล้ว แต่เนื่องจากมีพวกเขาอยู่กันสองคนอยู่ พวกฉีหลงพบจุดที่ไม่เข้าใจในการควบคุมหุ่นรบก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว ลดเวลาให้พวกเขาคลำหาเอา นี่ทำให้พวกเขาเข้าใจหุ่นรบที่พวกเขาควบคุมเร็วกว่าคนอื่น
สมาชิกทีมแทบจะได้รับข้อความของหลิงหลานพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าหลิงหลานจะออกปฏิบัติการคนเดียว อารมณ์ของพวกฉีหลงที่ความจริงมีการเตรียมใจไว้แล้ว ก็ยังอดหดหู่อยู่บ้างไม่ได้ ถึงยังไงมีลูกพี่อยู่ ในใจพวกเขาก็จะมีความมั่นใจมากขึ้น
หลังจากนั้นฉีหลงก็บอกการตัดสินใจของหลิงหลานให้หลี่หลานเฟิงฟัง ให้เขากับหานจี้จวินช่วยเขาวางแผนเรื่องการต่อสู้ของทีม หลังจากที่หลี่หลานเฟิงได้ยินก็ตื้นตันใจอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ผิดหวังอย่างสุดซึ้ง
การตัดสินใจของหลิงหลานทำให้หลี่หลานเฟิงสัมผัสได้ถึงความเชื่อใจที่หลิงหลานมีต่อเขา รู้ว่ากระต่ายของเขาจริงใจและทะนุถนอมใส่ใจเขาอย่างยิ่ง แต่เขายังคงรู้สึกผิดหวังอยู่ดี เพราะว่าเขายังไม่มีคุณสมบัติยืนเคียงข้างกระต่ายในตอนที่ไปสนามรบที่แท้จริง เห็นได้ชัดว่า การที่หลิงหลานจัดการแบบนี้ หลักๆ แล้วเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถติดตามเขาไปได้
บางทีทักษะการควบคุมของกระต่ายอาจจะไปถึงผู้ควบคุมหุ่นระดับพิเศษแล้ว…หลี่หลานเฟิงนึกถึงคำพูดที่จ้าวจวิ้นเพื่อนสนิทของเขาเคยบอกเขาไว้ ในห้องลับแห่งหนึ่งที่อยู่ลึกในคลังเก็บของ มีห้องที่เก็บไว้ให้เฉพาะผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษ บางทีกระต่ายอาจจะไปที่นั่นก็ได้ เขานึกเสียใจเล็กน้อย ถ้ารู้แต่แรก ตอนนั้นเขาไม่ควรทุ่มแต่การควบคุมพื้นฐาน ไม่เลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษด้วยกันกับจ้าวจวิ้น ถ้าหากตอนนั้นเขาทิ้งความมุ่งมั่น เลื่อนขั้นเป็นผู้ควบคุมหุ่นรบระดับพิเศษ บางทีตอนนี้อาจมีโอกาสติดตามอยู่ข้างกายกระต่าย ออกปฏิบัติการด้วยกันกับเขา
ทุกครั้งที่หลี่หลานเฟิงติดตามอยู่ข้างกายกระต่าย เขารู้สึกอารมณ์ผ่อนคลายมากอย่างบอกไม่ถูก โชคชะตาที่เดิมทีกดดันเขาจนหายใจไม่ออกก็ไม่ได้มีแรงกดดันมากขนาดนั้นแล้ว ถึงขนาดที่มีความรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่ว่าไม่มีความหวังในการเปลี่ยนแปลง เขาที่แบกรับโชคชะตาคนเดียวมาตลอดยี่สิบปีก็มีเวลาที่คิดว่าไร้ความสามารถอยากจะพักผ่อน ดังนั้นเขาจึงทะนุถนอมและใฝ่หาความรู้สึกแบบนี้เป็นพิเศษ
หลี่หลานเฟิงไม่อยากจากกระต่ายไปสักครึ่งก้าว เขารู้สึกว่า ถ้าหากให้กระต่ายออกไปจากชีวิตของเขาอีกครั้ง เขาก็คงถูกโชคชะตานี้บดขยี้จริงๆ
“จะต้องสำเร็จการควบคุมพื้นฐานให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…” ความท้อแท้ใจของหลี่หลานเฟิงผ่านมาแค่แวบเดียวเท่านั้น เขานึกได้อย่างรวดเร็วว่ากระต่ายเอาใจใส่เรื่องการควบคุมพื้นฐานมาก ดูจาการควบคุมของพวกฉีหลงต่างยืนยันว่าพวกเขาต่างสำเร็จด้านนี้อย่างแน่นปึก ถ้าหากตอนนั้นเขาเลือกเดินทางลัด กระต่ายคงไม่มีทางทำหน้าดีๆ ให้เขาแน่ หลี่หลานเฟิงเก็บอารมรณ์ปั่นป่วนของตัวเองอย่างลับๆ ลอบเตือนตัวเองว่า อย่าฝ่าฝืนเขตต้องห้ามของกระต่ายเป็นอันขาด….แต่เพื่อชดเชยช่องว่างระหว่างเขากับกระต่าย หลี่หลานเฟิงตัดสินใจว่าจะเพิ่มการการฝึกฝนพื้นฐานอีกสองเท่าจากที่เดิมที่เขาเพิ่มเป็นสองเท่าแล้ว…
ในตอนที่หลี่หลานเฟิงสับสนอยู่นั้นก็ครบกำหนดเวลาที่หลิงหลานให้ทำความคุ้นเคยหุ่นรบแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว อู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ยที่มากถึงช้ากว่าพวกฉีหลงหลายนาทีก็คว้าเวลาช่วงสุดท้ายนี้เปิดใช้งานหุ่นรบระดับสูงแล้วทพความคุ้นเคยดีๆ
เมื่อเห็นว่าครบกำหนดเวลาแล้ว อู่จย่งก็บังคับหุ่นรบทำสัญญาณมือให้หุ่นรบของฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ย บ่งบอกว่าออกไปได้แล้วใช่ไหม?
ฉีหลงกับหลี่อิงเจี๋ยส่งสัญญาณมือยืนยันให้โดยไม่ลังเล พวกเขาสามคนจึงหุ่นรบระดับสูงสามสิบกว่าตัวเดินออกไปจากคลังเก็บหุ่นรบเช่นนี้เอง หุ่นรบของเขตหุ่นรบระดับกลางเห็นพวกหัวหน้ากลุ่มกับพวกหัวหน้าทีมบังคับหุ่นรบระดับสูงเดินออกม พวกเขาก็ตามหลังหัวหน้าทีมตัวเองไปโดยไม่ต้องให้พวกหัวหน้าทีมสั่งการเลย และมุ่งหน้าไปอย่างเป็นระเบียบ
บางทีอาจเป็นเพราะหุ้นรบหนึ่งร้อยกว่าตัวเดินออกมาจากคลังเก็บของพร้อมกัน ทำให้พื้นเกิดแรงสั่นสะเทือนเบาๆ แต่ไฟสงครามยังไม่ได้แผ่ขยายมาถึงที่นี่ รอบๆ บริเวณคลังเก็บหุ่นรบไม่มีศัตรูใดๆ เลย ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นหุ่นรบที่เดินออกมาจากในคลังเก็บหุ่นรบกลุ่มนี้เลย
หัวหน้าทีมต่างๆ ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่เตือนบรรดาลูกทีมว่าเลือกความถี่ที่กำหนดไว้ตอนแรกเป็นช่องสื่อสารทีม ทำการติดต่อสื่อสารกัน ความจริงแล้วตอนที่มา ทุกคนก็ปรึกษากันดีแล้วว่าควรจะทำยังไงดี
ไม่นาน หุ่นรบทั้งหมดก็มาถึงพื้นที่กว้างโล่งด้านนอก จากนั้นทีมต่างๆ ก็แยกย้ายกันไปตามทิศทางที่ตัวเองเลือกจะไปอย่างรวดเร็วภายใต้คำสั่งของฉีหลง
ในฐานะที่ทีมเกาจิ้นอวิ๋นเป็นทีมเดียวที่ไม่ได้มาจากสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ การที่เขาสามารถรักษาทีมไว้ได้ทั้งทีม ก็เห็นได้ว่าความสามารถของพวกเขาไม่ได้แย่เลย แต่เกาจิ้นอวิ๋นมองหุ่นรบระดับสูงสามสิบกว่าตัวนั้นจากที่ไกลๆ และมองมาที่หุ่นรบระดับกลางที่ตัวเองบังคับ ในใจก็หดหู่นิดหน่อยอย่างยากจะเลี่ยงได้
เกาจิ้นอวิ๋นเป็นคนที่ถูกแผนการใจกล้าบ้าบิ่นและความแข็งแกร่งอย่างล้ำลึกของหลิงหลานสยบลงในปฏิบัติการปล้นชิงยานรบ หลังจากที่เข้าสู่โรงเรียนทหาร เขาก็ติดตามหลิงหลานอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เข้าร่วมกลุ่มนักเรียนใหม่ แน่นอนว่านี่ไม่อาจกำจัดความคิดเจ้าเล่ห์ที่เขาอยากพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่ออกไปจากในนั้นไม่ได้ แต่หลังจากที่ผลการประลองเดิมพันกับเหลยถิงออกมา เกาจิ้นอวิ๋นก็โยนความคิดเจ้าเล่ห์พวกนั้นทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง แล้วตัดสินใจติดตามหลิงหลานด้วยใจจริง
เกาจิ้นอวิ๋นเป็นคนที่หยิ่งทระนง เขาที่มาจากโดฮาเหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่เข้าสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ แต่สถาบันของเขาก็เป็นหนึ่งในสถาบันที่แข็งแกร่งที่สุดเหมือนกัน เขาคิดว่าต่อให้ตัวเองเทียบชั้นพวกหัวหน้ากลุ่มหลายคนของกลุ่มนักเรียนใหม่ไม่ได้ แต่เมื่อเทียบกับหัวหน้าทีมคนอื่นๆ เขาน่าจะไม่ด้อยเท่าไหร่ แต่วันนี้ก็เป็นอีกครั้งที่เขาถูกโจมตีจิตใจ ไม่นึกเลยว่าพวกหัวหน้าทีมของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือที่ออกมากับหลิงหลานจะแข็งแกร่งขนาดนี้ สามารถควบคุมหุ่นรบระดับสูงได้ในช่วงเวลาสั้นๆ (เกาจิ้นอวิ๋นนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายเริ่มฝ่าด่านตอนอายุ 13 และเข้าสู่โลกเหสมือนจริงเรียนรู้การบังคับหุ่นรบแล้ว นี่ย่อมเป็นการเข้าเข้าใจผิดที่สวยงาม)
“อย่างที่คิดไว้เลย ภูเขาย่อมมีที่สูงกว่า ก่อนหน้านี้ฉันยังมั่นใจในตัวเองมากเกินไป” เกาจิ้นอวิ๋นที่ถูกความจริงโจมตีก็ยิ้มขื่นในใจ และก็ทำให้สมองเขาแจ่มใสขึ้นมา ต่อให้เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโรงเรียน แต่โรงเรียนทหารชายที่หนึ่งซึ่งเป็นที่รวมตัวของอัจฉริยะทั้งหมด เขายังอ่อนด้อยมาก...
อย่างไรก็ตาม เกาจิ้นอวิ๋นไม่ยอมแพ้เพียงแค่นี้ เขาตัดสินใจว่าจะต้องพยายามฝึกฝนการควบคุมหุ่นรบ ไล่ตามหัวหน้าทีมพวกนั้นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พ่ายแพ้ให้ลูกพี่หลาน เกาจิ้นอวิ๋นยอมรับ แต่พ่ายแพ่ให้กับหัวหน้ากลุ่มคนอื่นๆ เขายังอธิบายให้ตัวเองได้ว่า ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็เป็นหัวหน้ากลุ่ม แต่พ่ายแพ่ให้กับหัวหน้าทีมพวกนั้น เกาจิ้นอวิ๋นไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ เขายังจำปณิธานอันยิ่งใหญ่ตอนที่เขาสอบเข้าโรงเรียนทหารชายที่หนึ่งได้ว่าจะต้องกลายเป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นมากที่สุดในโรงเรียน
ในขณะที่เกาจิ้นอวิ๋นเต็มเปี่ยมไปด้วยปณิธานก็ถูกเสียงหนึ่งเรียกสติ…
“พี่สาม พวกเขาต้องบังคับหุ่นรบไปสู้จริงๆ เหรอ?” ลูกทีมคนหนึ่งในทีมเอ่ยด้วยใบหน้าเหมือนกำลังฝันไป
“บัดซบ อย่าใช้ลำโพงภายนอกสิ ใช้ช่องสื่อสารเฉพาะของทีม” เกาจิ้นอวิ๋นเห็นลูกทีมทำพลาดก็อดเอ่ยปากด่าไม่ได้ โชคดีที่นี่ยังไม่ใช่เขตศัตรู ไม่อย่างนั้นสถานการณ์เช่นนี้ลูกทีมย่อมเป็นการรนหาที่ตายแน่นอน
เนื่องจากพวกเขายังไม่ใช่หน่วยรบ ดังนั้นเลยไม่มีช่องสื่อสารส่วนตัวเฉพาะของทีม ช่องสื่อสารทีมที่พวกเขาเรียกคือเลือกความถี่ที่ตรงกัน ไม่ได้เพิ่มมาตรการป้องกันความลับใดๆ ถูกแฮคเกอร์เจาะได้ง่ายมาก แต่ตอนนี้สถานการณ์คับขัน ได้แต่ใช้แบบนี้ไปเท่านั้น
ในที่สุดก็เสียงพูดก็สับเปลี่ยนเป็นในช่องสื่อสารทีมท่ามกลางเสียงตื่นตระหนกของลูกทีมคนนั้น เกาจิ้นอวิ๋นค่อยโล่งอก แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว
การกระทำที่ไม่ประสีประสาของลูกทีมทำให้เขากังวลขึ้นมา เวลานี้เขานึกเสียใจแล้ว เพื่อรับประกันโครงสร้างของทีมไว้ เขาไม่ได้เอาลูกทีมที่ยังควบคุมไม่เก่งออก ควรรู้เอาไว้ว่า เงื่อนไขในตอนแรกของหลิงหลานก็คือเป็นสมาชิกที่สามารถควบคุมหุ่นรบระดับกลางขึ้นไปได้อย่างชำนาญ ถึงจะมีคุณสมบัติติดตามเขาไปทำการต่อสู้หุ่นรบในสนามรบ
“เสี่ยวเจี่ยง นายยังควบคุมไม่ชำนาญ พอต่อสู้ นายต้องปกป้องตัวเองไว้ก่อน พอปรับตัวได้แล้วค่อยทำการโจมตีระยะไกล” เกาจิ้นอวิ๋นครุ่นคิดแล้วก็จัดการแบบนี้ออกมา ในเมื่อเขาพาอีกฝ่ายเข้ามา ก็ต้องรับผิดชอบเขา
“ได้ พี่สาม” เสี่ยวเจี่ยงได้ยินการจัดการของเกาจิ้นอวิ๋น ความรู้สึกตึงเครียดก็คลายลงทันที พูดตามตรง ให้เขาบังคับหุ่นรบไปต่อสู้ระยะประชิด ในใจเขายังไม่มีความมั่นใจ
เกาจิ้นอวิ๋นจัดการตำแหน่งลูกทีมแต่ละคนแล้วก็ค่อยพาพวกลูกทีมทะยานไปที่สนามรบ เนื่องจากเขารู้ว่าความสามารถของทีมตัวเองค่อนข้างอ่อนแอ เกาจิ้นอวิ๋นจึงไม่ได้พาลูกทีมไปยังเขตที่พักที่มีศัตรูเยอะมากที่สุด และก็ชุลมุนมากที่สุด หากแต่ไปยังทิศทางตรงข้ามแทน
ควรพูดว่าการตัดสินใจของเกาจิ้นอวิ๋นไม่มีปัญหาอะไรเลย ถึงอย่างไรสถานที่ที่ยิ่งชุลมุนวุ่นวายก็ยิ่งเกิดเรื่องง่าย แต่เขาไม่คิดเลยว่าหุ่นรบศัตรูที่ดูเหมือนสู้ตามลำพังพวกนั้น มักจะเป็นพวกยอดฝีมือกำลังรบยอดเยี่ยมเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเอง ดังนั้นถึงได้กล้าปฏิบัติการคนเดียว…
“พี่สาม ด้านหน้ามีหุ่นรบศัตรูหนึ่งตัว ข้อมูลส่งกลับมาแล้วเป็นหุ่นรบระดับสูง!” ลูกทีมด้านหน้าสุดที่รับหน้าที่สำรวจเอ่ยเตือนขึ้นมาโดยพลัน
เกาจิ้นอวิ๋นได้รับข้อมูลนี้ ยังไม่ได้ทำการตัดสินใจ ก็เห็นหุ่นรบศัตรูที่สังเกตเห็นพวกเขาพุ่งเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม เกาจิ้นอวิ๋นรู้ว่าจากความเร็วนี้ หุ่นรบระดับกลางไม่อาจเทียบหุ่นระดับสูงได้ ถ้าหากเลือกหลบหนี เกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายไล่โจมตี ไม่สู้ต่อสู้อย่างสุดชีวิต บางทีอาศัยการร่วมมือกันของทีม ไม่แน่ว่าอาจจะเอาชนะหุ่นรบศัตรูตัวนี้ได้
ความคิดเหล่านี้แล่นวาบขึ้นในสมองเกาจิ้นอวิ๋น เขาตอบอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เตรียมตัวต่อสู้!”
————————————