เฉาไทเฮาเป็นภรรยาหลวงของฮ่องเต้องค์ก่อน และมารดาของฮ่องเต้จ้าวอี้ในเวลานี้
ฮ่องเต้องค์ก่อนโปรดปรานเพียงฉินกุ้ยเฟย และแสดงความคิดที่จะปลดฮองเฮาออกมาโดยไม่รู้ตัวหลายครั้ง นางถูกฮ่องเต้องค์ก่อนฉีกหน้าและเมินอย่างถึงที่สุด ลำบากกว่าไทฮองไทเฮาในตอนนั้นเสียอีก
นางไม่ได้ยอมอดทนและถอยให้เหมือนกับไทฮองไทเฮา ทว่าได้รับการปกป้องจากไทฮองไทเฮา
หลังจากอดทนกับฉินกุ้ยเฟยมาสิบปี ปีที่สิบเอ็ดที่ฉินกุ้ยเฟยเข้าวัง เฉาไทเฮาก็คลอดจ้าวอี้ แล้วผู้เป็นแม่ก็เจริญรุ่งเรืองและร่ำรวยเพราะลูกชาย ตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ก็อาศัยชื่อและฐานะของลูกชายที่เกิดจากภรรยาหลวงของจ้าวอี้จนได้รับการสนับสนุนจากขุนนางใหญ่ที่มีตำแหน่งสำคัญในราชสำนักและเจ้ากรมแห่งกรมวัง และบีบบังคับให้ฮ่องเต้แต่งตั้งจ้าวอี้เป็นองค์รัชทายาท
หลังจากฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต นางไม่เพียงแต่อุ้มจ้าวอี้ที่อายุห้าขวบว่าราชการหลังม่านเป็นไทเฮาเท่านั้น ทว่ายังให้ฉินกุ้ยเฟยฝังไปพร้อมกับฮ่องเต้องค์ก่อน และไล่จ้าวอี้[1]ลูกชายคนโตของฮ่องเต้ที่เกิดจากฉินกุ้ยเฟยไปปกป้องชายแดนไกลถึงเหลียวตงด้วย…
เวลานี้ฮ่องเต้จ้าวอี้อายุสิบห้าปีแล้ว
ชายหนุ่มอายุสิบห้าและเป็นวัยรุ่น
ทว่าเฉาไทเฮาที่กุมการตัดสินใจด้วยตนเองและไม่ยอมให้คนอื่นเข้ามาก้าวก่าย กลับยังคงอาศัยอยู่ที่วังคุนหนิงที่มีแต่ฮองเฮาเท่านั้นที่มีสิทธิอยู่เช่นเดิม โดยไม่คิดจะเลือกฮองเฮาให้จ้าวอี้ และไม่คิดจะส่งอำนาจในการปกครองคืนให้จ้าวอี้เช่นกัน
ไทฮองไทเฮาจึงไม่ค่อยพอใจเฉาไทเฮาด้วยเหตุนี้เช่นกัน
แต่ไม่พอใจก็ส่วนไม่พอใจ เฉาไทเฮาในเวลานี้ไม่ใช่เฉาฮองเฮาที่ตอนนั้นร้องไห้อย่างน่าสงสารที่วังฉือหนิงคนเดิมแล้ว ไทฮองไทเฮายังต้องเหลือทางไว้ให้พี่ชายและน้องชายของตนเองสักทาง และหวังว่าเฉาไทเฮาจะดีกับเจียงเซี่ยนด้วย ดังนั้นนางยังจะกล้าพูดอะไรได้อีก แน่นอนว่าเรื่องราวระหว่างฮ่องเต้กับไทเฮาก็ต้องลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งและแสร้งทำเป็นไม่รู้ไป
แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนในชาติก่อนรับรู้ได้ว่าท่านยายไม่มีทางเลือก นางจึงพยายามอยู่ให้ห่างจากเฉาไทเฮาและจ้าวอี้อย่างที่สุดเช่นกัน
ทว่าเจียงเซี่ยนที่ฟื้นขึ้นมาจากความตาย รู้ว่าวันที่สิบสี่ เดือนสิบ ปีนี้ ซึ่งเป็นวันเกิดของเฉาไทเฮานั้น ฮ่องเต้น้อยจ้าวอี้ที่ได้รับการสนับสนุนจากเจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงลุงของนาง และจ้าวเจิ้งอ๋องเจี่ยน อาของฮ่องเต้องค์ก่อน จะพาองครักษ์สามพันนายไปล้อมทะเลสาบคุนหมิงและภูเขาวั่นโซ่วที่เฉาไทเฮาจัดงานวันเกิดอย่างแน่นหนา… วันที่สิบแปด เดือนสิบ เฉาไทเฮาส่งอำนาจในการปกครองคืนให้จ้าวอี้ วันที่ยี่สิบห้า เดือนสิบ เฉาไทเฮาตายที่วังฉางชุน
สิริอายุได้สี่สิบเจ็ดปี พระสมัญญานาม ‘เซี่ยวติ้ง’
วันที่สิบ เดือนสาม ปีถัดมา จ้าวอี้แต่งตั้งนางเป็นฮองเฮา เซียวหรงเหนียงที่เดิมทีเป็นนางในมีความดีความชอบเพราะมีลูก จึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเหม่ยเหริน[2]
เจียงเซี่ยนถอนหายใจเบาบางจนแทบไม่ได้ยิน
หลายวันนี้นางยุ่งอยู่กับการยืนยันว่าตนเองฝันไปหรือฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งกันแน่ มัวแต่อยู่กับท่านยายที่ป่วยตายไปแปดปีแล้วในความทรงจำ และยุ่งอยู่กับการรำลึกบุญคุณและความแค้นเหล่านั้นของชาติก่อน จนนึกไม่ถึงว่าจะละเลยเรื่องสำคัญขนาดนี้ไปได้
ทว่าต่อให้นางจำได้แล้วจะทำอย่างไรได้?
จ้าวอี้เหมือนกับเฉาไทเฮามารดาของเขามาก เป็นคนขี้ระแวงและเจ้าเล่ห์ ทำอะไรเย็นชาและโหดเหี้ยม เขาคิดจะต้อนและบีบบังคับ เฉาไทเฮาก็ต้องวางแผนมานานมากแล้วอย่างแน่นอน และเกรงว่าเจียงเจิ้นหยวนลุงของนางก็คงจะถูกหลอกให้ไปร่วมทำชั่วกับจ้าวอี้ตั้งนานแล้ว หากยุให้ท่านลุงเลิกร่วมมือกับเขาในเวลานี้ก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นและทำให้เฉาไทเฮาสงสัย และยังจะทำให้จ้าวอี้แค้นใจที่ลอบทำร้ายเขา จนสุดท้ายกลายเป็นผิดใจกับทุกคน
คนที่น่ากลัวที่สุดในราชสำนักก็คือคนที่ถนัดเปลี่ยนแปลงจุดยืนไปตามสถานการณ์และประจบทั้งสองฝ่าย
คิดในแง่ดีหน่อย อย่างน้อยชาติก่อนจ้าวอี้ก็ทำสำเร็จ ลุงของนางมีความดีความชอบที่ช่วยให้ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ อำนาจของตระกูลเจียงจึงมากขึ้นอีกขั้นเช่นกัน หากนางขัดขวางเหตุการณ์ในชาติก่อน และเฉาไทเฮายังกุมอำนาจในการปกครองเช่นเดิม ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น?
เอ่ยไปตั้งมากมาย เจียงเซี่ยนก็ถามใจตนเองดู จริงๆ แล้วนางคิดว่าเทียบกับเฉาไทเฮาที่ไม่เคยสนิทกันเลย หากจ้าวอี้ที่เป็นสามีภรรยากับนางมาสามปีกุมอำนาจก็จะจัดการได้ง่ายขึ้นหน่อย ดังนั้นเรื่องของเฉาไทเฮา นางก็อย่าไปยุ่งเลยดีกว่า…
เจียงเซี่ยนลุกขึ้นจะพยุงท่านยาย
แต่ไทฮองไทเฮากลับโบกมือ แล้วค่อยๆ วางไพ่ พลางเอ่ยว่า “อากาศหนาวขนาดนี้ เชิญไทเฮามาคุยกันในห้องอุ่นดีกว่า!”
“แบบนี้จะดีหรือ?” ไทฮองไท่เฟยราวกับเป็นกังวล
ตั้งแต่เฉาไทเฮากุมอำนาจ ช่วงสิบปีนี้ลูกชายคนที่สอง ลูกชายคนที่สาม และลูกชายคนที่สี่ของฮ่องเต้ที่เกิดจากฉินกุ้ยเฟยทั้งตาย พิการ และเป็นบ้า คนในวังต่างเกรงกลัวเฉาไทเฮากันมาก โดยเฉพาะไทฮองไทเฮาและไทฮองไท่เฟยที่มาจากครอบครัวขุนนางที่สร้างคุณูปการให้แคว้นอย่างยิ่งใหญ่ แล้วพี่ชาย น้องชาย หลานชายก็เป็นขุนนางในราชสำนักด้วย
ไทฮองไทเฮายิ้มเยาะ นางไม่แต่งตัวใหม่เช่นกัน แล้วไทฮองไท่เฟยกับเจียงเซี่ยนก็พยุงนางคนละข้างไปยังห้องที่อยู่ข้างๆ ห้องอุ่น
หลิวเสี่ยวหม่านขันทีของวังฉือหนิงนำทางอยู่ข้างหน้าด้วยตนเอง ขันทีและนางในสิบกว่าคนล้อมเฉาไทเฮาที่เดินเข้ามาอย่างแน่นหนา
นางเรียกด้วยรอยยิ้ม “เสด็จแม่”
เฉิงเต๋อไห่ขันทีของเฉาไทเฮายกเก้าอี้ไท่ซือ[3]มาให้เฉาไทเฮาเยี่ยงสุนัขรับใช้
หลิวเสี่ยวหม่านเหลือบตาลง สีหน้าไม่สู้ดีนัก
ทว่าไทฮองไทเฮากลับทำเป็นมองไม่เห็น และเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ลมแรงฝนตกหนักเช่นนี้ ยากที่เจ้าจะมาเยี่ยมข้าได้ มีเรื่องอะไรสำคัญหรือไม่? ให้คนมาบอกก็ได้ ทำไมยังต้องตามมาด้วยตนเองด้วย”
เฉาไทเฮาเป็นคนไม่รู้จักพอไปแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะหลายวันนี้ราบรื่นดี จึงมองไม่เห็นเงาของความทุกข์ใจในอดีตที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทิ้งไว้ให้นางบนตัวนางแล้ว สีหน้านางมีเลือดฝาด สายตามีชีวิตชีวา นางสวมเสื้อคลุมยาวลายองุ่นสีน้ำเงินเข้มและลูกพลับสี่ลูกที่ธรรมดามาก และสวมแค่ต่างหูทองคำบริสุทธิ์ลายมงคลกับทับทิมบนหู ท่าทางเต็มไปด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างคนที่มีตำแหน่งสูง
พวกเจียงเซี่ยนเข้าไปคารวะนาง
เฉาไทเฮาไม่ได้ปรายตามองไทฮองไท่เฟยแม้แต่นิดเดียว และเอ่ยกับไทฮองไทเฮาว่า “ไม่ได้มาวังฉือหนิงหลายวันแล้ว วันนี้ไม่ค่อยยุ่งพอดี จึงมาเยี่ยมสักหน่อยเพคะ” แล้วสายตาก็จ้องตรงไปที่เจียงเซี่ยน พลางยิ้มเล็กน้อยเช่นกัน “เป่าหนิง ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าสูงขึ้นอีกแล้วล่ะ?”
เฉาไทเฮาเป็นมิตรกับเจียงเซี่ยนมากมาตลอด
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับที่เจียงเซี่ยนได้รับความโปรดปรานจากไทฮองไทเฮาเป็นพิเศษอย่างแน่นอน แล้วก็เกี่ยวข้องกับที่ตอนนี้เจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงลุงของนางเป็นหนึ่งในสามกั๋วกง เป็นองคมนตรีที่ฮ่องเต้องค์ก่อนแนะนำให้จ้าวอี้ก่อนตาย และเวลานี้ยังรับผิดชอบคุมอำนาจทางการทหารของค่ายทหารภูเขาตะวันตกด้วย
ดังนั้นเฉาไทเฮาจึงอยากให้เจียงเซี่ยนแต่งงานกับเฉาเซวียนเฉิงเอินกงหลานชายของตนเองมาตลอด
ชาติก่อน เจียงเซี่ยนเกลียดวิธีที่เฉาไทเฮาจับคู่กับเฉาเซวียนที่อายุมากกว่าตนเองแปดปีมาก
ก่อนเฉาไทเฮาเข้าวัง ตระกูลเฉาเป็นเพียงขุนนางระดับสี่เล็กๆ ที่สืบทอดตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการเท่านั้น เฉาเซวียนอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้วยังไม่หมั้น ใครๆ ต่างก็รู้ว่าเฉาไทเฮาอยากใช้การแต่งงานของเฉาเซวียนยกระดับฐานะของตระกูลเฉา
คนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีหน่อยจะไม่ทำเรื่องแบบนี้กันเด็ดขาด เฉาไทเฮาที่อยากทำเรื่องแบบนี้ก็ไม่ชอบ ทว่าผ่านไประยะหนึ่ง เฉาไทเฮาก็ค่อยๆ ตั้งเป้ามาที่เจียงเซี่ยน
ชาตินี้ พอเจอกับความใส่ใจอย่างมีจุดประสงค์อื่นของเฉาไทเฮา เจียงเซี่ยนกลับรู้สึกยุ่งยากมาก
หลังจากจ้าวอี้ออกว่าราชการด้วยตนเอง นางกับเฉาเซวียนนั้น คนหนึ่งก็เป็นฮองเฮาที่ฮ่องเต้ไม่สนใจและเป็นแต่เพียงในนามเท่านั้น อีกคนก็เป็นกากเดนที่ฮ่องเต้เกลียดเป็นอย่างมากและกดดันให้จัดการอย่างถึงที่สุด เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้จึงต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อยอย่างหัวอกเดียวกัน และกลายเป็นว่าหลังจากเฉาไทเฮาตายนางกับเฉาเซวียนก็ช่วยเหลือกันและเป็นพันธมิตรกันไปโดยปริยาย นางกับเฉาเซวียนอดทนจนจ้าวอี้ตายด้วยกัน พอนางเป็นไทเฮา เฉาเซวียนก็กลายเป็นขุนนางคนสำคัญที่ช่วยเหลือฮ่องเต้ของนาง…
เกรงว่าเฉาไทเฮาก็คงไม่เคยคิดฝันเช่นกันกระมัง!
เจียงเซี่ยนพยายามระลึกถึงตอนตนเองอายุสิบสามปี
ตอนนั้นดูเหมือนนางยังไร้เดียงสามาก คิดว่ามีท่านยายกับท่านลุงปกป้องอยู่ ขอเพียงนางไม่ไปหาเรื่องคนอื่น คนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องมาล่วงเกินนางเช่นกัน นางจึงเกรงใจและรักษาระยะห่างกับเฉาไทเฮาและจ้าวอี้เหมือนเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน
เช่นนั้นก็แสร้งทำตัวเป็นเด็กสาวที่เรียบร้อยและรักษามารยาทแล้วกัน
เจียงเซี่ยนเม้มปากยิ้มให้เฉาไทเฮา ถือว่าตอบเฉาไทเฮาแล้ว
———————————–
[1] จ้าวอี้อ๋องเหลียว ลูกชายของฉินกุ้ยเฟยกับฮ่องเต้องค์ก่อน
[2] เหม่ยเหริน สนมระดับล่างของฮ่องเต้ ถือเป็นสามัญชน จึงไม่นับเป็นเชื้อพระวงศ์
[3] เก้าอี้ไท่ซือ เก้าอี้ไม้ตัวใหญ่แบบโบราณที่มีพนักพิงและที่วางแขน