มู่หนานจือ – บทที่ 11 ตัดสินใจ

มู่หนานจือ

ภายในสองวัน ไป๋ซู่เอ่ยถึงเฉาเซวียนเป็นครั้งที่สาม

เมื่อก่อนเจียงเซี่ยนอายุน้อยและไม่รู้ความ เวลานี้เริ่มใหม่อีกครั้ง นางจึงเรียนรู้ที่จะค้นพบสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกเหล่านั้นจากในส่วนที่เล็กที่สุดตั้งนานแล้ว

นางลูบถ้วยชาหลากสีลายมงคลอย่างช้าๆ พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มและท่าทางสบายมากว่า “ไม่ว่าอย่างไรเฉาเซวียนกับฝ่าบาทก็เป็นสายเลือดเดียวกัน แล้วเขาก็ไม่มีทางก่อกบฏ มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน?” นางเอ่ยจบก็ยังพูดล้อเล่นอีกว่า “ถึงเฉาเซวียนจะอยากก่อกบฏก็ไม่มีสิทธิเช่นกัน! ถึงอย่างไรเขาก็เป็นแค่พระญาติทางฝ่ายฮองเฮา เกรงว่าฝ่าบาทจะกังวลกับอ๋องเหลียวมากกว่า”

ตอนนั้นหัวหน้าองครักษ์ของฮ่องเต้องค์ก่อนคุ้มกันอ๋องเหลียวออกจากเมืองหลวง ไม่รู้ว่าระหว่างทางเจอโจรท้องถิ่นและโจรภูเขาไปเท่าไร ถึงทำให้คนที่ได้ยินข่าวยังคิดว่าเหลียวตงเต็มไปด้วยกบฏ!

ไป๋ซู่ได้ยินก็ร้อนใจขึ้นมา จึงเอ่ยว่า “ข้าพูดเรื่องจริงจังกับเจ้านะ! เจ้าดูคำพูดเหล่านั้นที่ฝ่าบาทตรัสเมื่อตอนบ่ายวันนี้สิ เจ้าก็รู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมเหมือนกันถึงได้ตอบเขาไปเช่นนั้นไม่ใช่หรือ?’”

เจียงเซี่ยนคิดถึงชาติก่อน

นางไม่ชอบเฉาเซวียน ไม่ชอบฟังคนพูดถึงเรื่องของเฉาเซวียน ไป๋ซู่ก็แทบจะไม่เอ่ยถึงเฉาเซวียนเช่นกัน

เจียงเซี่ยนคิดถึงครั้งนั้นที่ไป๋ซู่เข้าวังมาขอร้องให้เฉาเซวียนอีกครั้ง

ตอนนั้นนางแปลกใจมาก จึงถามไป๋ซู่ ‘เจ้าสนิทกับเฉาเซวียนตั้งแต่เมื่อไรกัน?’

เจียงเซี่ยนยังจำได้ว่าตอนนั้นหน้าของไป๋ซู่แดงจนเหมือนหยดเลือดทันที พูดจาก็ตะกุกตะกักเช่นกัน ‘ไม่ ไม่ใช่ข้า ท่านโหว…สนิทกับเฉิงเอินกง…’

นั่นเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไป๋ซู่ขอร้องนาง

นางยังคิดว่าไป๋ซู่หน้าบางเกินไปและขี้อาย

ตอนนี้ลองคิดดูแล้ว ด้วยนิสัยประจบประแจงและพึ่งพาอาศัยผู้มีอำนาจ ทั้งยังเย็นชาและไร้ความปรานีของจิ้นอันโหว จะช่วยเฉาเซวียนที่เห็นว่าจะซวยและไม่มีโอกาสเป็นไทอีกแล้วได้อย่างไร?

เจียงเซี่ยนมองไป๋ซู่

ขนตายาวของนางลู่ลงเล็กน้อย ทิ้งเงามืดไว้ตรงเบ้าตา แลดูสวยงามและอ่อนโยน

ที่แท้คนที่ไป๋ซู่ชอบคือเฉาเซวียน!

มีคนเก่งอย่างเฉาเซวียนอยู่ตรงหน้า จิ้นอันโหวนั่นนอกจากวงศ์ตระกูลแล้วก็แทบจะไม่มีอะไรดีสักอย่าง

นิ้วมือที่เรียวยาวและขาวผ่องของเจียงเซี่ยนวาดไปตามเค้าโครงของคนโทสีแดงเข้มบนถ้วยชานั้นเบาๆ ในใจคล้ายจะเจ็บปวดเหมือนเข็มทิ่มแทงเนื้อหนัง

“จ่างจู…” นางเอ่ยเน้นทีละคำว่า “เฉาเซวียนเป็นพระญาติทางฝ่ายฮองเฮา บรรดาศักดิ์ของเขาสิ้นสุดที่สามรุ่น และเป็นอันยกเลิก ยิ่งกว่านั้นเหมือนอย่างที่เจ้าว่า ต่อไปฝ่าบาทจะต้องพาลโกรธเฉาเซวียนเพราะไทเฮาจนเฉาเซวียนไม่มีทางได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายแน่นอน ในเมืองหลวงครอบครัวที่พอรู้เรื่องนี้มาบ้างก็จะไม่ให้ลูกสาวคนโตที่เกิดจากภรรยาหลวงแต่งงานกับเขา ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องประจบประแจงไม่สำเร็จ แล้วยังบังเอิญไปล่วงเกินฝ่าบาทเข้าด้วย”

ไป๋ซู่หน้าซีดและมองตรงมาที่เจียงเซี่ยน

ในดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความลนลาน

“ข้า ข้าไม่ได้…”

ใช่หรือไม่ ทุกคนรู้ดีอยู่แก่ใจ!

เจียงเซี่ยนจับมือของไป๋ซู่ไว้ สายตาจริงใจ

ไป๋ซู่ค่อยๆ ผ่อนคลายลง น้ำตารื้นขอบตา พลางสะอึกสะอื้นและเรียก “เป่าหนิง”

เจียงเซี่ยนรู้สึกไม่สบายใจอย่างถึงที่สุด

นางจะไม่ให้ไป๋ซู่แต่งงานกับจิ้นอันโหว

แต่นางก็ไม่มีวิธีทำให้ไป๋ซู่แต่งงานกับเฉาเซวียนได้เช่นกัน

แล้วก็เฉาเซวียน

เขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเกินไปแล้ว

เดิมทีนางคิดจะรอให้เรื่องของเฉาไทเฮาเรียบร้อยแล้วขอร้องให้ท่านลุงเนรเทศเฉาเซวียนไปหลิ่งหนาน

ด้วยความสามารถของเฉาเซวียน ขอเพียงไม่ตาย อย่างไรก็ดิ้นรนหาทางรอดได้

ทว่าแต่งงานกับไป๋ซู่ไม่ได้

ฮ่องเต้ไม่มีทางให้เฉาเซวียนแต่งงานกับคนที่ตระกูลสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงกับอำนาจมากอย่างไป๋ซู่แน่นอน

จวนเป่ยติ้งโหวก็ไม่กล้าให้ลูกสาวแต่งงานกับเฉาเซวียนเช่นกัน

ถึงจะคิดหาทางให้ไป๋ซู่ได้แต่งงานกับเฉาเซวียน แล้ววันข้างหน้าพวกเขาจะทำอย่างไร?

ชาติก่อนจ้าวอี้มีชีวิตอยู่แค่สามปี เฉาเซวียนที่ไม่มีใครออกหน้าช่วยพูดก็ถูกกดหัวจนหายใจไม่ทันแล้ว

ชาตินี้ไม่มีฮองเฮาอย่างนางแล้ว จ้าวอี้อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปีก็ได้

ถึงเวลานั้นเฉาเซวียนยังมีชีวิตอยู่หรือ?

ตอนกลางคืนเจียงเซี่ยนรั้งไป๋ซู่ไว้ให้นอนที่ตำหนักตงซาน

พวกนางนอนเบียดกันบนเตียงเหมือนตอนเด็ก

จนกระทั่งลมหายใจของเจียงเซี่ยนเปลี่ยนเป็นสม่ำเสมอและยาวเหยียดแล้ว ไป๋ซู่ถึงเรียกเสียงเบา “เป่าหนิง”

เจียงเซี่ยนหลับตาและแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

แล้วไป๋ซู่ก็เริ่มพลิกตัว

น้ำตาของเจียงเซี่ยนก็ไหลออกมาอย่างหยุดไม่ได้

สิ่งที่ชอบและสิ่งที่เกลียดต่างมาอยู่ข้างกาย แล้วจากกันด้วยความเศร้าและความแค้น

นางฟื้นคืนชีพครั้งหนึ่งเพื่อดูว่าเพื่อนสนิทที่อยู่ข้างกายเจ็บปวดและทรมานอย่างไรอีกรอบงั้นหรือ?

เช่นนั้นการที่นางฟื้นคืนชีพจะมีประโยชน์อะไร?

แล้วยังจ้าวอี้กับจ้าวสี่อีก

นางไม่คิดเล็กคิดน้อยกับบุญคุณและความแค้นเหล่านั้นในชาติก่อนและออกจากวังไปได้ แล้วก็มองฮูหยินเฟิ่งเซิ่งวางอำนาจบาตรใหญ่ในเมืองหลวง ให้เซียวซูเฟยนั่งที่นั่งของไทเฮาอย่างมั่นคง และให้จ้าวอี้ขึ้นครองราชย์ได้เช่นกัน แต่ในฐานะท่านหญิงที่ได้รับเงินเดือนชินอ๋อง นางต้องเข้าวังมาคารวะไทฮองไทเฮา ไทเฮา และฮองเฮา ทุกวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าที่ฮ่องเต้มีประชุมข้อราชการกับขุนนางตอนเช้า นางยอมศิโรราบอยู่ใต้เท้าคนพวกนั้นที่เคยทำร้ายนางและเคยทรยศนางในชาติก่อนได้อย่างเต็มใจหรือ?

เจียงเซี่ยนลุกขึ้นมานั่ง

แล้วทำไมนางจะต้องทำให้ตนเองลำบากใจด้วย!

ชาติก่อนนางไม่รู้อะไรทั้งนั้น แล้วก็ไม่เคยทำให้ตนเองลำบากใจ

ทำไมชาตินี้มองช่วงเวลาที่สำคัญออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้วกลับต้องเป็นคนขี้ขลาด

ถ้าอย่างนั้นการมีชีวิตอยู่ยังจะมีความหมายอะไร?

ในเมื่อต้องก่อความวุ่นวาย อย่างนั้นทุกคนก็ก่อความวุ่นวายกันสักรอบ

ถือโอกาสทำให้วุ่นวายขึ้นอีกหน่อยไปเลย

ถึงจะทำความผิดร้ายแรงก็แค่ตายเท่านั้น

ไม่ใช่ว่านางไม่เคยตายเสียหน่อย!

เจียงเซี่ยนถอนหายใจยาวเหยียด

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าความรู้สึกที่มีความสุขที่สุดและเสียใจที่สุดตั้งแต่ฟื้นคืนชีพมาต่างสงบลง

ทว่าไป๋ซู่กลับตกใจกับความกะทันหันของเจียงเซี่ยนจนเกือบจะสูญเสียการควบคุม นางรีบลุกขึ้นมานั่งตามแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเป็นอะไรไป? หิวน้ำหรือ? เดี๋ยวข้าเรียกให้ติงเซียงเอาโคมไฟเข้ามา เจ้าก็สวมเสื้อคลุม เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ลมกลางคืนหนาวไปถึงกระดูก โดนลมแล้วจะแย่เอา”

นางแหวกม่านเตียงแล้วยื่นศีรษะออกไป

เจียงเซี่ยนเช็ดหน้า น้ำเต็มมือ

ไป๋ซู่เป็นแบบนี้เสมอ เป็นเหมือนพี่สาวของนาง ตอนที่นอนด้วยกันกับนางก็จะต้องนอนด้านนอก มีอะไรก็จะคอยดูแลนางทุกอย่าง

นางเอ่ยเสียงแหบว่า “ให้พวกนางตักน้ำร้อนมาล้างหน้าให้ข้าเถอะ!”

ไป๋ซู่ถึงเห็นว่าบนหน้าเจียงเซี่ยนล้วนแล้วแต่เป็นน้ำตา

“เจ้าเป็นอะไรไป?” ไป๋ซู่ดึงมือนางมาอย่างร้อนใจ

“ข้าไม่เป็นไร” เจียงเซี่ยนมองถุงหอมดอกเก๊กฮวยที่แขวนอยู่ตรงมุมม่าน พลางถามไป๋ซู่ด้วยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าอยากแต่งงานกับเฉาเซวียนหรือ?”

ไป๋ซู่ลนลานไปอีกพักหนึ่ง “ไม่ ไม่ใช่ เจ้าอย่าคิดซี้ซั้ว จะทำให้คนอื่นหัวเราะได้ ข้าเจอเฉิงเอินกงเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นเอง…”

“แต่เจ้าไม่ได้พูดว่าที่บ้านไม่เห็นด้วย ไม่ได้พูดว่าผิดกฎต้องห้ามในวังและเสียชื่อเสียง กลับพูดแค่ว่ากลัวคนหัวเราะ” เจียงเซี่ยนเอ่ยตรงๆ “‘คนอื่น’ ที่เจ้าว่านี้คงหมายถึงเฉาเซวียนใช่หรือไม่? เจ้ากลัวเขาไม่ชอบเจ้าหรือ?”

“ไม่ใช่ ไม่ใช่” ไป๋ซู่มองติงเซียงเอาโคมไฟเข้ามา และอยากจะกระโจนเข้าไปปิดปากเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก และให้ติงเซียงกับเถิงหลัวช่วยล้างหน้าอย่างเงียบๆ ทาน้ำมันหอมอีกครั้ง ดื่มชาร้อนไปหลายอึก แล้วถึงจะนอนลงอีกครั้ง

ไป๋ซู่ไล่คนรับใช้ในห้องออกไปและปล่อยม่านเตียง

ในห้องเงียบไปชั่วขณะ มีแต่เสียงเทียนที่ระเบิดไส้ตะเกียงที่ไหม้แล้วกลายเป็นรูปดอกไม้ดังขึ้นมา

เจียงเซี่ยนถามไป๋ซู่ “เจ้าคิดว่าสองปีนี้ไทเฮาจะคืนอำนาจให้ฝ่าบาทหรือไม่?”

ไป๋ซู่ส่ายหน้า แล้วเอ่ยอย่างผิดหวังว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร!” นางชะงักไป แล้วกดเสียงต่ำ “ข้ากลับไปครั้งนี้ได้ยินท่านพ่อบอกว่า ไม่กี่วันก่อนไทเฮายังโบยผู้ตรวจการที่ยื่นหนังสือขอให้นางคืนอำนาจให้ฝ่าบาทจนตายอยู่เลย…หลายวันนี้ทุกคนต่างก็กำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้…”

————————-

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท