มู่หนานจือ – บทที่ 43 มีที่พึ่ง

มู่หนานจือ

ฉิงเค่อเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ดูท่านพูดเข้าสิ จะให้ท่านรออยู่ที่นี่ได้อย่างไร! ท่านหญิงทั้งสองยังไม่รู้ว่าจะกลับมาเมื่อไรเลย หากท่านไม่รังเกียจที่ตำหนักของพวกเรารกจนดูไม่เป็นตำหนัก ก็ไปนั่งที่ตำหนักของพวกเราดีกว่า!”

“จะได้อย่างไรกัน! หากไทเฮาทรงอยากพบข้า จากวังฉือหนิงไปวังคุนหนิงต้องใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยามเชียวนะ!” คนสกุลฟางเอ่ย

ฉิงเค่อก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน ทั้งสองคนคุยกันนานมาก ก็ยังไม่ได้เจอเจียงเซี่ยน คนสกุลฟางเริ่มรู้สึกเหนื่อย นางกลัวคนอื่นจะมองออกว่านางตั้งครรภ์ แล้วเด็กในท้องจะมีอันตรายอย่างคาดไม่ถึง จึงทักทายฉิงเค่อต่อเพียงไม่กี่คำ ก็อ้างว่าไปรอที่วังคุนหนิงจะสบายใจกว่า และพานางในสองคนไปยังวังคุนหนิง

เจียงเซี่ยนถึงเดินออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่

ใบหน้าของฉิงเค่อเปลี่ยนไปแล้ว นางกระซิบบอกเจียงเซี่ยนข้างหูว่า “ข้าเห็นอย่างชัดเจน ท้องจริงๆ เจ้าค่ะ”

เจียงเซี่ยนพยักหน้าอย่างเงียบๆ และไปวังฉือหนิง

ฉิงเค่ออยากพูดแต่ก็หยุดไว้

เจียงเซี่ยนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอยากถามอะไร?”

ฉิงเค่อรู้สึกว่าท่านหญิงเจียหนานเป็นคนที่เหมือนทำให้นางคาดเดาได้ยาก ก่อนที่นางจะเลื่อนขั้นมาเป็นนางในระดับสูง ถึงแม้ท่านหญิงเจียหนานที่อ่อนโยนกับคนข้างกายมากมาตลอดก็ดีกับนางเช่นกัน แต่กลับไม่เหมือนตอนนี้ที่ทำให้นางรู้สึกถึงความโปรดปรานและความไว้วางใจที่ท่านหญิงเจียหนานมีต่อนางได้อย่างชัดเจน ทว่าในความเป็นจริง นางก็ไม่ได้ทำอะไรเลย…ความโปรดปรานและความไว้วางใจนี้เหมือนต่างเกิดขึ้นอย่างแปลกประหลาดจนไม่อาจอธิบายได้

แต่ไม่ว่าอย่างไร ท่านหญิงเจียหนานให้ความสำคัญกับนางเช่นนี้ นางก็ดีใจยิ่งนัก

ระหว่างที่พูดคุยและรับใช้นางก็ผูกพันกันจนเกินความเป็นนายบ่าวไปเล็กน้อย

“เมื่อครู่ข้ากลัวมาก” ฉิงเค่อเอ่ยตามตรง “หากแม่นมฟางตกลงไปพักผ่อนที่ตำหนักตงซานจริงจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”

แม่นมฟางเป็นสตรีในวัง จู่ๆ ก็ตั้งครรภ์ ถึงแม้ท่านหญิงเจียหนานจะไม่ได้บอกนางว่าแม่นมฟางตั้งท้องลูกของใคร ทว่านางเป็นแม่นมของฮ่องเต้ ทำเรื่องที่ไร้ศีลธรรมแบบนี้ ไม่เพียงแต่ฮ่องเต้จะเสียหน้า คนที่เกี่ยวข้องกับนางอย่างพวกนางก็จะเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วยเช่นกัน

“ไม่มีทางหรอก” เจียงเซี่ยนค่อยๆ เดิน พลางเอ่ยเสียงเบา “นางกลัวไทฮองไทเฮามองออก จึงไม่กล้าไปคารวะไทฮองไทเฮาอย่างแน่นอน”

ฉิงเค่อเอ่ยเสียงเบาว่า “เช่นนั้นนางไปวังคุนหนิง? หากนางรู้ว่าพวกเราหลอกนางจะทำอย่างไรเจ้าคะ?”

เจียงเซี่ยนยังคงเอ่ยด้วยเสียงเฉื่อยชาเช่นเดิมว่า “เจ้าคิดว่านางกล้าไปถามไทเฮาหรือ?”

ฉิงเค่อส่ายหน้า

เจียงเซี่ยนก็เอ่ยอีกว่า “เมื่อครู่เจ้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าวันนี้ไทเฮาอาจจะไม่ว่างเจอนาง”

ฉิงเค่อหัวเราะขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “ท่านหญิงยังคงเก่ง…”

“ก็ไม่ใช่ว่าข้าเก่งหรอก!” เจียงเซี่ยนสอนนาง “เวลาที่เจอเรื่องก็ต้องใช้ความคิดมากหน่อย”

ฉิงเค่อพยักหน้าอย่างรู้ความ

ทั้งสองคนกลับตำหนักตงซาน

ยามโหย่วสามเค่อ ไป๋ซู่กลับมาแล้ว

ไป๋ซู่เปลี่ยนเสื้อผ้าไปพลาง บ่นกับนางไปพลาง “ยังดีที่เจ้าไม่ไป พวกเขาสร้างหอบรรพบุรุษบนภูเขาวั่นโซ่วแล้ว ในหอประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิม และสีหน้าของพระโพธิสัตว์กวนอิมองค์นั้นก็เหมือนไทเฮาไม่มีผิด ตอนนั้นสีพระพักตร์ของฝ่าบาทก็เปลี่ยนเลย…หากไทฮองไทเฮาทรงทราบ จะเสียพระทัยแค่ไหนกัน”

มีคนชราอยู่ จัดงานวันเกิดไม่ได้

แต่เฉาไทเฮาไม่เพียงจัดงานวันเกิด ทว่ายังอนุญาตให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแอบเล่นลูกไม้สร้างหอบรรพบุรุษให้ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างนางไปโดยปริยายด้วย

ชาติก่อนนางก็ได้ยินแล้ว

ตอนนั้นนางโกรธเป็นอย่างมาก จนต้องไปดูพระพุทธรูปองค์นั้นให้ได้

หลังจากเฉาไทเฮาตาย นางก็ให้คนละลายพระพุทธรูปที่สร้างขึ้นด้วยการหลอมทองคำบริสุทธิ์ ฝังมุกและหยก แถมหนักถึงสามร้อยกว่าชั่งองค์นั้น

เวลานี้นางได้ยินเรื่องนี้ จึงไม่แปลกใจอะไรมากแล้ว

นางถามไป๋ซู่ “เฉาเซวียนไปหรือยัง? ข้าได้ยินคนพูดว่า หลายวันนี้เฉาเซวียนเตรียมงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วตลอด”

“เขาไปแล้ว!” ตอนที่ไป๋ซู่เอ่ยถึงเฉาเซวียนนั้น เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงมีความสุขเป็นอย่างมาก “แต่ฝ่าบาทรั้งข้าไว้ถามถึงเจ้านานมาก ข้าบอกว่าไทฮองไทเฮาให้เจ้าอยู่เล่นไพ่ในตำหนัก ฝ่าบาทก็ทรงต่อว่าเจ้า ว่าตอนนี้เจ้าไม่ยอมเล่นกับพวกเราแล้ว…ฝ่าบาทพระทัยแคบมาก หากครั้งหน้าฝ่าบาทถามขึ้นมา เจ้าก็อย่าหลุดปากไปแล้วกัน” พอเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของนางก็ชะงักไป และเอ่ยว่า “เจียหนาน ข้าได้ยินว่าครั้งนี้อ๋องเหลียวก็มาด้วย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาจะเข้าวังเมื่อไรกันแน่”

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่อ๋องเหลียวมาแล้ว จ้าวเซี่ยวซื่อจื่อจิ้งไห่โหวก็มาแทนบิดาแล้วเช่นกัน เวลานี้สองคนนั้นคนหนึ่งน่าจะพักอยู่ในจวนที่ฮ่องเต้พระราชทานให้ที่ตรอกสี่ใหม่ของจิ้งไห่โหว ส่วนอีกคนน่าจะตั้งค่ายพักแรมอยู่ที่ที่ห่างจากค่ายทหารภูเขาตะวันตกสิบห้าลี้ รอเฉาไทเฮาเรียกเข้าเฝ้า

วันที่สิบสามเดือนสิบ ซึ่งเป็นวันก่อนวันเกิดของเฉาไทเฮาเช่นกัน พวกเขาต่างก็จะพักที่ตำหนักหยวนหล่างใกล้ภูเขาวั่นโซ่ว

เจียงเซี่ยนเอ่ยว่า “เฉาเซวียนยังอยู่ที่ภูเขาวั่นโซ่วหรือ? วันนี้พวกเจ้าได้คุยกันหรือไม่?”

ไป๋ซู่หน้าแดงและเอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “โธ่เอ๋ย ข้าพูดเรื่องจริงจังกับเจ้า ทำไมเจ้าล้อข้าเล่นประจำเลย?”

เจียงเซี่ยนยิ้มและเอ่ยว่า “นอกจากเรื่องของเจ้ากับเฉาเซวียนที่เป็นเรื่องจริงจังในใจข้าแล้ว เรื่องอื่นต่างก็ไม่ใช่เรื่องจริงจังอะไรนัก”

ไป๋ซู่ยิ่งหน้าแดง

ทั้งสองคนหยอกเล่นกันครู่หนึ่ง เจียงเซี่ยนก็บอกคำพูดของเมิ่งฟางหลิงกับนาง ทั้งสองคนปรับเปลี่ยนคำเรียบร้อย หลังจากแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปคารวะไทฮองไทเฮา

ไทฮองไทเฮารีบให้คนยกของว่างที่ทำใหม่มาให้พวกนางกิน และยิ้มพลางถามพวกนาง “ทำไมวันนี้ทำตัวเรียบร้อยขนาดนี้? นึกไม่ถึงว่าจะฝึกเขียนตัวอักษรใหญ่อยู่ในตำหนักอย่างว่าง่าย!”

ไป๋ซู่ไม่กล้าตอบ

เจียงเซี่ยนตีหน้าตาย และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อากาศหนาวขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่อยากไปไหนทั้งนั้นเพคะ” พอเอ่ยถึงตรงนี้ นางก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงเอ่ยว่า “เสด็จยาย หม่อมฉันอยากไปจวนเจิ้นกั๋วกงในสองวันนี้ เสด็จยายทอดพระเนตรอากาศสิเพคะ หม่อมฉันกลัวว่าถึงเวลานั้นหิมะจะตก”

ในเมื่อเรื่องในชาติก่อนตนเองไม่ได้เพ้อฝันแล้วก็ไม่ใช่ความฝันเช่นกัน เช่นนั้นเรื่องบางเรื่องก็ต้องคิดบัญชีสักหน่อยแล้ว

ไทฮองไทเฮารู้ว่าตระกูลเจียงไม่มีทางคิดที่จะรับเจียงเซี่ยนกลับจวนอย่างไร้สาเหตุ จะเห็นได้ว่าครั้งนี้ชอบสะใภ้ของบ้านไหนแล้วจริงๆ จึงอยากให้เจียงเซี่ยนไปดู แล้วก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าฝ่ายชายให้ความสำคัญกับฝ่ายหญิงด้วย

“ตอนเจ้ากลับมาก็บอกข้าหน่อยว่าคนที่หลานลวี่ถูกใจเป็นสะใภ้บ้านไหน” ไทฮองไทเฮาก็อยากรู้เช่นกัน “หน้าตาสวยมากหรือเปล่า? และเป็นคนอย่างไร?”

ชาติก่อนเจียงเซี่ยนยังมีประสบการณ์ในการเป็นแม่สื่อด้วย

นางพยักหน้าติดกันหลายครั้ง แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “เสด็จยายวางพระทัยเถอะเพคะ หม่อมฉันดูคนเก่งมาก” แล้วก็เปลี่ยนไปเอ่ยเรื่องอื่นว่า “เสด็จยาย หม่อมฉันก็ร่วมงานแบบนี้เป็นครั้งแรกเสียด้วย เสด็จยายว่าหม่อมฉันเจอแม่นางคนนั้นแล้ว ต้องให้ของขวัญอะไรสักชิ้นสำหรับการพบกันครั้งแรกหรือไม่? และหากต้องให้ของขวัญสำหรับการพบกันเป็นครั้งแรก จะมอบอะไรให้ดีเพคะ?”

ไทฮองไทเฮาเริ่มปรึกษากับเจียงเซี่ยนอย่างคึกคัก และลืมเรื่องที่เจียงเซี่ยนเขียนตัวอักษรใหญ่ไปหมดตั้งนานแล้ว แล้วก็ไม่ถามถึงอีกเลย

วันรุ่งขึ้น ไทฮองไทเฮาก็ส่งหลิวเสี่ยวหม่านไปบอกจวนเจิ้นกั๋วกงว่าอีกสามวันเจียงเซี่ยนจะกลับจวน

แต่เจียงเซี่ยนกลับแอบสั่งหลิวเสี่ยวหม่านไว้แล้วว่าลุงของนางเป็นคนถ่อมตน นางไม่นั่งรถของท่านหญิง ท่านลุงก็ไม่ต้องเปิดประตูข้างต้อนรับเช่นกัน นางไปโดยมีสัมภาระและผู้ติดตามไม่มากนัก ตระกูลเจียงก็ต้อนรับแบบเรียบง่ายก็พอแล้ว

หลิวเสี่ยวหม่านได้ยินแล้วก็ยิ้มตลอด

ถึงวันนัดหมาย ฮูหยินเจิ้นกั๋วกงมารับเจียงเซี่ยนถึงในวังกลับจวนด้วยตนเอง

ไทฮองไทเฮายังไม่อยากให้นางไป จึงรั้งเจียงเซี่ยนไว้และกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าสิบกว่ารอบก็ยังไม่วางใจ อยากจะตามไปจวนเจิ้นกั๋วกงเองด้วย

เจียงเซี่ยนออกจากวังมาอย่างยากลำบาก ตอนที่ถึงจวนเจิ้นกั๋วกงก็เป็นยามซื่อสามเค่อแล้ว

———————————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท