มู่หนานจือ – บทที่ 49 เยือกเย็น

มู่หนานจือ

“เจ้าจะรู้อะไร?” ไทฮองไทเฮาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ และตวาดเจียงเซี่ยนว่า “ฝ่าบาทเพิ่งจะโตได้หน่อย หากไม่ใช่ว่าคนสกุลฟางล่อลวงฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทำความผิดมหันต์นี้ได้หรือ?” แล้วก็พาลโกรธเฉาไทเฮาอีก “ข้าเคยเตือนนางตั้งนานแล้วว่าให้นางส่งนางในที่เชี่ยวชาญเรื่องทางโลกไปรับใช้ฝ่าบาท แต่นางกลับกลัวว่าฝ่าบาทมีลูกชายคนโตที่เกิดจากสนมแล้ว ขุนนางใหญ่ในราชสำนักจะบีบบังคับให้นางมอบอำนาจคืนให้ฝ่าบาท จึงทำหูทวนลมไปเสีย จนถ่วงเวลามาถึงตอนนี้จนได้ ทีนี้ดีแล้ว คนสกุลฟางนั่นทำเรื่องอื้อฉาวแบบนี้ หากแพร่งพรายออกไป ฝ่าบาทยังมีหน้าไปเจอขุนนางใหญ่ในราชสำนักและผู้ตรวจการที่ไหนกัน และในบันทึกประวัติศาสตร์จะเขียนถึงฝ่าบาทอย่างไร…”

เจียงเซี่ยนฟังจนปวดศีรษะ กว่าจะหาโอกาสขัดจังหวะไทฮองไทเฮาได้ก็ยากมาก จึงเอ่ยว่า “เสด็จยาย เย็นพระทัยก่อนเพคะ เรื่องนี้ให้ไทเฮามาจัดการดีกว่ากระมัง? ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก แพร่งพรายออกไปเพียงนิดเดียว พระเกียรติของฝ่าบาทก็จบสิ้นแล้ว!”

ไทฮองไทเฮาก็รู้เช่นกันว่าเรื่องแบบนี้เปิดเผยไม่ได้ เพียงแต่ตกใจ จนยับยั้งความโกรธในใจไม่อยู่ไปชั่วขณะ หลานสาวเตือนสองสามคำ นางก็ค่อยๆ ใจเย็นลง และนั่งดื่มชาบนเตียงอุ่นหลังใหญ่ใกล้หน้าต่าง แล้วถึงเรียกหลิวเสี่ยวหม่านเข้ามาเอ่ยว่า “บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญ ให้คนสกุลเฉามาหาข้าเดี๋ยวนี้”

หลิวเสี่ยวหม่านไม่ได้ปรายตามองเจียงเซี่ยนแม้แต่นิดเดียว เขาค้อมตัวพลางขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ” แล้วออกไป

เจียงเซี่ยนรีบเตือนไทฮองไทเฮาเสียงเบาว่า “หากเฉาไทเฮาถามขึ้นมาว่าพวกเรารู้ได้อย่างไร…”

เรื่องนี้จะลากตระกูลเจียงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้เด็ดขาด

ไทฮองไทเฮาหลับตาลง นางถอดลูกประคำไม้กฤษณาที่แกะสลักเป็นรูปดอกบัวและสิบแปดอรหันต์ที่สวมอยู่บนข้อมือออกมานับทีละเม็ด และค่อยๆ เอ่ยว่า “เรื่องเล็กน้อยแบบนี้ข้ามีแผนการอยู่แล้ว แต่กับคนนอก เจ้าอย่าได้แสดงท่าทีพิรุธออกไป ต่อให้เป็นไป๋ซู่ก็บอกไม่ได้เช่นกัน”

แน่นอนว่าเจียงเซี่ยนก็ไม่มีทางที่จะดึงไป๋ซู่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอยู่แล้ว

นางรับปากติดกันหลายครั้ง และเอ่ยว่า “หม่อมฉันนั่งเป็นเพื่อนเสด็จยายสักครู่แล้วกัน! ไว้ไทเฮาเสด็จมาแล้วหม่อมฉันค่อยไป”

ไทฮองไทเฮาถอนหายใจ นัยน์ตาก็ทอประกาย พลางบ่นเสียงเบาว่า “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้? ทำไมฝ่าบาทถึงได้เลอะเลือนเช่นนี้? ตอนเด็กน่ารักน่าชังแค่ไหน ใครเห็นแล้วไม่อยากอุ้มบ้าง ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้เล่า? เขามีเรื่องอะไรที่บอกข้าไม่ได้! ต่อให้ข้ารับปากเขาไม่ได้ ก็จะไปลองพูดกับคนสกุลเฉาเช่นกัน…ก็โทษข้าด้วยที่ปกติไม่ค่อยสนใจเขา ทำให้เขากลายเป็นแบบนี้…ครั้งนี้ไม่ว่าคนสกุลเฉาพูดอะไร ข้าก็จะให้ฝ่าบาทเลือกฮองเฮา หากนางไม่ตกลง ข้าจะไปปรึกษากับอ๋องเจี่ยน…”

เจียงเซี่ยนตกใจจนเหงื่อตกทั้งตัว แล้วก็รู้สึกว่าแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะไม่รู้อะไรทั้งนั้น ท่านยายถึงได้ก่อเรื่องเช่นนี้ ขอเพียงเฉาไทเฮาไม่ก่อความวุ่นวายตามไปด้วยก็พอแล้ว

เมื่อก่อนตอนที่นางเป็นท่านหญิงก็เกลียดเฉาไทเฮามาก ตอนที่เป็นฮองเฮาก็เห็นใจเฉาไทเฮามาก จนนางเป็นไทเฮาที่สำเร็จราชการแทนแล้วก็เริ่มชอบไทเฮาขึ้นมา

เทียบกับนาง เฉาไทเฮามาจากตระกูลต่ำต้อย พวกพี่น้องของนางเองไม่เพียงแต่ช่วยอะไรนางไม่ได้ ทว่าไม่ถ่วงความเจริญนางก็ขอบคุณฟ้าดินแล้ว และนางก็ดันเดินมาทางเดียวกันอย่างยากลำบาก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เห็นว่าตอนแรกเฉาไทเฮาเพียงแค่อยากรักษาอำนาจในการปกครองแคว้นนี้ไว้ให้ลูกชายที่ยังเล็กเท่านั้น ถึงได้อยากว่าราชการหลังม่าน ขุนนางของสำนักราชเลขาธิการและทั้งหกกรมไม่มีใครสนับสนุนสักคน ฎีกาที่กล่าวโทษปลิวว่อนเหมือนเกล็ดหิมะ นางเรียกเข้าเฝ้าทีละคน และปลอบใจทีละคน จนสุดท้ายด้านหลังบัลลังก์ที่ตำหนักจินหลวนก็ติดม่านมุกเพิ่ม

จนกระทั่งถึงคราวของเจียงเซี่ยน เหล่าขุนนางใหญ่ในราชสำนักเหมือนชินกับการที่ไทเฮาสำเร็จราชการแทนแล้ว เมื่อไม่มีเสียงต่อต้านอะไร นางจึงเป็นไทเฮาที่ว่าราชการหลังม่าน

เจียงเซี่ยนนึกถึงการคาดการณ์ที่ลุงของตนเองมีต่อเฉาไทเฮา ‘ฝ่าบาทจะเกลียดเฉาไทเฮาเพราะเฉาไทเฮาอยากแต่งตั้งฮ่องเต้ที่อายุยังน้อยอีกครั้ง ทว่าเฉาไทเฮากลับไม่มีทางที่จะเกลียดฝ่าบาทเพราะฝ่าบาทอยากให้ลูกชายที่แม่นมฟางให้กำเนิดเป็นองค์ชาย’

นี่ก็เป็นจุดที่นางเทียบไทเฮาไม่ได้เช่นกัน

แม้ไทฮองไทเฮาจะเรียกเข้าเฝ้า เฉาไทเฮาก็เพิ่งจะมาเอาตอนบ่าย

เวลานี้อารมณ์ของไทฮองไทเฮาสงบลงเรียบร้อยแล้ว

นางกับเฉาไทเฮาปิดประตูคุยกันเกินครึ่งชั่วยาม

ตอนที่เฉาไทเฮาเดินออกมานั้นสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ต่างอะไรกับตอนมาเลย กระทั่งการแต่งหน้าก็หมดจด ไม่มีอะไรเละเทะแม้แต่นิดเดียว นางเจอเจียงเซี่ยนยกของว่างอย่างพวกผลไม้และขนมอบที่เตรียมนำเข้าไปให้พวกนาง ก็ยังเอ่ยชมกระโปรงที่เจียงเซี่ยนใส่วันนี้ด้วย “ที่ปักด้วยไหมทองกับไข่มุกนี้คืออะไรหรือ? ดอกกล้วยไม้หรือใบหลิว? งามมากเลย! พวกช่างเย็บปักของกองพระภูษาเป็นคนปักหรือ? วันหลังให้พวกนางปักดอกไม้ลงไปบนเสื้อคลุมที่ตัดให้ข้าใหม่ด้วยสักสองดอกดีกว่า”

เจียงเซี่ยนนับถือมาก และเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “กองพระภูษาเป็นคนปักเพคะ หากไทเฮาโปรดปราน หม่อมฉันจะแจ้งกองพระภูษา และให้พวกนางเอาตัวอย่างลายปักไปให้ที่วังของไทเฮาเพคะ”

เฉาไทเฮายิ้มพลางพยักหน้า และสั่งเฉิงเต๋อไห่ให้จำเรื่องนี้ไว้ แล้วออกจากวังฉือหนิงไป

เจียงเซี่ยนรีบไปที่ห้องอุ่นตะวันออก

สีหน้าของไทฮองไทเฮายังหลงเหลือความโกรธอยู่ พอเห็นเจียงเซี่ยนเข้ามาก็อดที่จะบ่นไม่ได้ว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหัวใจนางทำด้วยอะไร? หลังจากตกใจและอึ้งไปในตอนแรกแล้วก็นั่งตีหน้าขรึมอยู่ตรงนั้น ไม่พูดอะไรสักคำ หากข้าถามอย่างร้อนใจ นางก็ยังคงทำท่ารำคาญ จนกระทั่งก่อนไป ถึงสั่งให้ข้าอย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ออกไป ไว้ผ่านวันเกิดไปแล้วค่อยว่ากัน”

เจียงเซี่ยนรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกแล้ว

นางปลอบไทฮองไทเฮา “ไทเฮาเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองเป็นอย่างมาก เรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่างไรไทเฮาก็ต้องตรวจสอบกระมัง?”

ไทฮองไทเฮาก็รู้ว่าเพราะเหตุนี้ ทว่ายังคงเอ่ยอย่างรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมากว่า “แต่จะไม่พูดอะไรเลยก็ไม่ได้เหมือนกันนี่นา? ตัวนางมีความเป็นแม่ตรงไหนบ้าง! ฝ่าบาทเป็นแบบนี้ ล้วนเป็นเพราะนาง…”

เจียงเซี่ยนช่วยไทฮองไทเฮาปอกส้ม หั่นสาลี่ และปลอบหญิงชราอยู่นานมาก ไทฮองไทเฮาถึงรู้สึกดีขึ้น

นางจึงเชิญไทฮองไท่เฟยกับไป๋ซู่มาเล่นไพ่เป็นเพื่อนไทฮองไทเฮา ไทฮองไทเฮาถึงอารมณ์ดีขึ้นอย่างสมบูรณ์

เจียงเซี่ยนก็เหมือนยกภูเขาออกจากอกไปด้วย สีหน้ามีความสุขและสบายใจ ถึงขนาดที่ว่าตอนกลางคืนที่กลับไปพร้อมกับไป๋ซู่ ไป๋ซู่ดึงแขนเสื้อของนางไว้ไม่ปล่อย จะให้นางบอกว่าหลายวันนี้ไปทำอะไรมาให้ได้ เจียงเซี่ยนแต่งเรื่องจากความทรงจำของชาติก่อนถึงผ่านไปได้

วันรุ่งขึ้นฉิงเค่อแอบบอกนาง “ทางฝ่าบาทกับไทเฮาต่างไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเจ้าค่ะ เมื่อเช้าตอนที่ฝ่าบาทกับไทเฮาไปตำหนักจินหลวนด้วยกัน ไทเฮายังถามว่าเสื้อกันหนาวของฝ่าบาทตัดไปถึงไหนแล้วอยู่เลยเจ้าค่ะ!”

ยิ่งเฉาไทเฮาข่มอารมณ์ไว้ได้ดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งแสดงว่าแผนการของเจียงเซี่ยนประสบความสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น

เจียงเซี่ยนอารมณ์ดีมาก และตัดสินใจปล่อยเซียวหรงเหนียงไป ชาตินี้ก็ให้นางซักเสื้อผ้าให้คนอื่นอยู่ในฝ่ายซักล้างไปแล้วกัน

ส่วนมารดาของจ้าวสี่ นางคิดว่าซ่งเสี่ยนอี๋ก็เหมาะสมมาก

ชาติก่อนนางตายเร็วมาก ชาตินี้ก็อาจจะหนีคำว่าตายไม่พ้นเช่นกัน ทว่าในนามของมารดาแท้ๆ ของจ้าวสี่ อย่างน้อยหลังตายก็สามารถฝังในสุสานของราชวงศ์ได้ หากฝังคู่กับจ้าวอี้ นั่นก็ยิ่งดี

ให้จ้าวอี้ไปถึงปรโลกแล้วก็ให้นางยับยั้งความรักที่จ้าวอี้มีต่อคนสกุลฟางเอาไว้

รังเกียจจ้าวอี้ไปตลอดชีวิต!

เจียงเซี่ยนตัดสินใจนัดไป๋ซู่ไปเดินเล่นในอุทยานหลวง ตั้งใจว่าจะบอกนางเรื่องที่ภูเขาวั่นโซ่วนั้น

ใครจะรู้ว่านางเพิ่งจะก้าวออกจากห้องก็มีหินก้อนเล็กก้อนหนึ่งตกใกล้เท้านาง

ตอนแรกนางยังไม่ได้ใส่ใจ

เพิ่งจะเดินได้ก้าวเดียว ก็มีหินก้อนเล็กอีกก้อนหนึ่งตกใกล้เท้านาง

นางอดที่จะมองไปรอบด้านไม่ได้

แล้วก็เห็นหลี่เชียนพิงอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้และใบไม้ที่หนาแน่นและเจริญงอกงามของต้นไม้โบราณอายุร้อยปีนอกกำแพงตำหนักตงซานและยิ้มกว้างให้นาง

———————————–

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท