มู่หนานจือ – บทที่ 65 อี๋เล่อ

มู่หนานจือ

ความอึดอัดนี้ก็เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น

ไม่นานจ้าวเซี่ยวก็ปล่อยวางความรู้สึกเหล่านั้น

ท่านหญิงเจียหนานจะท่าทางน่าเกรงขามแค่ไหนก็เป็นเพียงเด็กสาวที่ไม่เคยผ่านความยากลำบาก หากก้าวออกจากวังหลวงและจวนเจิ้นกั๋วกงแล้ว นางก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น

จ้าวเซี่ยวเริ่มคิดทบทวนอีกเรื่องหนึ่ง

หากเฉาไทเฮาไม่สามารถบดขยี้วังฉือหนิงได้อย่างที่พวกเขาคิด อย่างนั้นก็หมายความว่าเจียงเจิ้นหยวนเจิ้นกั๋วกงก็ไม่ได้ถูกเฉาไทเฮาควบคุมใช่หรือไม่?

ฮ่องเต้มีส่วนร่วมอะไรในนั้นด้วยหรือไม่?

ท่านหญิงเจียหนานไม่ยอมแต่งงานกับเฉาเซวียน เป็นเพราะตระกูลเจียงกับฮ่องเต้แอบตกลงอะไรกันหรือเปล่า?

จ้าวเซี่ยวยิ้มอย่างสุภาพ เขาตามหลังเจียงเซี่ยนอย่างสงบเยือกเย็น ท่าทีราวกับจะไปตำหนักอี๋เล่ออยู่แล้ว จึงบังเอิญไปทางเดียวกับเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนปล่อยให้เขาตามไป และเข้าไปในตำหนักอี๋เล่อ

โรงละครจัดเรียบร้อยแล้ว แขวนม่านและตั้งโต๊ะเก้าอี้แล้ว อู่เซิง[1]ตีลังกาอยู่บนเวที ชิงอี[2]ร้องงิ้วอยู่ข้างๆ อาจารย์ที่สอนการร้องงิ้วส่งสัญญาณให้อาจารย์ที่สีหูฉินหยุด แก้ไขบทงิ้วของชิงอีอยู่ก็หงุดหงิดที่พวกนักแสดงงิ้วหยอกเล่นกันไปมา จึงหันไปตวาดด่าสองสามคำ คนงานที่แบกอุปกรณ์ประกอบฉากอยู่ข้างๆ เหมือนไม่ได้ยิน และเดินผ่านตรงกลางไป ทว่าชั่วขณะที่เห็นเจียงเซี่ยนกลับทำหน้าตกใจกันเป็นอย่างมาก และคุกเข่าลงอย่างลนลาน ด้วยไม่รู้ว่าจะเรียกอย่างไร จึงเรียก ‘เหนียงเหนียง’ กันอย่างวุ่นวาย

เจียงเซี่ยนรู้สึกว่าน่าสนใจมาก

ในบทงิ้วมักจะเขียนถึงฮ่องเต้และอำนาจของฮ่องเต้ ราวกับคำพูดประโยคเดียวของฮ่องเต้ก็สามารถทำให้น้ำทะเลไหลทวนกลับได้ ความจริงแล้วฮ่องเต้เป็นตำแหน่งที่อาภัพ ทำได้ไม่ดี ไม่นำภัยมาสู่ลูกหลานก็นำภัยมาสู่ตนเอง

ทุกครั้งที่นางดูงิ้วก็รู้สึกว่าคนที่เขียนบทงิ้วเหล่านี้ต้องเป็นบัณฑิตตกอับอย่างแน่นอน จึงไม่รู้อะไรทั้งนั้น และอาศัยแต่ความคิดฟุ้งซ่านส่วนตัว

เจียงเซี่ยนเข้าไปนั่งลงบนเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ

เสียงเครื่องเป่าในตำหนักใหญ่ทุกชิ้นหยุดลงจนเงียบสนิท

เจียงเซี่ยนกำลังอยากถามอะไรเล็กน้อย ก็มีผู้ชายที่แต่งหน้าได้ครึ่งหนึ่งและสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบผ้าไหมหังสีน้ำเงินอมเขียวพุ่งออกมาจากด้านหลัง และเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

ตอนที่เห็นเหตุการณ์ในตำหนักใหญ่ เขาก็มองเจียงเซี่ยนอย่างตกใจครั้งหนึ่ง และหลุบตาลงในทันที เขาก้าวมาข้างหน้าสองสามก้าวและคุกเข่าลงหน้าทุกคน พลางเอ่ยด้วยเสียงประหม่าเล็กน้อยว่า “ข้าน้อยตู้ฮุ่ยจวินจากคณะเหลียนจูคารวะเหนียงเหนียงขอรับ”

‘เหนียงเหนียง’ เป็นคำเรียกสนมของฮ่องเต้

หลิวตงเยว่ขมวดคิ้ว และตวาดว่า “นี่คือท่านหญิงของพวกเรา”

ตู้ฮุ่ยจวินรีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยตู้ฮุ่ยจวินจากคณะเหลียนจูคารวะท่านหญิงขอรับ”

คิดไม่ถึงว่าจ้าวเซี่ยวจะพูดถูกแล้ว คนที่ร้อง ‘เฉินเซียงช่วยแม่’ คือท่านตู้แห่งคณะเหลียนจูจริงๆ เสียด้วย

หรือว่าจ้าวเซี่ยวชอบดูงิ้วหรือ?

คณะเหลียนจูนี้ตอนที่เจียงเซี่ยนเป็นไทเฮาก็เคยได้ยินเช่นกัน

ทว่าเวลานั้นนางครอบครองตำแหน่งสูงศักดิ์ ความชอบส่งผลกระทบต่อบ้านเมืองได้ง่าย แม้จะดูงิ้วก็ไม่ถึงกับย้ายคณะงิ้วคณะหนึ่งจากทางใต้เข้าเมืองหลวง

จะเห็นได้ว่าถึงจะได้เป็นไทเฮาแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรตามใจชอบได้อยู่ดี แถมยังอาจจะไม่มีวาสนาเท่าพวกฮูหยินเฒ่าของตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยด้วย

เจียงเซี่ยนยิ้มพลางให้ตู้ฮุ่ยจวินลุกขึ้นยืน และสังเกตเขาอย่างละเอียด

เพราะแต่งหน้าปิดไว้ จึงดูอายุและหน้าตาไม่ออก รูปร่างปานกลาง ดูท่าทางผอมมากทีเดียว ถึงแม้จะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างตื่นตระหนก ทว่ากลับพยายามวางตัวให้ถูกกาลเทศะอย่างสุดกำลังเช่นกัน

เจียงเซี่ยนถามเขาด้วยเสียงอ่อนโยน “มีแต่คณะงิ้วของพวกเจ้าที่อยู่ที่นี่หรือ?”

ตู้ฮุ่ยจวินตอบอย่างนอบน้อมว่า “วันนี้มีการซ้อมของคณะงิ้วสามคณะ ตอนเช้าเป็นคณะสือซาน ตอนบ่ายเป็นพวกเรา ตอนเย็นเป็นคณะสื่อเจียขอรับ”

เจียงเซี่ยนเห็นเขาพูดจาคล่องแคล่วและฉะฉาน จึงถามเพิ่มอีกสองสามอย่าง

ตู้ฮุ่ยจวินรู้สึกได้ว่าเจียงเซี่ยนจิตใจดี จึงค่อยๆ กลัวน้อยลงเช่นกัน

ทว่ากลับอดที่จะพึมพำในใจไม่ได้

ไม่ใช่ว่าชายหญิงพูดคุยกันโดยตรงไม่ได้และอายุเจ็ดปีขึ้นไปก็นั่งด้วยกันไม่ได้แล้วหรือ? ทำไมท่านหญิงคนนี้กลับกล้าคุยกับเขาเช่นนี้?

บางทีอาจจะเหมือนอย่างที่อาจารย์ของเขากล่าว คนยืนอยู่จุดสูงสุดแล้ว ไม่มีกฎใดผูกมัดเขาได้ทั้งนั้น

จ้าวเซี่ยวที่ฟังอยู่ข้างๆ ฝืนอดทนไว้ถึงจะไม่เผยสีหน้าแปลกใจออกมา

ท่านหญิงเจียหนานผู้นี้…เป็นเพียงท่านหญิงเท่านั้นหรือ?

มีท่านหญิงที่ใจกล้าขนาดนี้หรือ

นางเป็นคนอย่างไรกันแน่?

ต่อให้นางเป็นฮองเฮา ก็ไม่มีทางที่จะทำอะไรตามใจตนเองอย่างไร้ความเกรงกลัวเช่นนี้

ตระกูลเจียงกับฮ่องเต้แอบตกลงกัน?

จ้าวเซี่ยวรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาในทันใด

เขาหาโอกาสชวนเจียงเซี่ยนคุย พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านหญิง ถึงคณะเหลียนจูจะเป็นคนใต้ แต่กลับร้องงิ้วภาคเหนือ คณะสื่อเจียก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว ‘สะพานขาด’ ‘กุ้ยเฟยเมาสุรา’ ‘ฉีซวงฮุ่ย’ ล้วนเป็นงิ้วเรื่องที่พวกเขาถนัด มีแต่คณะสือซานที่ร้องงิ้วภาคใต้ แถมท่วงทำนองยังแตกต่างจากของคุนซานและของอวี๋เหยาด้วย คนเหนือร้องเป็นภาษากวางตุ้งหาได้ยาก น่าฟังทีเดียว”

สายตาของทุกคนต่างจับจ้องที่จ้าวเซี่ยว เหมือนเพิ่งเห็นว่ามีคนๆ นี้อยู่ข้างเจียงเซี่ยนด้วยก็ตอนนี้

ตู้ฮุ่ยจวินยิ่งเอ่ยด้วยสีหน้างุนงงว่า “มิทราบว่าใต้เท้า…”

เดิมทีเพราะคณะเหลียนจูเล่นงิ้วล่วงเกินชนชั้นสูงในเมืองหลวง อยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้แล้วถึงได้ไปเจียงหนาน ผ่านไปสองสามรุ่นก็ไม่กล้ากลับเมืองหลวง ถึงแม้ก่อนเข้าเมืองหลวงจะเคยสอบถามลูกหลานของบรรดาตระกูลที่ครอบครองตำแหน่งสูงและมีอำนาจในเมืองหลวงมามาก แต่ก็รู้เพียงผิวเผินเท่านั้น

ในความทรงจำของเขา ไม่มีซื่อจื่อตระกูลไหนเชี่ยวชาญเรื่องงิ้ว

เขามองเจียงเซี่ยนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม

เจียงเซี่ยนก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจ้าวเซี่ยวจะเชี่ยวชาญเรื่องคณะงิ้วเช่นนี้ สงสัยจ้าวเซี่ยวจะเป็นผู้ที่ชื่นชอบและหลงใหลในการดูงิ้ว

ทว่าชาติก่อนนางไม่เคยได้ยินว่าจ้าวเซี่ยวสนใจเรื่องพวกนี้

จะเห็นได้ว่าพวกเขาต่างเป็นคนที่สวมหน้ากากใช้ชีวิต

หากจ้าวเซี่ยวรู้ว่าวันข้างหน้าตนเองจะกลายเป็นคนที่มีอำนาจที่สุดในทางใต้ จะเสียใจที่วันนี้เผยมุมหนึ่งของหน้ากากออกมาต่อหน้านางหรือไม่?

เจียงเซี่ยนอดที่จะยิ้มเล็กน้อยไม่ได้

นางใช้ผ้าเช็ดหน้าบังปาก และกระแอมไอเบาๆ สองครั้ง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “จิ้งไห่โหว” และวางผ้าเช็ดหน้าลง

ฉิงเค่อที่อยู่ข้างๆ คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของเจียงเซี่ยนอยู่ตลอดเวลา

ก่อนหน้านี้เจียงเซี่ยนเคยให้นางท่องรายชื่อของคนที่มาอวยพรวันเกิดที่ภูเขาวั่นโซ่ว

นางได้ยินก็เข้าใจทันที จึงยิ้มพลางก้าวไปข้างหน้าสองก้าว และเอ่ยกับตู้ฮุ่ยจวินว่า “ท่านนี้คือซื่อจื่อจิ้งไห่โหว”

จ้าวเซี่ยวแปลกใจเล็กน้อย

แต่ตู้ฮุ่ยจวินกลับเบิกตาโต และเผลอร้องออกมาว่า “ที่แท้ก็ท่านไต้ซานนี่เอง”

จ้าวเซี่ยวตกใจ นึกถึงท่าทางของเจียงเซี่ยน และคิดว่าเจียงเซี่ยนก็อยู่ข้างกาย เขารู้สึกเหมือนกลัวโดนจับได้อย่างบอกไม่ถูก จึงปรายตามองเจียงเซี่ยนครั้งหนึ่ง

เจียงเซี่ยนอยากจะหัวเราะเสียงดังสักสามครั้ง

ซื่อจื่อจิ้งไห่โหว ดูงิ้วจนติด แถมยังดูจนถึงขั้นมีนามแฝงด้วย…

ไม่รู้ว่าบิดาของเขารู้หรือไม่?

“ที่แท้ซื่อจื่อก็เป็นนักแสดงงิ้วสมัครเล่นหรือ!” เจียงเซี่ยนพูดไป เสียงก็ยิ่งฟังดูอ่อนโยนและสนิทสนมมากขึ้น “เช่นนี้ก็ดีเลย เดิมทีข้าอยากมาดูว่าทุกคนกำลังซ้อมงิ้วเรื่องอะไรกันอยู่บ้าง ก็กลัวว่าจะทำให้เสียเวลาการแสดงของวันพรุ่งนี้ ไม่ใช่ว่ามีคำพูดที่กล่าวว่า ‘ดนตรีอันไพเราะแสวงหาคนที่รู้ใจ’ หรือ? ตอนนี้มีซื่อจื่ออยู่ที่นี่แล้วก็แลกเปลี่ยนความรู้กับท่านตู้ได้พอดี ข้าดูอยู่ข้างๆ ก็ถือว่าไม่ทำให้เสียเวลาในการซ้อมและร้องงิ้วแล้วเช่นกัน”

องครักษ์ของจ้าวเซี่ยวเผยสีหน้าโกรธออกมาทันที

ซื่อจื่อของพวกเขาเป็นถึงผู้สืบทอดจิ้งไห่โหว ไม่ใช่นักแสดงงิ้วชื่อดังและดนตรีอันไพเราะแสวงหาคนที่รู้ใจอะไรเสียหน่อย นี่กำลังด่าว่าซื่อจื่อของพวกเขาเป็นนักแสดงงิ้วไม่ใช่หรือ?

จ้าวเซี่ยวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ตู้ฮุ่ยจวินคุกเข่าลงไปอีกครั้ง และเหงื่อตกเต็มหน้า มุมปากเดี๋ยวอ้าเดี๋ยวหุบอย่างไม่รู้จะเอ่ยอะไรดี

————————————-

[1] อู่เซิง ตัวละครชายที่เล่นบทบู๊

[2] ชิงอี ตัวละครหญิงที่เล่นบทหญิงสาวหรือหญิงวัยกลางคนที่เคร่งขรึม

Related

มู่หนานจือ

มู่หนานจือ

Status: Ongoing
นิยายรักย้อนยุค จากนักเขียนดัง ‘จือจือ’ กับการฟาดฟันอันดุเดือดของนางเอกสุดแกร่งในวังหลวง!แม้ เจียงเซี่ยน เป็นถึงสตรีผู้สูงศักดิ์ ทั้งยังได้แต่งงานกับ ‘จ้าวอี้’ ผู้เป็นฮ่องเต้ ทว่าเขามิเคยร่วมหออุ่นเตียงกันจนกระทั่งจากนางไปเมื่อนางต้องกลายเป็นไทเฮา จึงได้โอบอุ้ม ‘จ้าวสี่’ ลูกชายคนเดียวของจ้าวอี้ว่าราชการหลังม่าน ประคองราชวงศ์อย่างยากเข็ญแต่แล้วนางกลับถูกฆ่าตายด้วยถ้วยยาพิษ ที่อยู่ในอุ้งมือของฮ่องเต้น้อยอย่างจ้าวสี่!เมื่อลืมตาตื่นมาอีกครั้ง ก็พบว่าได้ย้อนกลับมาช่วงชีวิตวัยสิบสามปี… ก่อนมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในราชสำนัก‘เหตุใดจ้าวสี่จึงมอบความตายให้นาง?’…แม้โอกาสในการมีชีวิตอาจทำให้ไขปริศนานี้ได้แต่นางขอเลือกเดินในเส้นทางใหม่ ไม่เข้าไปข้องเกี่ยวกับตระกูลจ้าว ไม่สนใจการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินนางขอเพียงมีชีวิตครอบครัวเล็กๆ กับสามีที่วางใจได้ และลูกที่แสนน่ารักทว่า เมื่อนางได้นำพบกับ หลี่เชียน แม่ทัพหนุ่มที่นางเคยรู้สึกเกลียดทุกคราที่พบหน้าชีวิตและความรักของนางจึงกำลังจะพบกับจุดเปลี่ยนอีกครั้ง…หรือ ‘โชคชะตา’ จะนำพาให้เกิดเรื่องราวและวังวนที่ไม่เหมือนเดิม!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท